CHAPTER 8
[เพื่อน เพื่อนที่แปลว่ามอเมียหรือเปล่าครับไอ้คุณเกมส์...]
หึ...
เมียงั้นเหรอ
ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงดีสิ
แค่นี้ไม่รู้ว่าจะมองหน้าติดหรือเปล่าจะโดนเกลียดมากน้อยกว่าเดิมก็ยังไม่รู้เลยไอ้คำว่าเมียบอกเลยว่าอยู่ห่างไกลเกินเอื้อมมากโข แต่ให้ตายผมลืมไปว่าเอ่ยแก้ตัวไปก็แค่นั้นไอ้ควายฟ้ามันไม่เชื่อหรอกเถียงให้ตายห่าก็เสียเวลาเปล่าเอาเวลาไปทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์ได้เยอะกว่านี้
“งั้นก็แล้วแต่ควายอย่างมึงจะคิด”
[ควาย สัสเปรียบเทียบเหมือนกูมีเขาอยู่บนหัว แป๊บเดี๋ยวต่ออย่าวางเด็ดขาด]
สักพักเสียงรบกวนการสนทนาของผมกับไอ้ฟ้าก็เกิดขึ้นด้วยการมีเสียงฟ้าดนตรีดังสนั่นอีกทั้งยังมีเสียงพูดคุยกันดังเข้ามาให้ได้ยินเรื่อยๆ และแล้วไม่นานเสียงรบกวนพวกนั้นก็ห่างหายไปได้ยินแค่เสียงถอนลมหายใจ
เดาเลยว่าไอ้ฟ้ามันเดินออกมาจากวงเหล้าหาที่เงียบๆ เพื่อพูดต่อกับผม
[ไอ้ห่าเกมส์]
“เออยังอยู่”
[เมื่อกี้ไม่ปฏิเสธคนอย่างมึงถ้าเป็นแบบนี้มันจริงไปแล้วครึ่งหนึ่งแล้วหรือว่าจะเป็น... คนนั้น]
“โทรมาแค่นี้ใช่มั้ยกูจะได้วาง”
ไม่จำเป็นผมไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่นักและไอ้ฟ้ามันก็รับรู้เรื่องราวผมมาพอสมควรเพียงแค่ปัจจุบันยังไม่ได้อัพเดทมันจึงรู้ถึงแค่นั้นทว่าเพื่อนผมก็ไม่ได้โง่สามารถประติดประต่อเรื่องราวได้ไม่ยาก
[นั่นแน่ะ มีอารมณ์ทรงอารมณ์เสียใส่เพื่อน เอาดิถ้ามึงกล้าวางกูจะไม่บอกว่าน้ำตาลฝากอะไรมาบอกมึง...]
“อะไร?”
ไม่กล้าวางเฉยเพราะอะไรทำไมผมจะไม่รู้ส่วนไอ้ควายฟ้ามันก็แค่ทำเสียงล้อเลียนผมเรื่อยๆ ก็มันถือไพ่เหนือกว่าผมนิในเรื่องนี้ถึงใจร้อนอยากวางเพียงไหนก็ทำไม่ได้ส่วนน้ำตาลเธอเป็นแฟนของไอ้ควายฟ้าไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงเรียบร้อยกุลสตรีอย่างเธอจะหลอมตัวคว้าเอาควายอย่างไอ้ฟ้ามาเป็นแฟน
[บอกกูมาก่อนว่าผู้หญิงที่มึงหิ้วขึ้นรถใช่คนที่กูรู้หรือเปล่า]
“กูโทรถามเมียมึงเองก็ได้ไอ้ควายฟ้า”
“โทรติดก็เชิญตามสบาย กูปิดเครื่องโทรศัพท์เมียเรียบร้อย”
“สัส! เออใช่พอใจมึงยังคราวนี้พูดมาซะ”
[ก็ว่า... ไม่งั้นเหี้ยอย่างมึงไม่สงสารผู้หญิงจนหิ้วขึ้นรถขนาดนั้นหรอก]
เป็นประโยคพูดที่ฟังแล้วดูแสนธรรมดาแต่ผมรู้ดีว่าไอ้ฟ้ามันแอบหลอกด่าตัวเอง ไอ้พวกนั้นหรือคนที่ผมสนิทด้วยต่างก็รู้ดีว่านิสัยที่ซุกซ่อนเอาไว้แท้จริงมันเป็นยังไงความน่าสงสาร
ใบหน้าแสนเศร้าเคล้าหยดน้ำตาของผู้หญิงทำอะไรคนเยือกเย็นอย่างผมไม่ได้จะใช้กับใครแล้วได้ผลแต่ถ้ามาใช้กับผมความล้มเหลวต้องมาเยือน
“อย่าแสนรู้บอกเรื่องที่เมียมึงฝากมา”
[เลิกโอนเงินเข้าบัตรได้แล้ว ไอ้ห่า!]
