แค่บังเอิญฤาพรหมลิขิต (50%)

3511 คำ
ระหว่างที่สาวเจ้ากำลังขี่จักรยานไปตามถนนเฉอะแฉะอย่างระมัดระวังนั้น ก็มีรถคันหนึ่งวิ่งตามหลังมาด้วยความเร็วปานจรวด อารดาหันข้างไปมองเพียงนิด จึงเห็นว่ารถที่วิ่งตามหลังมาในระยะกระชั้นชิดคือสปอร์ตสีแสดแสบตา สนนราคาสักกี่มากน้อยก็มิอาจทราบได้ เพราะเธอไม่ค่อยใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว สำหรับอารดาแค่มีน้องเขียวสะอื้นไว้ขับไปไหนมาไหนก็มากพอแล้ว ใช่ว่าเธอจะไม่มีเงินซื้อข้าวของเครื่องใช้แพงๆ เหมือนคนอื่น ตรงกันข้ามถ้าไม่นับการว่าความฟรีให้คนยากคนจน ว่าความแต่ละทีเธอได้ค่าตอบแทนอย่างงาม เพราะล้วนเป็นคดีใหญ่ๆ และมีความยุ่งยากซับซ้อน รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาให้เหล่าคนดังและนักธุรกิจแถวหน้าก็รับทรัพย์อื้อซ่า ไหนจะยังมรดกที่บิดาและมรดาได้ทิ้งเอาไว้ให้ก็ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เธอไม่ชอบทำตัวฟุ้งเฟ้อไปตามกระแสของสังคมหรือค่านิยมที่ผิดๆ เพราะการอยู่อย่างพอเพียงและเรียบง่ายดูจะเหมาะกับเธอมากกว่าเป็นไหนๆ  “เฮอะ…พวกเศรษฐีจอมเบ่งนี่เอง” หญิงสาวทำเสียงขึ้นจมูกนิดๆ ด้วยความหมั่นไส้ให้ผู้ที่ขับรถไร้มารยาท ขนาดฝนตกอย่างนี้ยังจะมาทำซิ่งไม่ดูตาม้าตาเรืออีก ทันใดนั้นแรงเสียดทานจากล้อรถยนต์และพื้นถนนก็ทำให้น้ำกระเด็นมาโดนตัวเธอเข้าเต็มเปา   ซ่า!!!   “ว้าย!” หญิงสาวหลุดอุทานเสียงหลง ดวงตากลมโตพลันเบิกกว้าง ทันทีที่รถจักรยานเซเข้าข้างทาง เพราะถนนค่อนข้างลื่นเนื่องจากฝนตก บวกกับดอกยางจักรยานไม่ค่อยมีทำให้เธอไม่สามารถประคองมันเอาไว้ได้ สุดท้ายร่มกับคนก็ปลิวไปคนละทิศคนละทาง ร่างอ้อนแอ้นกระเด็นจากจักรยานไปนั่งแหมะอยู่ริมถนนที่มีน้ำเฉอะแฉะ ขณะที่ร่มหักไม่เป็นท่า ส่วนรถคู่กรณีก็เหยียบคันเร่งจากไปอย่างไม่อนาทรร้อนใจจนน่าโมโห   “ไอ้บ้าเอ๊ย ขับรถประสาอะไรวะ!” อารดาแผดเสียงด่าทอไล่หลังด้วยความคับข้องใจสุดขีด ขณะยกมือขึ้นปาดหยาดน้ำออกจากใบหน้ากระจ่างใสด้วยอาการกระแทกกระทั้น พยุงกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล แล้วดึงแว่นตาที่ยังเกี่ยวอยู่ตรงหูทั้งสองข้างออกมา เดชะบุญที่มันไม่หล่นแตก จากนั้นก็บรรจงใช้หลังมือเช็ดหยาดน้ำออกจากเลนส์หนาเตอะอย่างทะนุถนอม แล้วจึงใส่มันกลับเข้าไปที่เดิม “อย่าให้เจออีกนะ แม่จะเอาคืนเสียให้เข็ด” หญิงสาวเท้าสะเอวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วก้มลงมองสภาพน่าสมเพชของตัวเองอย่างโมโหสุดฤทธิ์ เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำสกปรกเป็นดอกเป็นดวง ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นฟ้ากลอกตาไปมาอย่างระงับอารมณ์   “อูย…ช่วงล่างฉันจะพังไหมเนี่ย” ครั้นโน้มตัวลงเอาจักรยานเธอก็ต้องสูดปากครางยืดยาวด้วยความปวดแปลบที่บริเวณสะโพกมน ก่อนจะบ่นอุบพร้อมทำหน้าหงิก   “ฮึ่ม…ถ้าช่วงล่างฉันพังจนมีลูกไม่ได้ ฉันจะตามฟ้องร้องไอ้เจ้าของรถสปอร์ตเฮงซวยนั่นจนไม่เหลือแม้กระทั่งกางเกงในเลย คอยดู!” จากนั้นทนายความสาวก็เอียงคอทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย “เออ…แล้วฉันจะมีลูกได้ยังไงในเมื่อฉันยังหาพ่อของลูกไม่ได้ แต่ก็ช่างประไร ฉันจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายให้กับ ‘ช่วงล่าง’ ของฉัน” จากนั้นอารดาก็ดึงฮู้ดเสื้อกันหนาวขึ้นมาคลุมศีรษะ แล้วถีบจักรยานกลับบ้าน ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงหยาดรินลงมาจากฟากฟ้า พร้อมสวดส่งคนที่ทำให้เธอต้องมีสภาพดูไม่จืดไปตลอดทาง ครั้นผ่านสวนสาธารณะดวงตากลมโตก็เหลือบไปเห็นรถคู่กรณีเข้าพอดี เจ้าของร่างระหงเบรกจักรยานคู่ใจจนตัวโก่ง แล้วรีบเอามันไปจอดหลบไว้ที่หลังพุ่มไม้ ก่อนจะลอบด้อมๆ มองๆ อยู่พักใหญ่  “เสร็จฉันละ” เมื่อแน่ใจว่าเจ้าของรถสปอรต์สีแสดแสบตาไม่ได้อยู่บริเวณนั้น สาวเชยก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทางมาดร้าย ก่อนจะจัดการปล่อยลมออกจากยางรถยนต์คันหรูทีละล้อ ซึ่งเป็นจังหวะที่ชายหนุ่มคุยธุระสำคัญกับใครบางคนเสร็จสิ้นและเดินกลับมาที่รถของตัวเองพอดี “เฮ้ย…คุณทำอะไรรถผมน่ะ!” เสียงทักไม่เบานักทำให้คนกระทำการอุกอาจสะดุ้งโหยง รีบลนลานผุดลุกขึ้น แล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่   “ผมถามว่าคุณทำอะไรกับรถผมไม่ทราบครับ คุณผู้หญิง” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเอาแต่เม้มปากจนเกือบเป็นเส้นตรง เขาก็เอ่ยคาดคั้นเสียงเข้มติดจะดุ “ฉันเปล่าทำอะไรรถคุณสักหน่อย” หญิงสาวอุบอิบตอบโต้ขณะก้มหน้างุด เมื่อเห็นสาวเจ้าทำเหมือนไม่สนใจที่จะมองหน้าคนหล่ออย่างเขา เดเรคก็ชักหงุดหงิด จนไม่นึกเฉลียวใจ ว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายทำอะไรกับรถของตัวเองบ้าง “นี่คุณผู้หญิง ไม่เคยมีใครสอนคุณหรือไง ว่าเวลาคุยกับคนอื่นให้มองหน้าและสบตา ไม่ใช่มัวแต่มองเล็บขบของตัวเองอยู่แบบนั้น” น้ำเสียงห้าวกระด้างออกแนวตำหนิ  “อย่ามาว่าฉันนะ!” อารดาผงกหัวขึ้น แล้วสวนกลับอย่างฉับไว ถึงแม้บุคลิกจะดูเฉิ่มเชย แต่เธอก็ทันคนและฝีปากกล้า จนได้ชื่อว่าเป็นทนายความน้องใหม่ไฟแรงของไมอามี  ครั้นมีโอกาสได้มองใบหน้าหล่อระเบิดเต็มๆ คนตัวเล็กก็ถึงกับเบิกตากว้างและตะลึงงันไปชั่วขณะ ‘เขา…คือผู้ชายคนนั้น คนที่ขโมยจูบแรกของเราไป’   “โอ้…พระเจ้า บนโลกใบนี้ยังมีผู้หญิงเชยระเบิดหลงเหลืออยู่อีกเหรอเนี่ย” หลังจากใช้สายตาคมกริบสำรวจสาวเจ้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน พ่อเจ้าประคุณก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจสุดขีด เพราะนึกไม่ถึงว่าในยุคสมัยที่แฟชั่นมาแรงเช่นนี้ จะยังมีผู้หญิงแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีทึมๆ ตัวโคร่งจนมองดูเทอะทะ ใส่แว่นตาหนาเตอะ และสวมรองเท้าส้นเตี้ยแสนเชย สรุปแล้วคร่ำครึประหนึ่งโบราณวัตถุเคลื่อนที่ เสี้ยววินาทีถัดมาความคิดหนึ่งก็แว่บขึ้นมาในสมองอันเฉียบแหลมของพ่อหนุ่มเพลย์บอยตัวร้าย ‘รู้สึกคุ้นหน้าว่ะ แต่ไม่ใช่สเปก ก็เลยจำไม่ได้’  จากนั้นเจ้าตัวจะสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งอย่างฉับไว เพราะไม่ได้นึกแยแสแต่อย่างใด “คุณคงทำตัวไร้มารยาทกับคนที่เพิ่งเจอกันแบบนี้ทุกคนสินะ” “ก็ไม่นะ ปกติผมออกจะเป็นสุภาพบุรุษ แต่มาดีแตกเพราะสาวเชยหลุดโลกอย่างคุณนั่นแหละ” เดเรคเปิดฉากก่อกวนในแบบที่เขาถนัด   “เฮอะ…ตัวเองหล่อตายละ” อารดาสวนกลับด้วยเสียงขึ้นจมูก ฝีปากที่ดูท่าว่าจะไม่ธรรมดาทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของเขาอันตรธานไปอย่างพิลึก อีกทั้งนึกอยากเอาชนะสาวเจ้าขึ้นมาครามครัน   “หล่อไม่หล่อ ผมก็ทำเอาสาวๆ ทั่วทั้งโลกเพ้อมาแล้ว” คนหลงตัวเองเข้าขั้นยักคิ้วยวนยั่ว   “คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลงั้นสิ” อารดาเบ้ปาก แล้วกล่าวประชดประชัน “ก็ประมาณนั้น” พ่อหนุ่มหล่อไหวไหล่ทรงพลังเบาๆ  “หลงตัวเองเกินเยียวยา” หญิงสาวเปรยออกมาอย่างลอยๆ ทำให้อีกฝ่ายกระตุกยิ้มที่มุมปาก นึกอยากจะต่อปากต่อคำกับสาวเจ้าอย่างประหลาดล้ำ  ‘เฉิ่มและเชย แต่ฝีปากจัดจ้าน แถมยังเสียงหวานใสราวระฆังแก้วอีกด้วยแฮะ’ ชายหนุ่มคิดอย่างลืมตัว