'คนเรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร?'
คำถามที่หลายคนคงจะตอบได้ไม่ยาก บางคนอาจจะตอบว่าอยู่เพื่อชดใช้กรรมเก่าจากชาติที่แล้ว บางคนอาจจะตอบว่าอยู่เพราะเป็นวัฏจักรของชีวิต อยู่เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ บางคนก็อาจจะตอบไม่ได้ว่าอยู่ไปเพื่ออะไร แต่ในเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องอยู่
สำหรับคนที่เกิดมาในสภาพที่อัตคัดขัดสนและต้องดิ้นรนตลอดเวลา ความหมายของชีวิตอาจจะดูรันทดหดหู่จนไม่อยากก้าวต่อ ผิดกับคนที่เกิดมาในสภาพสมบูรณ์พร้อมและไม่ต้องดิ้นรน ความหมายของชีวิตอาจจะดูสบายและน่าอิจฉา
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่า ความหมายในการมีชีวิตอยู่ของบุคคลนั้นคืออะไร...
"ไม่ได้เรื่อง" เสียงเบา ๆ พร้อมกับสายตาที่ละความสนใจในหนังสือที่กำลังอ่านเงยหน้าขึ้นมองไปทางผนังกระจกบานกว้างที่อยู่ไม่ไกลด้วยสายตาที่ว่างเปล่า อีกด้านของกระจกบานหนาคือตึกสูงและอาคารระดับต่าง ๆ กัน พระอาทิตย์กลมโตทอแสงนวลสวยผ่านบรรยากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันก่อนจะเลื่อนลงมาจนต่ำและถูกเหลี่ยมมุมของอาคารบ้านเรือนกลืนกินแสงของมันทีละน้อย
ชายหนุ่มหันกลับมามองหนังสือที่ยังเปิดค้างไว้บนโต๊ะตัวกว้างกลางห้องทำงานขนาดใหญ่ สายตาเขาช่างดูว่างเปล่าและไร้ความรู้สึกใด ๆ ขัดกับใบหน้าหล่อคมเข้มราวกับดารานักแสดงนำระดับฮอลลีวูด เขาเอื้อมมือปิดหนังสือที่อ่านไปเมื่อสักครู่ หยิบมันขึ้นมาแล้วเหวี่ยงไปที่โต๊ะรับแขกตรงมุมหนึ่งของห้องอย่างไม่ใยดี
"ว้าย!" เสียงร้องด้วยความตกใจของหญิงสาวดังขึ้น และมองมาที่ชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มและเดินไปเก็บหนังสือที่ถูกเหวี่ยงมาใส่ตะกร้านิตยสารข้างชุดโซฟารับแขก
"อารมณ์ไม่ดีอีกแล้วเหรอคะพัท?" เธอยิ้มทักทายชายหนุ่มสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ความรู้สึกที่นั่งหลังโต๊ะตัวกว้างอย่างอ่อนหวาน
"เข้ามาทำไม สุชาวดี" ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบ
"ปายจะกลับบ้านแล้วนี่คะ ปายก็เลยเข้ามาเรียกพัท ค่ำแล้วนะคะ กลับบ้านกันเถอะ" สุชาวดีเดินเข้ามาหลังโต๊ะทำงาน ยกแขนโอบรอบคอชายหนุ่มและออดอ้อน
"หลีกไปซะ อย่ามาทำกิริยาเหมือนหญิงงามเมืองกับผม"
"ว้าย! พัทคะ! ทำไมพูดจาแบบนี้อีกแล้ว! ปายเป็นคู่หมั้นพัทนะ!" สุชาวดีร้องออกมาด้วยความไม่พอใจ และยิ่งชายหนุ่มแกะแขนเธอออกแล้วขยับเก้าอี้หนี ก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจมากขึ้น
"ก็แค่คู่หมั้น ยังไม่ได้แต่งงานสักหน่อยนี่ คุณคิดว่าเป็นคู่หมั้นผมแล้วอยากจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ" พัทธดนย์แค่นเสียง เขาปรายตามองมาที่หญิงสาวด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้อีกด้านและเดินออกไปที่ประตูห้องทำงานโดยไร้ความสนใจคนที่กำลังโกรธ
