บทที่2
บุกบ้านปอบ
“เพื่อปลาดุก เราต้องยอมทำถึงขนาดนี้เลยเหรอเจ้านาย”
ออกจากตลาดมาได้แล้ว หัวใจของเจ้านายและลูกน้องยังเต้นกระสับกระส่ายเพราะกลัวงูไม่หาย แต่กลับพาตัวเองมาเผชิญเรื่องที่น่ากลัวมากกว่านั้น โดยขับรถเป็นไฟส่องทางตามหลังจักรยานคันเล็กมายังท้ายหมู่บ้าน ผ่านแปลงนามืดเข้าไปจนเกือบถึงทางแยกเล็กๆ สำหรับจักรยาน ที่ใช้เป็นทางเชื่อมไปถึงกระต๊อบน้อย หรือบ้านยายปอบที่ชาวบ้านตั้งชื่อ
“หลวมตัวมาแล้วนี่หว่า ทำไงได้”
ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ถนนเส้นนี้ไม่มีแสงไฟเลยสักดวง มืดมิดจนน่ากลัวเหลือเกินสำหรับผู้หญิงที่เดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว
มือข้างที่เคยคว้าไม้ไล่งูอยากจะยกขึ้นมาตบกลางหน้าผากตัวเอง คิดได้ไง ว่าจะมีใครมาทำเรื่องน่ากลัวกับยายเด็กผักกาด คนพวกนั้นสิที่ควรกลัวยายเด็กผักกาดไปคายตะขาบ หรือแปลงร่างเป็นผีปอบจกกินตับพวกเขา
“ทางโคตรน่ากลัวเลยว่ะ แถวนี้ไม่มีบ้านคนอื่นเลยใช่ไหม”
“มีแต่ที่นา ไฟฟ้าก็ไม่มี ใครจะอยากมาสร้างบ้านแถวนี้ล่ะครับ ใกล้ป่าใกล้เขาอีกด้วย ก็มีแค่กระต๊อบยายปอบ”
“ไอ้ไม้ ถามหน่อยสิ ยายแกเป็นปอบจริงไหม”
ไม้ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาดูเส้นขนอ่อนที่ลุกเป็นเกลียว
“พูดแล้วขนลุก ตั้งแต่เด็กจนโตก็ได้ยินแม่พูดมาตลอด เขาลือกันว่ายายปอบกับหลานไม่ออกจากบ้านตอนกลางวัน จะออกจากบ้านเฉพาะตอนกลางคืนไปหากินเป็ดกินไก่ตามเล้า เคยมีคนเห็นยายแกอยู่ในสภาพเลือดท่วมปากมาแล้ว ขนลุก”
“กูก็ขนลุกตามแล้วเนี่ย ไอ้เหี้ย ไม่ใช่ไปถึงทางเลี้ยวเข้าบ้าน ยายปอบออกมากวักมือเรียกหลาน วิ่งเร็วเข้ามาจกตับกูกับมึงนะเว้ย”
แล้วจักรยานคันเล็กที่นำทางพวกเขามาตลอดก็เบรกกึก ไม้เบรกตาม กลวัชรตกใจส่งเสียงร้องโวยวายลั่นรถ ลูกน้องเบรกกะทันหันเกินไปเขานึกว่ามีเรื่องให้ตกใจ
กระทั่งเด็กผักกาด ลงจากจักรยานมาเคาะกระจก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เว้นช่วงความถี่เท่ากัน
กลวัชรที่มีใบหน้าซีดหันไปมองลูกน้อง เบิกตากว้างใส่มันในเชิงปรึกษาว่าควรลดกระจกดีหรือเปล่า และถ้าลดกระจกลง เกิดหลานยายปอบแลบลิ้นยาวแทงทะลุหัวใจเขาลงไปถึงกลางหลังต่อหน้าต่อตาไอ้ไม้ จะทำยังไง มันน่ากลัวไม่ใช่เล่นไม่ใช่เหรอ
ผักกาดรอนานคนบนรถไม่เปิดกระจกสักที ยกหลังมือขึ้นเคาะกระจกอีกครั้ง ก๊อก ก๊อก ก๊อก
กลวัชรกำลังจะสั่งให้ไอ้ไม้ออกรถ เหยียบร้อยแปดสิบพุ่งไปข้างหน้า เหยียบจักรยานมันให้เละเลยเพื่อหนีกลับบ้าน
แต่มันไม่รอฟังคำสั่งเขา ถือวิสาสะ หรือจะเรียกว่าเสือกก็ได้ ลดกระจกฝั่งเขาลงให้สบสายตากับยายผักกาด ไอ้เด็กที่น่ากลัวที่สุดในท้ายหมู่บ้าน
“มีอะไร” กลวัชรกัดฟันถาม
“หรือจะขอบคุณที่มาส่ง ไม่ต้องก็ได้ ฉันมาเพราะปลาดุก เอามาสิ จะได้แยกย้ายกันกลับ”
หาว...