ไม่น่าเชื่อว่าแม่สาวหลงยุค ซึ่งมีนิสัยกับบุคลิกขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงจะมีอะไรน่าค้นหาอยู่ลึกๆ “ผมหลงตัวเองน่ะไม่เป็นไร ว่าแต่คุณอย่ามาหลงผมก็แล้วกัน” เสียงทุ้มนุ่มหูสัพยอกเบาๆ  “รอให้น้ำท่วมหลังเป็ดก่อนเถอะพ่อคุณ”  “เห็นท้าอย่างนี้ สุดท้ายก็อ่อนระทวยมาซบอกผม…ทุกราย” พ่อเจ้าประคุณเอ่ยออกมาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ “เว้นฉันไว้สักคนเถอะย่ะ พ่อคนเสน่ห์แรง”  “สบายใจได้ทูนหัว ตอนนี้ผมยังไม่มีอารมณ์อยากกระเดือก ‘ของแปลก’ แต่ถ้าเกิดหน้ามืดขึ้นมา…ก็ไม่แน่” ชายหนุ่มหลิ่วตาให้ในท้ายประโยค   “ถึงฉันจะเป็นของแปลก แต่ก็เป็นของแปลกที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ย่ะ” หญิงสาวเชิดหน้าตอบโต้อย่างถือดี  “งั้นคุณก็หายห่วงได้เลยทูนหัว เพราะผมยังไม่อยากทำตัวเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ จนถึงขั้นสะสมพวกโบราณวัตถุ หรือเคารพบูชาปูชนียบุคคล” คำพูดที่หลุดออกมาจากปากหยักทำเอาคนฟังต้องกำหมัดแน่น “ฉันต้อง ‘ขอบคุณ’ คุณงั้นสิ” เสียงหวานเอ่ยประชด ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มร่า จากนั้นเขาก็จับจ้องใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่อยู่หลังกรอบแว่นตาไม่กะพริบ  “อืม…จะว่าไปแล้ว คุณก็สวยเหมือนกันนะ แต่สวยแบบ…พอเพียง”   “ไอ้คนบ้า!” อารดาตวาดแว้ดเข้าให้ แต่กระนั้นคนที่โดนด่าก็ยังลอยหน้ายิ้มใส่ตา ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วมุ่นด้วยความฉงน ตอนแรกก็ไม่ได้นึกเอะใจอะไร แต่ยิ่งมองหน้าเธอก็ยิ่งคลับคล้ายคลับคลาจนเขาอดใจไม่ไหว “เอ๊ะ…ว่าแต่เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าเนี่ย ทำไมผมถึงรู้สึกคุ้นหน้าคุณจังเลย แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ขณะยกมือกระด้างลูบปลายคาง และกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด  “ไม่ เราสองคนไม่เคยเจอกัน อย่างแน่นอน!” อารดารีบปฏิเสธทันควัน   “แต่ท่าทีของคุณมันบ่งบอกว่า เรามีอะไร ‘ลึกซึ้ง’ มากกว่าเจอกันอีกนะสาวน้อย” พ่อตัวโตเริ่มตั้งข้อสังเกตจากพิรุธที่เธอเผยออกมา ถ้อยคำที่จงใจเน้นย้ำบางวลี เรียกรอยริ้วแดงๆ แต่งแต้มบนผิวแก้มนวลเนียนของคนฟังอย่างมิอาจห้ามได้   “อย่าเที่ยวมาสันนิษฐานมั่วๆ ไปหน่อยเลย