“ทำไม?”
[เอาจริงนะไอ้เกมส์มึงแกล้งโง่หรือว่าโง่จริง สุดวะทำเอากูอึ้ง รู้มั้ยว่าตอนนี้ยอดเงินในบัตรมันเท่าไหร่แล้วจะให้เอาไปซื้อบ้าน รถ คอนโดเลยหรือไงวะ จะบอกให้นะเว้ยคนที่มึงอยากให้เขาใช้อ่ะวันๆ ใช้จ่ายไม่ถึงร้อยด้วยซ้ำอีกทั้งยังเมินบัตรมึงด้วยจะเรียกง่ายๆ ก็คือไม่เคยอยู่ในสายตาเลย]
“ค_ย”
สองสามประโยคที่ผมพูดกับไอ้ฟ้าจากนั้นมันก็วางสายไป ใจความสำคัญที่มันโทรมาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องที่ผมขอให้น้ำตาลเมียของมันทำ
การที่ผมโอนเงินไปเพราะกลัวว่าค่าใช้จ่ายไม่พอมันผิดขนาดนั้นเชียวหรอวะทำไมถึงต้องบอกให้หยุดโอนด้วย เรียนปีสุดท้ายค่าใช้จ่ายมันเยอะต้องเอาไปทำอะไรอีกมากมายบางคนต้องขอพ่อแม่เพิ่มด้วยซ้ำแต่ทำไมถึงต้องบอกให้หยุด
ผมคิดได้เพียงแค่นั้นก็หยุดก่อนเดินเข้าไปยังห้องเดิมหยุดตรงปลายเตียงมองขิมที่ยังนอนสิ้นฤทธิ์จากอาการป่วย ร่างกายผมขยับเข้าไปใกล้เตียงอีกนิดใช้มือเป็นตัววัดอุณหภูมิร่างกายอีกฝ่ายปรากฏว่าไข้ลดลงตรงบริเวณไรผมตรงหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย สิ่งที่สัมผัสได้ทำเอาผมเป่าลมออกจากปากอย่างโล่งใจเพราะถ้าไข้ไม่ลดสิ่งเดียวที่จะทำก็คือพาไปโรงพยาบาล
เป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ที่มันผุดขึ้นออกมาจากหัวสมองผู้ชายอย่างผม
ถ้ามีหลายเส้นทางให้ได้เลือกใช้เพื่อช่วยผู้หญิงตรงหน้าผมก็ขอเลือกใช้เส้นทางที่ทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องให้พบเจอสิ่งเลวร้ายถึงแม้จะทำให้ตัวผมเหนื่อยหลายร้อยเท่าตัวบอกเลยว่าผมก็จะเลือกทำ ความเหนื่อยของตัวเองแลกให้อีกคนมีรอยยิ้มมันยิ่งใหญ่นะ สำหรับผู้หญิงคนนี้...
มีญาติก็เหมือนไม่มี
มีพี่น้องก็เหมือนไม่มีเลย
มีครอบครัวใหญ่แต่ก็เหมือนไม่ใช่คนในครอบครัว
คนพวกนั้นเห็นค่าเธอเป็นแค่เม็ดเงิน เป็นเสาหลักในการทำงานตัวเป็นเกลียวหลังเลิกเรียนแต่เอาเข้าจริงไม่เคยได้ใช้เงินที่ตัวเองหาได้สักบาททำเท่าไหร่ก็เอามาให้พวกนั้น สิ่งที่ทำให้ขิมรอดมาได้ทุกวันก็คือทุนจากทางมหาลัย
“อย่าเป็นอะไรไปมากกว่านี้เลยนะ...”