"พัทคะ! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!" สุชาวดีขึ้นเสียงใส่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้น แต่เขาไม่สนใจเธอและเปิดประตูเดินออกไปแล้ว หญิงสาวกระทืบเท้าด้วยความโมโหแล้ววิ่งตามเขาไป
ทุกทางที่พัทธดนย์เดินผ่าน พนักงานที่อยู่บริเวณนั้นจะต้องรีบก้มหัวคำนับและหลีกทางให้ท่านประธานบริษัทที่เข้มงวดและเย็นชา พร้อมกับเลขาสาวสวยที่มีตำแหน่งคู่หมั้นพ่วงมาด้วยอีกคน
"พัทคะ! นี่คุณจะไม่รอปายเลยงั้นเหรอคะ! ปายโกรธจริง ๆ แล้วนะคะ!" สุชาวดีกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามชายหนุ่มที่ก้าวเท้ายาว ๆ ตรงไปที่รถคันหรูที่จอดอยู่ในลานจอดรถของผู้บริหาร
"จะต้องรอทำไม? ในเมื่อคุณกับผมเอารถมาคนละคัน และคุณก็ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับผม"
"แต่เดือนหน้าปายก็จะย้ายไปอยู่บ้านพัทแล้วนะคะ แล้วปลายปีนี้เราก็จะแต่งงานกันแล้วด้วย พัทควรจะเอาใจใส่ปายให้มากกว่านี้หน่อยสิคะ"
"ในฐานะคู่หมั้นงั้นเหรอ?" พัทธดนย์ย้อนถาม
"ใช่ค่ะ ในฐานะคู่หมั้น ในฐานะคนรัก" สุชาวดีกระแทกเสียงใส่
"งั้นเหรอ? ผมก็เอาใจใส่คุณตามหน้าที่คู่หมั้นที่ดีแล้วไง ตอนกลางวันก็พาไปกินข้าว พาไปชอปปิ้ง และผมก็รูดการ์ดให้คุณซื้อของไร้สาระไปมากแล้วนี่ ยังจะเอาอะไรอีก"
"มันไม่พอค่ะ พัทต้องเอาใจปายมากกว่านี้สิคะ พูดจาหวาน ๆ ให้สมกับเป็นคนรักกัน กอดปายบ้าง ยิ้มให้ปายบ้าง ไม่ใช่เอาแต่พูดจาเสียดแทงและเหน็บแนมปาย พัททำตัวเย็นชากับปายและไม่เคยมีปายอยู่ในสายตาพัทเลย ทั้งที่เราเป็นคนรักกัน" สุชาวดีโวยวายออกมาด้วยความเหลืออด แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้านิ่งและไร้ความรู้สึก
"ผมไม่เคยรักคุณ" ประโยคสั้นและเรียบ แต่กลับจุดชนวนระเบิดความอดทนของฝ่ายหญิงอย่างรุนแรง
"พัทคะ!! คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง!! ปายรักพัทนะ และเราก็หมั้นกันแล้ว วันแต่งงานก็กำหนดแล้ว พัทจะมาบอกว่าไม่รักปายงั้นเหรอ!! พัทขอโทษปายเดี๋ยวนี้เลยนะ!!" สุชาวดีกรีดร้องโวยวายใส่คู่หมั้นหนุ่มตรงลานจอดรถด้วยความโกรธจัด แต่พัทธดนย์กลับมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยและเย็นชา
"กิริยามารยาทเหมือนคนไร้สกุล เอะอะโวยวายเหมือนคนไร้การศึกษา พูดจาเอาแต่ใจเหมือนคนไม่ได้รับการอบรม"
"พัทคะ!!" สุชาวดีกรีดร้องใส่คู่หมั้นหนักขึ้น แต่พัทธดนย์แค่ปรายตามองหญิงสาวแล้วเปิดประตูขึ้นรถ ขับออกไปจากตรงนั้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาทิ้งคู่หมั้นสาวให้ยืนกรีดร้องโวยวายเกรี้ยวกราดอยู่ที่ลานจอดรถและไม่สนใจเธออีก
พัทธดนย์ขับรถไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย เขาไม่อยากกลับบ้าน เพราะรู้ว่าสุชาวดีต้องไปอาละวาดที่บ้านเขาแน่นอนที่เขาทำตัวเย็นชาและด่าเธอแบบนั้น แต่ใครสนล่ะ...