ผักกาดไม่ตอบ อ้าปากหาวนอน
กลวัชรเตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องเหม็นกลิ่นปาก แต่กลับไม่มีกลิ่นน่าเกลียดอย่างที่เขาคิด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยกต้นคอหลบไปด้านหลังค่อนข้างไกล เพราะเธอเกาะบนกระจก ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เหมือนกลัวว่าเขาจะไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด
“ไปเอาที่บ้าน เลี้ยวเข้าไปตรงนั้นก็ถึงแล้ว อยู่ไม่ไกล”
ถึงจะบอกว่าไม่ไกล แต่ตอนนี้ฟ้ามืดลงแล้ว ไฟสักดวงก็ไม่มี แต่ถึงจะมีก็ไม่กล้าตามเข้าไปหรอกเว้ย เผื่อถูกหลอกไปฆ่าจะว่ายังไง กลวัชรส่ายหน้าเร็วเพื่อปฏิเสธ แต่ผักกาดกลับดื้อตาใสพยักหน้าตามจำนวนครั้งที่เขาปฏิเสธ
“มันจะมากไปแล้วนะ เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ทำไมฉันจะต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่อไปส่งเธอที่บ้านด้วย ยายเด็กผีปอบ”
“กาดทำผัดเผ็ดปลาดุกอร่อยมากเลยนะ”
“มาบอกฉันทำไม ใครเขาอยากกินฝีมือเธอ ยายเด็กบ้า เอาหน้าออกไปจากรถฉันได้แล้ว อย่ามาหายใจใกล้ฉันนะ ออกไป”
“งั้นก็ไม่ให้”
ผักกาดหันหน้าไปหาวนอนทางอื่นก่อนกลับไปที่จักรยาน เตะขาตั้งขึ้นเตรียมจะเข็นเข้าบ้าน ทางค่อนข้างแคบและไม่มีไฟผักกาดต้องเข็น ไม่สามารถปั่นไปต่อได้
กลวัชรที่นั่งอยู่บนรถเหลียวมองตามเรือนร่างนั้นอย่างค้างคาใจ ระยะทางจากตลาดกลับมาถึงบ้านเธอไม่ต่ำกว่าสองกิโล เขาต้องเปลืองน้ำมันสองกิโล เพื่อไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเลยงั้นเหรอ ผัดเผ็ดปลาดุกที่น่าอร่อยจนชวนให้น้ำลายสอ เขาจะไม่ได้กินจริงๆ เหรอ ปัดโธ่เว้ย กลวัชรสบถในใจ
“ปะ ปะ ปะ เปิดประตู! อย่าบอกนะ คุณกลจะเข้าไปในบ้านผีปอบ”
ไม้ยัดนิ้วโป้งชี้กลางนางก้อยเข้าไปในปากกว้าง ทำท่าทางสยดสยอง
“ก็เออน่ะสิ ปลาดุกอยู่ตรงหน้าเรื่องอะไรจะยอมกลับบ้านมือเปล่า แกก็ลงมาด้วยกัน ล็อกรถไว้ที่นี่แหละ”
“ไม่เอา ไม่ไป อย่ามาบังคับฝืนใจไม้”
“เร็วเข้าสิวะไอ้ไม้ ยายเด็กผักกาดเดินไปไกลแล้ว”
“ไม่เอา ไม่ไป อย่ามาบังคับฝืนใจไม้”
“มึงพูดอีกคำเดียว กูจะไล่มึงออกจากงาน”
เปลี่ยนจากพูดประโยคนั้นเป็นเอามือปิดปาก ไม่พูด แต่ก็ไม่ยอมไปเป็นเพื่อนเจ้านาย
กลวัชรมองตามยายเด็กผักกาด กลัวถูกทิ้งห่างไปกว่านั้นเขาจะไม่กล้าเดินไปคนเดียว ชี้หน้าไอ้ไม้ทิ้งท้าย ก่อนจะวิ่งลงจากรถ ไล่ตามหลานยายปอบไปถึงครึ่งทาง ได้แสงไฟหน้ารถส่องมา มองเห็นไปถึงหลังคาสังกะสี และโครงสร้างไม้ที่ค่อนข้างเก่าทรุดโทรม เขาเผลอเอามือเกาะไหล่ยายเด็กผักกาดทันทีที่ได้ยินเสียงไอมาจากทิศไหนก็ไม่รู้ ดึงรั้งไหล่บางไว้ไม่ให้ผักกาดออกเดิน
“เสียงใครมาไอตรงนี้ เธอได้ยินเหมือนที่ฉันได้ยินหรือเปล่า”
“เสียงยายน่ะ ยายคงจะออกหากิน นี่ คุณจะตะโกนทำไม”
