ตอนที่ 4
ช่างแตกต่างจากเกลียวลินินนักเกลียวลินินจะทำอย่างไรได้ นอกจากอึ้ง และยินดีกับเพื่อนด้วย ส่วนหล่อนเองก็ได้แต่สู้มานะบากบั่นตามแต่ความสามารถเท่าที่จะทำได้ เช่นในการเรียนระดับปริญญาตรี หล่อนตั้งเป้าหมายเพื่อจบการศึกษา คงพอทำให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้
“ฉันพูดเอาไว้ในอนาคตก่อนจ้ะอย่าคิดมากเลย นะเกลียว และถึงวันนั้นฉันก็รู้สึกใจหายที่ต้องจากทุกคนไป”
“แต่มันเป็นอนาคตนะ ชุน่าจะยินดี กับโอกาสที่หยิบยื่นมาหาชุ ทั้งๆที่คนอื่นแทบไม่มี”
เกลียวลินินพูดก็เหมือนนึกถึงตัวเองและชุติมาเข้าใจ ชุติมามาเยี่ยมที่หอพักได้ไม่นานนัก พากันมาคุยที่เก้าอี้ข้างล่างและเอ่ยพูดด้วยความเป็นห่วงเกลียวลินิน ซึ่งพยักหน้ารับ เข้าใจดีถึงความห่วงใยของเพื่อนรัก จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับ
“งานการ อย่าทำจนหักโหมเลยนะ ถนอมสุขภาพตัวเองไว้บ้างเถอะเกลียวแต่คิดว่าเรียนจบแล้วเกลียวคงจะได้งานที่ดีกว่านี้”
เกลียวลินินก็คิดหวังเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะไม่อยากไขว่คว้าวิมานในอากาศ
“ขอบใจมากนะจ้ะ ชุ ที่หวังดีกับเกลียวมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
และครั้นเมื่อเวลาผันผ่านไปถึงปัจจุบันในปีพ.ศ. 2541 เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้าย มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีพื้นที่ราว500กว่าไร อยู่ติดกับถนนใหญ่
ตัวตึกสูงของอาคารเหล่านั้น ก็เป็นที่ตั้งของคณะต่างๆซึ่งมีทั้งตึกใหม่และเก่าสลับกัน เนื่องจากระยะเวลาการก่อตั้งยาวนานยี่สิบห้าปี เคียงคู่การศึกษาระดับอุดมศึกษาของไทยมาอย่างยาวนานพอสมควร ผลิตบัณฑิตออกมารับใช้สังคมประเทศชาติมาแล้วยี่สิบกว่ารุ่น
ซึ่งความโดดเด่นไม่แพ้ มหาวิทยาลัยแห่งอื่นที่เปิดสอนระดับปริญญาตรีเช่นกันทางด้านวิชาการบุคคลากรของทางมหาวิทยาลัย คือบรรดาอาจารย์นั้นล้วนเป็นผู้ทรงความรู้ทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิมีความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา รวมทั้งจบการศึกษาจากต่างประเทศ และในประเทศล้วนระดับปริญญาโทและเอกมีดีกรีเกียรตินิยมบัณฑิตพ่วงท้ายถึงความสามารถและการเป็นที่ยอมรับนับถือและศรัทธา
ใต้ร่มเงาครื้มของต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาทั้งพวงชมพู ศรีตรังคำแสด พญาไร้ใบ สาละอินเดีย ประดู่
โต๊ะและเก้าอี้หินอ่อนที่ตั้งอยู่นั้นวางสลับเรียงรายตามใต้ร่มเงาไม้เหมาะสำหรับเป็นมุมให้นักศึกษาเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจในจังหวะนั้นร่างระหงหน้าหวานสะดุดตา ที่เดินผ่านเข้ามา แต่ก็มีเสียงทักขึ้นจากเขา
“รู้ไหม เกลียว ผมมานั่งคอยคุณอยู่ตั้งนานเลยนะ”
“คุณ ภิญตรัย”เขาเองชื่อภิญตรัย ชายหนุ่มหน้าตาคมคายค่อนข้างใสและขาวจัดและมีสง่าราศีที่เปล่งประกาย ในความเป็นผู้ดีจากตระกูลนักธุรกิจ
แม้ภาวะ ณ ขณะนี้ ทำให้หล่อนสับสน ไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้จะว่าไปนั้นก็พึ่งพาภิญตรัยไปบ้างเหมือนกัน และหลายครั้งพอสมควร จนหล่อนนึกเกรงใจ ไม่กล้าไปขอร้องเขา
แต่มันก็เหมือนกับชีวิตของหล่อนตกอยู่ ในหนทางที่ตีบตัน เมื่อเร็วๆนี้ หล่อนถูกยื่นซองขาวให้ออกจากงาน ทั้งๆที่ยังไม่ได้จ่ายค่าเช่าหอพัก