ไม่ใช่คำอธิฐาน ไม่ใช่คำขอร้องแต่เป็นสิ่งที่ผมปรารถนาให้มันเกิดขึ้นในชีวิตของผู้หญิงคนนี้บ้าง เกิดขึ้นเพื่อให้เธอได้มีรอยยิ้มมีกำลังใจเฉกเช่นคนอื่นๆ ใช่ที่การใช้ชีวิตไม่ได้ง่ายแต่ถ้ารู้จักทำมันก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถของคน รสชาติของชีวิตที่เกิดขึ้นกับเธอควรมีสิ่งดีๆ บ้างไม่ใช่มีแต่สิ่งเลวร้ายเข้า
มีดี มีร้าย
ไม่ใช่มีแต่ร้ายกับร้าย
ด้วยฝ่ามือที่ยื่นไปวัดไข้ก่อนหน้าตอนนี้กับเปลี่ยนไปเป็นลูบศีรษะเล็กบนหมอนช้าๆ นุ่มนวลเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่น สัมผัสในแต่ละครั้งตราตึงมาสุดขั้วหัวใจของผมทุกคราส่งผลให้หัวใจเกิดอาการเต้นเร็วสั่นระรัวไปหมดสุดท้ายจึงเลือกเก็บมือออกมือแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำเข้านอน
การประชุมเสร็จเรียนร้อยในช่วงบ่ายของอีกวันก็ปาเข้าไปบ่ายสี่โมงเย็นส่วนตอนนี้สิ่งที่ผมมุ่งไปคือมหาลัยต่างหาก มีนัดทำงานกลุ่มใต้ตึกแน่นอนว่าเป็นวิชาหนึ่งที่วันนี้ผมไม่ได้เข้าเรียนอีกตามเคย ความเหนื่อยล้าเข้ามาเยือนร่างกายเพราะเมื่อคืนที่บอกว่าจะไปอาบน้ำนอนที่ไหนได้ตกตอนดึกขิมมีไข้ขึ้นผมจึงต้องเช็ดตัวให้จนเกือบเช้า
ได้นอนจริงเพียงแค่สองชั่วโมงเศษ
“มันมาแล้วโว้ย!” อันนี้เสียงไอ้ต้า
“นั่นๆ ขนาดลงรถยังเหมือนถ่ายแบบ” ตามมาด้วยเสียงไอ้ไท
ถ่ายแบบผ่องสิ! ผมอยากตะโกนกลับไปแบบนี้แต่อยู่ในระยะห่างไปหน่อยจึงได้แค่คิดในใจบวกกับทำหน้าตายไปสบอารมณ์ส่งไปก่อนพอไปถึงโต๊ะที่มีพวกเพื่อนเวรนั่งก่อนหน้าจึงเลือกนั่งลงที่ว่างด้านข้างสุดพร้อมกับใช้มือปลดกระดุมเสื้อออกสามเม็ด
“อ่อยสาวเข้าไปเถอะไอ้ห่า”
และแล้วเสียงของไอ้ควายฟ้าที่ผมนั่งข้างมันก็ส่งเสียงขึ้นอีกทั้งยังโน้มก้มหน้าสันคางเด่นลงมาทักทายด้วยการยักคิ้วด้านที่ตัดให้
“Fuck off!”
“เหยดด... อยู่ๆ ก็มารำคาญกูเฉย”
“พึ่งประชุมเสร็จไงวะ”
“เออดิ” คราวนี้ผมหันหน้าไปตอบไอ้วันบ้างโดยเลิกสนใจไอ้ควายฟ้าที่กลับไปนั่งด้วยท่าเดิมเพิ่มเติมคือการส่ายศีรษะไปมาราวกับว่าน่ารักจากนั้นก็ยัดขนมใส่ปาก “วันๆ มีแต่งานกระดิกตัวแทบไม่ได้”
“กระดิกมันใช้กับหมา”
“งั้นกูก็ใช้กับมึงได้ใช่เปล่าไอ้ควายฟ้า!”
ครั้งนี้เสียงเฮดังลั่นโต๊ะเราเรียกสายตาจากโต๊ะอื่นๆ ให้มองมาแต่ผมก็ไม่สนใจเท่าไหร่นัก
“สัส!”
“ว่าแต่มึงเถอะไอ้เกมส์เอาไงกับการเรียน”
ถึงกลุ่มพวกผมจะดูว่าวันๆ หนึ่งไร้สาระไปกับอบายมุขทั้งหลายไม่สนใจเหี้ยอะไรแต่ความจริงแล้วเรื่องการเรียนมันไม่ใช่เลยนะทุกคนในความสำคัญหมดเพราะโดนไอ้ต้าที่ถามผมตอนนี้แหละบังคับขู่เข็ญตั้งแต่ปีหนึ่งจรดปีสี่แล้วยังโดนตลอดไม่เว้นช่องว่าง
“เอาไงก็ต้องจบพร้อมพวกมึง มึงก็ช่วยกูอีกหน่อยดิวะไอ้ต้าจะจบแล้วเนี้ย”
“นึกว่ามัวสนใจแต่ให้ทุนสาว”
“อูยยย...”
เสียงซี๊ดปากของไอ้ควายฟ้า ไอ้วันและไอ้ไทดังขึ้นพร้อมเพียงกันด้วยประโยคของไอ้ต้าที่ฟังแล้วทีกึ่งประชดออกมาว่าให้ผมหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากหรอกที่มันพูดออกมาก็มีส่วนถูกจึงไม่คิดเถียงได้แค่ส่งแสยะยิ้มออกไปให้แทน
“แหน่ะ! ไม่เถียงด้วย”
“มึงไม่ต้องสงสัยมันเลยไอ้ไท” เสียงไอ้ควายฟ้าพูดหลังเคี้ยวขนมเสร็จสายตาเป็นประกายวับแวมพวกนั้นถูกส่งมาให้ผม “ไอ้เกมส์มันเป็นผู้ชายประเภทที่พร้อมจะปวดหัวกับผู้หญิงคนเดียว ถ้าไม่ใช่น้องขิมบอกเลยมันไม่มีทางมอง!”
“เป็นควายแล้วเสือกรู้ดี”
“เรื่องของมึงกูรู้หมดอ่ะ ทุ่มแทบตายถ้าจริงแม้แต่มือได้แตะยัง”
ครั้งนี้ไม่ใช่คำพูดหรือประโยคออกจากปากผมมีแต่มือยื่นไปตบหัวไอ้ควายฟ้าหนึ่งที ความรุนแรงนิดหน่อยแต่ว่ามันยังคงยิ้มออกมาล้อเลียนผม
“คนอย่างไอ้เกมส์มันอดเปรี้ยวไว้แดกหวานมึงไม่รู้ไงไอ้ฟ้า”
เสียงพูดจากไอ้วันทำเอาสายตาทุกคู่หันมามองผมด้วยความแวววาว ความลามกกับฝูงเพื่อนมันเป็นของคู่กันจริงๆ นัดมีชุมนุมกันเมื่อไหร่เหมือนมาเล่าความฉิบหายแฉกันและกันตลอด
“จ้า... จะแดกเปรี้ยวหรือหวานตามใจเลยแต่ต้องมีเกรดดีก่อนจบ”
“เออหน่า”
ผมเอ่ยรับประโยคของไอ้ต้า
ทุน...
ไอ้คำนี้ยอมให้ผมทำงานตัวเป็นเกลียวเหมือนน็อคขึ้นทุกวันคืนไม่ได้มีเวลาว่างอย่างใครอื่นเขาหรอก ช่วงชีวิตในรั้วมหาลัยหายไปไม่ได้สัมผัสเท่าคนอื่นสักครั้งแต่ก็ช่างเถอะผมไม่ได้เสียดายขนาดนั้นเพราะตัวเองเป็นคนเลือกตัดสินใจแบบนั้นเอง
เอาความจริงเลยนะ มีไม่กี่คนหรอกที่รับรู้เรื่องนี้เพราะผมเลือกปกปิดมัน ทุนที่ขิมได้รับอยู่ตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงบัดนี้ปีสี่จากพ่อผมนั้น พ่อเป็นแค่ในนามคนที่ให้ทุนจริงๆ เป็นผมเอง ผมรับผิดชอบทุนนี้ด้วยตัวเองตามข้อตกลงของพ่อ เงินทุกบาทที่หามาได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ดีนะที่คนใช้มันเป็นขิม โคตรดี...
อีกอย่างหนึ่งพึ่งรู้เลยว่ารับผิดชอบชีวิตคนหนึ่งมันยากขนาดนี้
เกมส์ ภัทรดนัย: TALK END