ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดบนท้องถนนทุกคนก็มักจะเร่งรีบแม้แต่ มุกริน เองก็เช่นกัน
มุกรินเป็นมัณฑนากรประจำบริษัทออกแบบชื่อดังแห่งหนึ่ง วันนี้เธอมีนัดคุยกับผู้ว่าจ้างแต่รถของเธอดันเกิดเสียอยู่กลางทางเธอเลยต้องแก้ปัญหาด้วยการใช้บริการแท็กซี่ แต่กว่าโชเฟอร์จะพาเธอฝ่าการจราจรหนาแน่นมาได้ก็เสียเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง
ที่ไม่ฉูดฉาดแต่ให้ความรู้สึกสว่างสดใสอย่างสีน้ำทะเลยามเย็นที่ผสมกลมกลืนกับสีเหลืองอ่อน ๆ เข้ากับการตกแต่งสไตล์ยุโรปที่เน้นความหรูหราได้อย่างลงตัว สถาปนิกคนนั้น เขาต้องเป็นคนอบอุ่นขนาดไหนกันนะ
ผู้ว่าจ้างพามุกรินเดินสำรวจภายในร้านซึ่งกำลังจะเปิดเป็นกิจการร้านดอกไม้ขนาดใหญ่ โดยกิจการใหม่นี้ตั้งอยู่ในขอบรั้วเดียวกับร้านกาแฟที่เพิ่งเปิดกิจการไปได้ไม่ถึงปีก็ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ
ทางผู้รับเหมาแจ้งว่าวันนี้เฟอร์นิเจอร์บางส่วนจะถูกนำมาส่ง ในฐานะมัณฑนากรผู้รับผิดชอบการตกแต่งภายในทั้งหมดมุกรินจึงต้องมาตรวจสอบวัสดุด้วยตนเอง เจ้าของร่างบางในชุดกระฉับกระเฉงเดินสำรวจภายในร้านทีละจุดโดยลเะอียด จนกระทั่งเดินไปหยุดอยู่ตรงเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งมุกรินก็ถึงกับขมวดคิ้วเพราะวัสดุที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ไม่ตรงตามมาตรฐานที่เธอสั่งซื้อไปก่อนหน้านี้
“ขอโทษนะคะไม่ทราบว่าผู้รับเหมากลับไปหรือยังคะ” มุกรินเดินออกไปถามพนักงานของร้านด้วยความร้อนใจ
“กำลังจะกลับแล้วค่ะมีอะไร….” ยังไม่ทันที่พนักงานของร้านจะพูดจบ มัณฑนากรสาวก็วิ่งออกไปยังหน้าร้านเพราะต้องการจะคุยกับผู้รับเหมา
“เดี๋ยวค่ะคุณอย่าเพิ่งไปค่ะ”
“มีอะไรเหรอครับ” ตัวแทนของผู้รับเหมาตอบรับเสียงเรียกของเธอพร้อมกับมองว่าอีกฝ่ายมีเรื่องอะไรจะคุยกับตนเองถึงได้วิ่งออกมาด้วยท่าทางรีบร้อน
“ทำไมคุณเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์โดยไม่แจ้งดิฉันคะ” มัณฑนากรสาวเปิดประเด็นด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่พอใจ อาชีพมัณฑนากรอย่างเธอนอกจากจะใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการตกแต่งให้เกิดความสวยงามแล้ว เธอยังมีหน้าที่เลือกวัสดุให้เหมาะสมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า การที่ผู้รับเหมาเปลี่ยนวัสดุตามใจชอบไม่ตรงตามมาตรฐานที่เธอต้องการ เป็นเรื่องที่เธอปล่อยผ่านไปไม่ได้
“อ้าว นี่ลูกค้าเขาไม่ได้แจ้งคุณเหรอครับ ผมก็นึกว่าเขาแจ้งคุณไปแล้วเลยไม่ได้บอก” พอได้ฟังคำตอบอย่างปัดความรับผิดชอบ มุกรินก็สวนทันควัน
“ไม่ได้แจ้งค่ะ แต่ช่างเรื่องนั้นเถอะค่ะ เพราะที่ดิฉันต้องการจะมาถามคุณคือเรื่องวัสดุ ทำไมคุณเปลี่ยนวัสดุล่ะคะ ฉันระบุชัดเจนไปในรายการสั่งซื้อแล้วนะคะว่าต้องใช้ไม้แท้เท่านั้น”
“ทีแรกผมก็เห็นด้วยกับคุณนะ แต่วัสดุที่คุณเลือกมันราคาสูง ลูกค้าเขากลัวงบบานปลายเลยโทรมาปรึกษาผม ผมก็เลยแนะนำลูกค้าไปก็เท่านั้น เพราะผมเห็นว่าลูกค้ามีสิทธิ์ที่จะเลือก” ตัวแทนผู้รับเหมาอธิบายกับมัณฑนากรสาวเป็นเชิงออกตัวว่าไม่ใช่ความผิดของตน
“ดิฉันทราบค่ะว่ามันเป็นสิทธิ์ของลูกค้า แต่คุณไม่รู้เหรอคะว่าไม้ MDF ที่คุณแนะนำลูกค้าไปมันไม่เหมาะกับการใช้งานที่ต้องเจอกับความชื้น แล้วไม้แท้ที่ดิฉันเลือกมันเหมาะกับการใช้งานของลูกค้าที่สุดแล้วนะคะ” มุกรินพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจถึงจุดประสงค์ในการเลือกวัสดุ