หวังอยากจะนำเงินเดือนจากบริษัทมาชดใช้หนี้
หล่อนไม่ได้ทำงานมาแล้วสามวันหลังจากที่ถูกออกแบบกะทันหัน ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง แสนอับอาย
เมื่อสมองนั้นหนักอึ้งอีกอย่างเกลียวลินินต้องเตรียมคำตอบแก่เจ้าหนี้และเจ้าของหอพักที่ทางนี้ยินยอมปรานี ผ่อนผันให้หล่อนมาหลายครั้ง คราวนี้เห็นทีจะไม่ได้
มันมากและเกินจำนวนที่เจ้าของหอพักหญิงแห่งนี้ นางสุดาจะยินยอมให้อีกครั้งถือว่าได้พูดไว้เป็นครั้งสุดท้าย ภิญตรัยรู้สึกแปลกใจกับน้ำเสียงท่าทางและใบหน้าของเกลียวลินิน เหมือนคนเก็บงำทุกข์ แต่ไม่ยอมเผยบอกเขา
“เดินเหมือนคนเหม่อลอยใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว” เกลียวลินินไม่ได้ตอบคำถามของเขา
“เกลียวก็ใกล้จะจบการศึกษาแล้วนี่จบแล้วจะเรียนต่อหรือทำงานล่ะเกลียว”
เขาพยายามถามหล่อน แต่เกลียวลินินไม่มีอารมณ์ตอบเขาเลยด้วยซ้ำ หล่อนอยู่ในภาวะของคน ที่กำลังจะสิ้นหนทาง ทั้งสับสนและเต็มไปด้วยความเครียด ดังนั้นจึงพยายามหลีกเลี่ยงเขาทำให้ภิญตรัยได้แต่มองหล่อนด้วยความแปลกใจ ที่เกลียวลินินเอาแต่เก็บตัว พอถามอะไรหล่อนก็ไม่ยอมตอบเขาออกมา
ทำให้นึกถึงเรื่องหนึ่งปีนี้วาเลนไทน์ใกล้จะคืบคลานมาแล้ว ความฟุ้งซ่านของคนที่ไม่มีทางออก ทำให้เกลียวลินิน กล้าตัดสินใจออกไป แม้จะเป็นหนทางที่ต่ำ แม้หล่อนจะเข้าไปขอกับภิญตรัยในเรื่องนี้ แต่รู้สึกว่า จำนวนเงินมันสูงอย่างมาก ทำให้ไม่กล้า แม้ว่าภิญตรัยจะใจดีใจสปอร์ต แต่ครอบครัวเขาล่ะ เกลียวลินินคิดว่า มารดาของเขาไม่ชอบหน้าของหล่อน คงคิดว่าจะมาเกาะเขา รู้สึกอับอายถ้าถูกกล่าวด่าว่าอย่างรุนแรง เกลียวลินินจึงเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจอย่างเดียว
บ่ายของวันนี้ หล่อนเดินมาที่เก่าและเจอเขา หล่อนผินหน้ากลับมามองเขาอีกครั้งภิญตรัยชวนคุยเขาไม่รีบร้อนที่จะกลับ หรือมีธุระไปต่อที่ไหน เพราะนึกเป็นห่วงเกลียวลินิน ที่ท่าทางดูไม่ค่อยสบายเหมือนคนเจ็บป่วย แต่เกลียวลินินไม่เคยสนใจสุขภาพของตนเองเขารู้ว่าหล่อนดื้อทุกครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้
หล่อนคิดดีแล้ว ภิญตรัยเป็นเป้าหมาย หล่อนคงจะต้องใจกล้าหน้าด้านเข้าหน่อย แม้ไม่เคยทำแต่ก็ต้องฝืนทำ แล้วเขาจะมองหล่อนในแง่ไหน
เกลียวลินินคิดเหมือนกันหวาดระแวงไม่สบายใจไปหมดมันถึงทำให้หล่อนกล้าตัดสินใจทำอะไรที่ต่ำๆอย่างนี้ขึ้นมา
แต่หล่อนจะกล้าแค่ไหนซึ่งจะต้องหักความด้านอายของตนเองออกไป
“อ้าวนั่นมองอะไรผมยังงั้นล่ะจ้ะเกลียว ทำตาหวานเชียว”
“ค่ะก็เกลียวเห็นว่าวันนี้ดูคุณภิญนั้นยิ้มแย้มดีเหลือเกินค่ะ”
“อ้าวใครจะมาทำตัวเหมือนคนอมทุกข์อย่างเกลียวล่ะ” รู้ว่าเขาประชดใส่หล่อนแต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น
“คุณภิญคะฉันเองก็มีความสุขเหมือนกันนะคะ และความสุขนั้นอยู่ที่ใจของฉันต่างหากล่ะ”
เกลียวลินินก็ตอบเขาแบบนั้น
ภิญตรัยนั้นรักและชื่นชอบชอบเกลียวลินินมานานแล้วและในเวลานี้เหมือนเขาจะห้ามใจตัวเองไม่ไหวก็เพราะหล่อนสวยและบริสุทธิ์ขนาดนี้หนำซ้ำเรียนเก่งและในด้านความสัมพันธ์ของเขากับหล่อนถือว่าก็ยังราบรื่นเหมือนเดิม
“เอ้อ นี่เกลียวจ๋า เกลียว รู้สึกหิวหรือเปล่า เอาอย่างนี้ไหมล่ะวันนี้ผมจะเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าว”จู่ๆเขาก็เอ่ยคำนี้ขึ้นมา