ผักกาดเอียงหน้าง่วงเหงาหาวนอนมาจ้องหน้าคนขี้ขลาดตาขาว กลวัชรตะโกนเสียงดังจนลูกน้องของเขาลงจากรถมาตะโกนถามว่าเป็นอะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ตามเข้ามาช่วยเจ้านาย เพราะกลัวเจ้านายจะถูกกินตับตายไป เขาจะได้รอดคนเดียว
“ก็เมื่อกี้เธอบอกว่ายายของเธอออกหากิน จะไม่ให้ฉันกลัวได้ยังไง ก็ยายของเธอเป็นปอบนี่นา ไหนปลาดุกของฉัน เอามาสิ ฉันจะกลับบ้าน”
“หมายถึงยายออกมากินข้าวต่างหาก คิดอะไรของคุณ ยายกาดไม่ได้เป็นปอบซะหน่อย”
“ถามโจรร้อยคนก็บอกว่าไม่ได้ขโมยของหรอกโว้ย ใครจะเชื่อ”
“ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ”
ผักกาดเข็นจักรยานไปข้างหน้าเข้าสู่อาณาเขตบ้านหลังน้อย ถุงใส่ปลาดุกที่มีน้ำอยู่ก้นถุงจากห้อยอยู่บนแฮนด์จักรยานถูกคนตัวโตฉกมือใหญ่มาแย่งเอาไป
“ฉันส่งเธอถึงบ้านแล้ว เท่ากับว่าปลาดุกนี้ต้องเป็นของฉัน”
“ตัวนี้น่าจะครึ่งโล ยี่สิบบาท จ่ายมา”
“นี่ฉันยังต้องจ่ายเงินเธออีกเหรอ”
“ของซื้อของขาย ไม่จ่ายเงินได้ยังไง กว่าจะหามาได้”
“บอกพร้อมเพย์เธอมาแล้วกัน จะโอนให้”
“ไม่มีบัญชี เอาเงินสด จะเอาไปซื้อยาให้ยาย”
“ถ้ามีเงินสดก็ให้แล้วสิ นี่มันยุคสมัยไหนแล้วทำไมไม่มีบัญชี”
“ยี่สิบบาท” ผักกาดทวงเงินค่าปลาดุก
“ถ้าไม่จ่าย ก็เอาปลาดุกคืนมา”
“เรื่องอะไรจะคืน ฉันเสียเวลาขับรถมาส่งเธอตั้งไกลไม่ยอมกลับไปมือเปล่าหรอก เงินอยู่บนรถตามมาสิจะเอาให้”
“ไม่ไป ทางมันเล็ก เดินกลางคืนคนเดียวมันน่ากลัว”
“ก็รู้ว่ามันน่ากลัวยังจะให้ฉันเดินเข้ามากับเธออีก ยายเด็กบ้า”
จับคอมาเขย่าสักทีดีไหม
ลมกลางคืนค่อนข้างเย็นพัดเข้ามาปะทะต้นแขน กลวัชรขนลุกไปทั้งตัวกับเสียงร้องฮือที่ดังมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น เหมือนกับว่าเสียงนั้นมายืนอยู่หลังประตูไม้เก่าทรุดโทรม ที่กำลังจะเปิดออกมา และแล้วประตูบานนั้นก็เปิดออกมา
ยายแก่รูปร่างผอมกว่าผักกาดถึงสองเท่ายืนผมเผ้ากระเซอะกระเซิงอยู่ไม่ไกล แสงไฟจากโคมที่ถือออกมาด้วยส่องสว่างให้เขามองเห็นใบหน้าที่มีสีแดงกลบบนปากของยาย ทุกครั้งที่มีเสียงไอ จะมีเศษน้ำหมากกระเด็นออกมาด้วย น่ากลัวน่าสยดสยองเสียจนเสียงร้องของเขาทำให้ไอ้ไม้กลัวไปด้วย
“อ๊ากกกกกกกกกกกกก”
ลิ้นไก่ของกลวัชรเกือบจะกระเด็นออกมาข้างนอก เขาตะโกนเสียงดังวิ่งไปหลบอยู่หลังผักกาด ให้ผีปอบเล็กกับผีปอบใหญ่สู้กันเอง อย่ามากินตับเขาเลย กินปลาดุกของเขาแทนก็ได้ เขาไม่กินแล้วผัดเผ็ดปลาดุก เอาไว้กินวันหลัง ดีกว่าไม่เหลือชีวิตไว้กิน แต่เด็กผักกาดก็วิ่งหนีไปจากเขาให้เขาหลบหลังจักรยาน กลวัชรขี้ขลาดตาขาวเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้า กว่าจะได้สติก็ตอนที่ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งล้มหัวฟาดพื้นจนนอนแน่นิ่งไป