ฉันบอกว่าไม่ก็ไม่สิ” เจ้าของน้ำเสียงแข็งกระด้างออกแนวบีบบังคับ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเพียงโคลงศีรษะเบาๆ “โอเค ไม่ก็ไม่ เอ่อ…ว่าแต่ ‘แม่ชี’ มาทำอะไรในเวลาเช้าๆ แบบนี้ล่ะ ที่จริงเวลานี้พวกแม่ชีน่าจะทำวัตรเช้า หรือไม่ก็กิจของชีอะไรเทือกนั้น ไม่ใช่เหรอ” พ่อคนรู้มากเปลี่ยนประเด็นด้วยท่าทางครื้นเครง  “แสนรู้แบบนี้ เคยบวชชีหรือไงยะ”  “ไม่เคย แต่อกหักเพราะรักชี” เจ้าของร่างทรงพลังลอยหน้าสวนกลับอย่างนึกสนุก “มารศาสนา!” เสียงหวานประณามเข้าให้   “ใครๆ เขาก็ว่าอย่างนั้น แล้วคุณล่ะบวชชีเพราะหนีรักหรือเปล่า” ชายหนุ่มยักไหล่เบาๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยท่าทางกวนๆ   “ฉันไม่ใช่แม่ชี แต่เป็นผู้เสียหายที่ไอ้ผู้ชายเฮงซวยมันขับรถเบียดจนตกขอบถนนต่างหากละ” เจ้าของใบหน้าบึ้งตึงเอ่ยเหน็บแนมอย่างเหลืออด   “อือฮึ…พอว่า สภาพถึงได้ดูไม่จืดขนาดนี้” แทนที่จะสะทกสะท้าน พ่อคนหน้ามึนกลับยกลำแขนกำยำขึ้นกอดอกมองสาวเจ้าด้วยนัยน์ตาเต้นระริก พร้อมกับเอ่ยยอกย้อนเสียงกลั้วหัวเราะชวนหมั่นไส้เป็นที่สุด   “ทุเรศสิ้นดี นอกจากจะไม่สำนึกผิดแล้ว ยังมาหัวเราะเยาะคนอื่นอีก” ทนายความสาวตะเบ็งเสียงขุ่นคลั่กประณามอย่างไม่ไว้หน้า มองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ขณะรวบมือเรียวทั้งสองข้างกำเป็นหมัดเพื่อสกัดกลั้นอารมณ์เอาไว้อย่างสุดความสามารถ วาจาสามหาวที่หลุดออกมาจากปากแม่สาวตกเทรนด์หลงยุคเรียกรอยยิ้มร้ายกาจผุดขึ้นที่มุมปากหยักลึก “ปากดีแบบนี้ มันน่าสั่งสอนเสียให้เข็ด” ชายหนุ่มเค้นเสียงเย็นเยียบข่มขู่ พลางยกมือลูบหยาดน้ำออกจากใบหน้าหล่อระเบิดระเบ้อ เพราะขณะที่ยืนต่อปากต่อคำกับแม่สาวแสบอยู่นั้น หยาดฝนก็ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างบางเบาคล้ายละอองหมอกตลอดเวลา  “นึกว่าตัวเองมีมือมีเท้าอยู่คนเดียวหรือไงยะ” อารดาขู่ฟ่อพลางชูกำปั้นหรา ท่าทางขึงขังเอาเรื่องของแม่สาวแฟชั่นตกยุคทำให้เขาอารมณ์ดีพิลึก   “โอ๊ะโอ๋…เก่งซะด้วยแฮะ แต่ผู้หญิง ‘อ่อนด้อย’ และดูท่าว่าจะ ‘ไม่เคย’ ต้องมือชายอย่างคุณ ผมคงไม่ถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือให้เปลืองแรงหรอกมั้ง แค่ ‘จูบ’ เดียวก็อ่อนระทวยจนยอมศิโรราบแล้ว” ในตอนท้ายชายหนุ่มจงใจยื่นใบหน้าหล่อลากไส้เข้ามาเฉียดพวงแก้มสีระเรื่อ คนโดนปรามาสผงะถอยหลังไม่เป็นขบวน  ‘ให้ตายเถอะ…เราชอบชะมัด