น่าเบื่อ...
พัทธดนย์ขับรถเล่นในเมืองจนมืด และไปจบที่ผับหรูแห่งหนึ่ง อาหารและเครื่องดื่มตรงหน้าไม่ได้ช่วยให้อารมณ์เบื่อหน่ายจางหายไปสักนิด เขามองผู้คนที่กินดื่มและคุยกันสนุกสนานเฮฮารอบตัวด้วยความเฉยชา แค่เรื่องได้เงินเดือนเพิ่มก็มีความสุขแล้วเหรอ ทางนี้เล่าเรื่องออกทริปไปน้ำตกด้วยความสนุก อีกทางหนึ่งคุยกันเรื่องภาพยนตร์ดังจากต่างประเทศที่กำลังจะเข้าฉายในไทย ทางนั้นกำลังปรับทุกข์กับเพื่อนเรื่องผู้หญิง
ทำไมมนุษย์ถึงมีเรื่องราวมากมายขนาดนี้นะ
พัทธดนย์ออกจากผับหรูในเวลาดึกโข เขาขับรถกลับบ้านในสภาพที่มึนเล็กน้อย เขาไม่ได้ดื่มมากเท่ากับเวลาที่ผ่านไป เพียงแค่กินมื้อค่ำและจิบเบียร์นิดหน่อยในระหว่างนั่งปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลงที่ไม่เข้าหูเลยสักนิด
น่าเบื่อ...
จะดื่มไปทำไมมากมาย ไม่อร่อยและยังเสียสุขภาพด้วย พ่อเขาก็ชอบดื่มมาก และพ่อก็จบชีวิตด้วยอุบัติเหตุจากการดื่มของคนอื่น เขาที่เป็นลูกชายคนโตต้องขึ้นมารับช่วงบริษัทต่อ และทำงานเพื่อหาเงินให้ได้มาก ๆ ตามที่พ่อเคยพร่ำสอนมาตั้งแต่เด็ก ส่วนแม่ก็คอยบอกให้เขาดูแลบริษัทแทนพ่อ ดูแลน้องชายน้องสาว และดูแลครอบครัว
ทำไมต้องดูแล? ชินกฤตน้องชายกำลังเรียนปริญญาโทที่อเมริกา ปรียาน้องสาวก็เรียนปริญญาตรีที่อังกฤษ ที่บ้านก็มีแต่แม่และคนรับใช้หลายคนที่คอยปรนนิบัติพัดวี ยังต้องมีอะไรให้ดูแลอีก?
"กลับดึกจังนะพัท" เสียงดุจากหญิงสูงวัยที่ยืนบนบันไดขึ้นชั้นสองเรียกให้คนที่กำลังเดินเข้าบ้านเงยหน้ามอง
"ปายมาฟ้องแม่ว่าแกด่าเธอเสีย ๆ หาย ๆ และไม่สนใจเธอ แกไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลยนะ แล้วยังเป็นคู่หมั้นแกอีก" รุ่งทิพย์มองลูกชายด้วยความไม่พอใจ
"แล้วไงครับ ผมไม่ได้รักเธอนี่ แล้วก็ไม่ชอบที่เธอตามมาวีนใส่ผม และพร่ำเพ้อแต่คำว่ารักกับคู่หมั้นใส่หูผมตลอดเวลา" พัทธดนย์ตอบด้วยเสียงเรียบและเดินผ่านผู้เป็นแม่ขึ้นชั้นสองไป
"พัท! ยังไงปายก็เป็นคู่หมั้นแกนะ อีกหน่อยก็ต้องเป็นเมียแก อยู่ด้วยกันและมีหลานให้ฉัน!" รุ่งทิพย์ขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ
"คู่หมั้นที่แม่บังคับให้ผมหมั้นด้วยน่ะเหรอ แล้วอ้างว่าเป็นคำสั่งเสียของพ่อ ตามใจแม่เถอะ ผมจะไม่เสแสร้งเอาใจคนที่ผมไม่รัก และผมก็จะด่าเธอทุกวันถ้าเธอทำกิริยาเหมือนหญิงขายบริการกับผม และถ้าสุชาวดีรับไม่ได้จะถอนหมั้น ผมก็ยินดีอย่างยิ่ง" พัทธดนย์มองรุ่งทิพย์ด้วยสายตาเย็นชาและเดินกลับเข้าห้องส่วนตัว
"พัท!! แกพูดแบบนี้ไม่ได้นะ! ทำไมถึงปากจัดชอบดูถูกน้องปายแบบนี้!! พัท!! ออกมาคุยกับแม่เดี๋ยวนี้นะ!!" รุ่งทิพย์ทุบประตูห้องลูกชายด้วยความโกรธ แต่พัทธดนย์ล็อกประตูห้องและเปิดเพลงเสียงดังลั่น
น่าเบื่อ...
พัทธดนย์ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มในห้องกว้างและมองไปที่รูปนกอินทรีสยายปีกบินบนท้องฟ้ากว้างที่ติดบนผนังห้อง ชีวิตแกช่างน่าอิจฉา ได้โบยบินอย่างอิสระ ค่ำก็นอน หิวก็กิน ไม่ต้องรับภาระอะไรมากมายเช่นมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้น ชีวิตของนกอินทรีก็ไม่ได้สุขสบายมากนัก ถึงจะอยู่ชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหาร แต่ก็ใช่ว่าจะหาอาหารได้ทุกวัน มันต้องจับคู่สร้างรังและเลี้ยงลูกเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ตามคำสั่งของธรรมชาติที่ฝังอยู่ในสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต
แล้วมนุษย์ล่ะ? มนุษย์มีความนึกคิดที่ซับซ้อนกว่าพวกสัตว์หลายเท่า และสร้างกฎเกณฑ์บ้าบอขึ้นมาตามใจชอบเพื่อบังคับคนในสังคมให้ทำตามกฎเกณฑ์นั่นโดยอ้างคว่าเป็นระบบระเบียบของสังคม
และระบบบ้าบอนั่นมันก็ลามมาถึงครอบครัวซึ่งเป็นสังคมเริ่มต้นที่เล็กที่สุดของสังคมใหญ่ ซึ่งทุกคนก็ต้องยอมรับมันโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ลูกต้องฟังคำสั่งพ่อแม่ ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ก็ต้องทำตาม เพราะพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูก
น่าเบื่อ...
บริษัทใหญ่โตที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารสำเร็จรูป ทำกำไรมหาศาลต่อปี มีโรงงานขนาดใหญ่ มีพนักงานกว่าพันคน มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจ มีคนชื่นชม มีบ้านหลังใหญ่ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่คอยอำนวยความสะดวก มีคนรับใช้คอยดูแลจนไม่ต้องทำอะไร และมีความสุข
นั่นคือมุมมองจากคนรอบข้าง ซึ่งพัทธดนย์มองว่ามันไร้สาระ มนุษย์จะต้องการอะไรมากไปกว่าอาหารสามมื้อ เสื้อผ้าสวมใส่ ที่นอนอุ่น ๆ และเซ็กซ์ ทำไมต้องแสวงหามากไปกว่าที่ร่างกายต้องการล่ะ ในเมื่อตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้
ตาย...
เมื่อตายไปทุกอย่างก็จบ ไม่ต้องทำตามคำสั่งใคร ไม่ต้องทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงใคร ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำเพื่อเอาใจใคร ไม่ต้องสนใจอะไร
พัทธดนย์หลับตาลง ถ้านอนหลับไปแล้วไม่ต้องตื่นมาอีกก็คงจะดี