“ไม่ถูกมั้งครับไม้ MDF ไม่ใช่จะทนความชื้นไม่ได้สักหน่อย” ตัวแทนผู้รับเหมาเอ่ยตอบด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน หนำซ้ำยังทำราวกับว่ามัณฑนากรสาวเป็นพวกอีโก้สูง
“ฉันทราบค่ะว่าไม้ MDF ทนความชื้นได้ แต่ไม่ใช่สำหรับสถานที่ที่อาจจะโดนน้ำทุกวันแบบนั้น คุณเคยได้ยินคำนี้ไหมคะ เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย”
“แล้วยังไงครับ นี่คุณ ฟังนะผมรู้ครับว่าคุณต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าแต่คุณต้องเข้าใจนะว่ามันเกี่ยวกับเงินลงทุนด้วย ในเมื่อลูกค้าเขาอยากใช้งบที่น้อยลงเราก็ต้องตอบสนองความต้องการของเขา แล้วอีกอย่าง คุณจะไปเดือดร้อนอะไรถ้าของมันพังเขาก็ซื้อใหม่เองแหละ คุณจะเดือดร้อนแทนทำไมครับ” มุกรินถึงกับยืนอึ้งดวงตาเรียวรีเป็นกระกายร้อนผ่าว เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่มีตรรกะป่วยจะทำงานอยู่ในสายอาชีพนี้ได้ เธอยอมรับว่าต้นทุนของวัสดุที่เธอเลือกค่อนข้างราคาสูง แต่หากวัสดุไม่เหมาะสมกับการใช้งานแถมยังต้องเสียเงินซ้ำซ้อน จากที่จะช่วยลดต้นทุนอาจจะเป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุ มัณฑนากรผู้ถือคติ ประโยชน์สูงสุดของลูกค้าคือคำตอบสุดท้าย จึงสั่งสอนอีกฝ่ายด้วยการทำงานอย่างมีจรรยาบรรณของเธอ
“ถ้าคุณคิดได้แค่นี้ฉันขอแนะนำให้คุณไปเปลี่ยนงานเถอะค่ะ เพราะความคิดของคุณมันชุ่ยมาก” มุกรินตอบกลับด้วยท่าทางไม่เกรงกลัวอีกฝ่าย แม้เธอจะเป็นผู้หญิงเพียงตัวเล็ก ๆ แต่เธอก็ไม่คิดจะยอมให้ใครมาเอาเปรียบเงินลูกค้าได้ เมื่อตัวแทนผู้รับเหมาถูกมัณฑนากรสาวต่อว่าด้วยถ้อยคำดูหมิ่นก็ทำท่าจะเข้าไปหาเรื่องเธอ
“นี่คุณมันจะมากเกินไปแล้วนะ”
“แล้วยังไงคะ” มุกรินประจันหน้ากับอีกฝ่าย เป็นไงเป็นกันสิ ในเมื่อการแนะนำสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดให้กับลูกค้ามันคือหัวใจสำคัญของผู้รับเหมารวมถึงมัณฑนากรอย่างเธอด้วยเช่นกัน
ในระหว่างที่ทั้งคู่มีปากเสียงกันอยู่นั้นเสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“ไม่ทราบว่ามีอะไรกันเหรอครับ” ทั้งสองคนหันไปยังเจ้าของเสียงเข้ม ตัวแทนผู้รับเหมาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา ต่างจากมุกรินตอนตอนนี้เธอกลับเหมือนคนที่กำลังถูกมนต์สะกด...
เจ้าของร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทางสุขุมคือ อาทิตย์ อัครราช เขาคือลูกชายของคุณประภพ ไม่ใช่เรื่องแปลก หากเธอจะรู้จักคนในครอบครัวของผู้มีพระคุณในชีวิต โดยเฉพาะสถาปนิกฝีมือดีอย่างอาทิตย์ที่ถือว่าทำงานอยู่ในแวดวงเดียวกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่รู้จัก ที่ผ่านมามุกรินหลีกเลี่ยงอาทิตย์มาโดยตลอด แม้คุณประภพจะไม่เคยสั่งห้ามแต่เธอก็รู้ว่าตัวเองไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนในครอบครัวของคุณประภพ
ทั้งสองคนจึงไม่ต่างอะไรกับคนที่เดินเฉียดกันไปมาบนถนนครั้งแล้วครั้งเล่า
ทว่าสาเหตุที่ทำให้ภายในใจของมุกรินวูบไหวไม่ใช่คุณสมบัติเพียบพร้อมของอีกฝ่าย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่ปีก็เหมือนกับว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเพิ่งจะเกิดขึ้น ความใจดี แววตาอันแสนอ่อนโยนคู่นั้น ทุกคำพูดและทุกการกระทำของอาทิตย์มุกรินยังคงจดจำเป็นความประทับใจ ถึงแม้ว่าเขาจะจำเรื่องราวในวันนั้นไม่ได้แล้วก็ตาม