เวลาที่ยัยแม่ชีสี่ตาทำท่าเอียงอายเช่นนี้’ ท่าทางเหมือนกวางน้อยระวังภัยของคนตัวเล็กทำให้เดเรคพอใจอย่างน่าประหลาด  “ผมยังไม่ ‘จูบ’ จริง คุณก็หน้าแดงแล้วเหรอแม่ชีน้อย” เจ้าพ่อหนุ่มยียวนแกมล้อเลียน พร้อมจ้องดวงหน้าสุกปลั่งอย่างนึกเอ็นดู เนื่องจากไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนหน้าแดงเพียงเพราะคำพูดเย้าแหย่ไม่กี่ประโยคมาก่อนในชีวิต  “ไอ้คนทุเรศ!” อารดาตะเบ็งเสียงกราดเกรี้ยวตอบโต้ พร้อมเหวี่ยงหมัดหวังจะซัดคนกวนประสาทให้เลือดกลบปาก แต่เขาดันไหวตัวทัน คว้าหมัดน้อยๆ ไว้ได้ก่อน ชั่วอึดใจหญิงสาวก็ต้องเบิกตาโพลงและอ้าปากค้าง เมื่อพ่อเจ้าประคุณฉวยโอกาสจรดริมฝีปากร้อนผ่าวลงบนหลังมือเกลี้ยงเกลาอย่างหน้าตาเฉย  ฟอด!  “อื้อหือ…หอมเป็นบ้า!” ชายหนุ่มแสร้งอุทานเสียงดัง ก่อนจะยักคิ้วอย่างกวนๆ ทันทีที่ได้สติสาวเชยก็รีบบิดข้อมือกลมกลึงให้หลุดพ้นจากพันธนาการแกร่ง แล้วถอยกรูดมาตั้งหลัก   “ไอ้คน…”  “ผมทำไม” เดเรคลอยหน้ายิ้มใส่ตาอย่างยวนยั่ว รู้สึกชอบใจที่เห็นแก้มเนียนใสของสาวเชยแดงก่ำเป็นเท่าตัวเพราะฤทธิ์ของเพลิงโทสะ หญิงสาวกำลังจะง้างฝ่ามือขึ้นประเคนลูกตบใส่คนกวนประสาทสักฉาดเพื่อดับอารมณ์ ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายรวบข้อมือกลมกลึงเอาไว้เสียก่อน หนำซ้ำพ่อตัวโตยังหลิ่วตาให้อย่างเย้ยๆ   “ถ้าจะตบผม คุณต้องเร็วกว่านี้หน่อยนะทูนหัว เพราะไม่งั้นจะโดนลงโทษแบบนี้…” ยังไม่ทันจะขาดคำร่างอรชรอ้อนแอ้นก็ปลิวไปปะทะแผงอกกว้าง ทันใดนั้นเขาก็ทำในสิ่งที่เธอไม่คาดคิด   จุ๊บ!   อารดาเบิกตากว้าง อ้าปากหวอ หัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามจนแทบจะกระเด็นออกมานอกอก ยกมือขึ้นกุมแก้มร้อนฉ่าข้างที่โดนคนกักขฬะขโมยจุมพิตไปอย่างอุกอาจด้วยความตกตะลึงสุดขีด ก่อนที่เสียงกลั้วหัวเราะซึ่งดังชิดหน้าผากมนจะดึงสติของเธอกลับมาอีกครา   “ว้าว…แก้มก็หอมเหมือนกันแฮะ อยากรู้จังเลยว่า…จะหอม ‘ทั้งตัว’ หรือเปล่า” ท้ายประโยคเจ้าของร่างทรงพลังว่าพลางจงใจกวาดสายตาสีเฮเซลสแกนเธออย่างอ้อยอิ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า  “คุณตอบแทนผู้เสียหายจากการกระทำโอหังของคุณแบบนี้ทุกคนเลยหรือไง” หญิงสาวโต้กลับเสียงห้วนจัด ขณะกำหมัดตัวสั่นเทิ้ม   ‘ดู๊ดู…ไอ้ผู้ชายหล่อแต่เลวคนนี้ทำสิ ขับรถเบียดเราจนตกขอบถนน แล้วยังมีหน้ามากวนประสาทอีก’ คิดแล้วเธอก็อยากจะกระทืบเท้าเต้นเร่าๆ ให้หายอัดอั้นตันใจยิ่งนัก   “แหม…อยากได้ค่าเสียหายก็ไม่บอกตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องมายืนตากฝนให้เมื่อยตุ้มอยู่แบบนี้” ถ้อยคำหยามหมิ่นที่ถูกพ่นออกมาจากหยักทำให้ดวงตากลมโตวาวโรจน์ในบัดดล   “เก็บเศษเงินของคุณไว้เถอะพ่อมหาเศรษฐีใหญ่ อ้อ…ถ้ามันเหลือกินเหลือใช้มากนักก็หัดเอาไปทำบุญซะบ้างนะ เผื่อเกิดชาติหน้าจะได้ไม่มีนิสัยยอดแย่แบบนี้” กล่าวจบอารดาก็เชิดหน้าเดินจากไป   “ฮึ่ม…ยัยเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!” มหาเศรษฐีหนุ่มคำรามลั่นด้วยความเดือดดาล ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่ายางรถสปอร์ตสุดเฟี้ยวของตัวเองแบนแต๊ดแต๋ และคงไม่ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือใคร  “แม่ตัวร้าย เธอต้องโดนสั่งสอนให้หลาบจำ!” หลังจากเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เจ้าของร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างก็ก้าวยาวๆ ตามไปฉวยข้อมือกลมกลึงไว้ได้ทันพอดี ออกแรงเพียงนิดร่างบางก็ปลิวมาปะทะแผงอกกว้าง “อ๊ะ!” เสียงหวานหลุดอุทานด้วยความตกใจ ก่อนที่เขาจะพันธนาการแม่สาวเชยแต่แสบสันถึงทรวงด้วยอ้อมแขนแกร่ง ลมหายใจผ่าวระอุที่รินรดใบหน้าเนียนใสทำให้อารดาหวาดหวั่นขึ้นมาครามครัน  “แสบเข้าไส้แบบนี้ มันต้องตบ…ด้วยปาก” เสียงห้าวกระด้างจงใจเอ่ยชิดกลีบปากเต้นระริก   “อย่านะ อุ๊บ!” หญิงสาวห้ามปรามได้เพียงเท่านั้น ก่อนที่ถ้อยคำต่อมาจะถูกกลืนกลับลงไปในลำคอ พร้อมกับที่พ่อเจ้าประคุณประกบริมฝีปากสีกุหลาบ ถึงแม้จะมีแว่นกลางกั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่ช่ำชองในเชิงรัก  เขาบดขยี้กลีบปากสีกุหลาบอย่างดุดันระคนดิบเถื่อน ครั้นสบโอกาสพ่อคนโอหังก็ไม่พลาดที่จะสอดแทรกเรียวลิ้นร้ายกาจเข้าไปกวาดต้อนความหวานล้ำในกระพุ้งแก้มอิ่มอุ่น หนำซ้ำยังย่ามใจหลอกล่อให้แม่สาวอ่อนเดียงสาหลงระเริงไปกับรสจูบสะท้านทรวง ลิ้นเล็กเกี่ยวกระหวัดรัดรึงกับลิ้นสากอย่างเงอะๆ งะๆ ทว่าเรียกเสียงครางกลั้วลำคอหนาด้วยความพึงพอใจได้เป็นอย่างดี เมื่อฝ่ามือกระด้างทว่าร้อนผ่าวเคลื่อนจากเอวคอดกิ่วมายังหน้าอกอวบอิ่ม แล้วเคล้นคลึงอย่างหน่วงหนักอารดาก็เริ่มได้สติ รวบรวมกำลังเพียงน้อยนิดผลักไสร่างสูงใหญ่ไหล่กว้าง ขณะพยายามเบี่ยงหน้าหลบเลี่ยงพัลวัน หากแต่ไม่เป็นผล กระทั่งพ่อจอมฉกฉวยตักตวงความหวานล้ำจนหนำใจนั่นแหละ เขาถึงได้ยอมผละห่างจากปากเจ่ออย่างอ้อยอิ่ง ส่วนคนที่เพิ่งโดนปล้นจูบไปหมาดๆ ก็รีบถอยหลังกรูดทันทีที่สติกลับมาเยือน  “ไม่เลวนี่” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงห้าวเจือแหบ ดวงตาพราวระยับจับจ้องกลีบปากบวมเจ่อเขม็ง แม่สาวเชยไร้เสน่ห์จนดูจืดชืดกำลังทำให้กายหนุ่มร้อนรุ่ม ด้วยความปรารถนาเพียงแค่จูบเดียว แต่ก็ไม่น่าแปลกสักเท่าไร เพราะเขาเพิ่งนึกได้เมื่อกี้นี้เองว่าเธอคือผู้หญิงหน้าบ้านๆ นมแบนๆ คนนั้น คนที่เขาปล้นจูบแรกไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว ไม่ผิดตัวแน่ ถึงแม้หน้าตาเธอตอนใส่แว่นกับไม่ใส่แว่นจะแตกต่างกันจนทำให้เขาเกิดความสับสนไปบ้าง แต่กลิ่นสาบสาวหอมกรุ่นยวนใจและรสจูบแสนหวานล้ำเกินจะบรรยายยังประทับอยู่ในทุกห้วงความทรงจำ และเขาก็ไม่เคยลืมเลือนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันจนกระทั่งถึงทุกวันนี้    “ฉันน่ะไม่เลว แต่คุณมันโคตรสารเลว!” อารดาประณามเสียงขุ่นคลั่ก พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดปากแรงๆ ด้วยท่าทางขยะแขยงรสสัมผัสอันแสนซาบซ่านสะท้านทรวง  “คนโดนขโมยจูบแบบไม่ทันตั้งตัว คงจะสติแตกอย่างนี้ทุกคนสินะ” คำพูดแทงใจดำทำให้คนตัวเล็กถึงกับปรี๊ดแตก “ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ไอ้คนลามก นี่แน่ะ!” ยังไม่ทันจะขาดคำแม่สาวแสบก็กระทุ้งหัวเข่าเข้าที่จุดยุทธศาสตร์ของจอมฉกฉวยอย่างจัง   “โอ๊ย!” เดเรคตัวงอและร้องอุทานลั่นด้วยความเจ็บปวด “ลานะคะ…คุณหื่น และหวังว่าเราสองคนคงจะไม่ได้โคจรมาเจอกันอีกตลอดชีวิต” หญิงสาวลอยหน้าแสยะยิ้มด้วยความสะใจเหลือแสน ก่อนจะเดินลิ่วจากไปพร้อมเสียงหัวเราะเยาะหยันดังสนั่น  “โว้ย…ถ้าเจอกันอีกครั้ง ฉันเอาเธอตายแน่ ยัยแม่ชีหลงวัด!” ถ้อยคำอาฆาตมาดร้ายถูกเค้นออกมาจากลำคอปูดโปน เจ้าพ่อหนุ่มสติขาดกระจุย จนร่ำๆ ว่าจะตามไปคิดบัญชีกับสาวเชยสุดแสบให้สาแก่ใจ แต่ฤทธิ์จากเข่าน้อยของเธอกลับทำให้เขาจุกจนแทบเดินไม่ไหว  “เฮอะ…ฝันไปเถอะว่าคุณจะได้เจอกับฉันอีก กลับถึงบ้านเมื่อไรฉันจะสวดมนต์ให้คุณไปสู่สุขติแน่ ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!” อารดาเบ้ปากอยู่คนเดียว ก่อนจะเดินไปเอาจักรยานคู่ใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม