ตอนที่ 9
ย้อนไปเมื่อสามปีก่อน
“นายชญานนท์ จิระสกุลกิจ กรุณามาพบที่ห้องธุรการด้วยค่ะ”
“นายชญานนท์ จิระสกุลกิจ กรุณามาพบที่ห้องธุรการด้วยค่ะ”
เสียงประกาศดังขึ้นติดกันสองครั้ง จากประชาสัมพันธ์ของโรงเรียน
“มีอะไรหรือเปล่าวะ... เบส เห็นเขาประกาศเรียกชื่อแกน่ะ” ปณตรีบถามเพื่อนขณะที่ทั้งคู่เดินไปโรงอาหารพร้อมกันในตอนพักกลางวัน
“ไม่รู้เหมือนกันวะ เดี๋ยวแกกินข้าวไปก่อนนะ” ชญานนท์บอกปณตที่พยักรีบหน้าให้เพื่อนหงึกหงัก จากนั้นชญานนท์จึงแยกตัวออกจากโรงอาหารมุ่งหน้าสู่ห้องธุรการทันที
ระหว่างที่ชญานนท์เดินไปยังห้องธุรการเขาก็รู้สึกหวั่น ๆ เพราะเขาไม่เคยถูกเรียกพบแบบนี้มาก่อนหรือว่าจะมีเรื่องอะไรสำคัญหรือเปล่านะ
ชญานนท์เห็นชายสองสามคนแต่งกายชุดสูทสีดำคล้ายบอดี้การ์ดพากันเดินเข้าไปในห้องธุรการ หวังว่าคงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขานะ พอถึงหน้าห้องเด็กหนุ่มก็สูดลมหายใจเข้าไปปอดลึกๆ แล้วเปิดประตูเข้าไปในทันที
บนโซฟาตัวใหญ่ มีผู้ชายสูงอายุคนหนึ่งไว้หนาวเคราเข้มเต็มคางดูน่าเกรงขามยิ่งนัก นั่งดื่มกาแฟอยู่ภายใต้ลูกน้องชุดดำอีกสามสี่คน แล้วผู้อำนวยการก็นั่งอยู่ข้างๆ เขาด้วยเช่นกัน นี่มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้วสิ
“อ่าว!..มาแล้วเหรอชญานนท์” ผู้อำนวยการโรงเรียนเอ่ยทักกับเด็กหนุ่มที่เปิดประตูเข้ามา
“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนรีบยกมือไหว้ผู้อำนวยการและคุณครูในห้องธุรการ
“นั่งก่อนสิ..ชญานนท์” ชายสูงอายุท่าทางน่าเกรงขามพูดขึ้นกับเด็กหนุ่มทันที
“ทำความเคารพคุณพ่อเธอซะสิ..ชญานนท์” ผู้อำนวยการโรงเรียนที่อยู่ในห้องนั้นรีบบอกกับชญานนท์เมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำหน้าประหลาดใจ
“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้อย่างงงๆ ไม่เห็นจะรู้จักชายหน้าหนวดคนนี้เลย แล้วทำไม ผู้อำนวยการถึงได้ทำท่าทางให้เขาผูกมิตรกับชายสูงวัยผู้นี้ด้วยล่ะ
“นั่งก่อนสิ” ชายสูงวัยคนดังกล่าวผายมือให้เด็กหนุ่มนั่งลงที่เบาะข้างๆ เขา แล้วผู้อำนวยการกับอาจารย์อีกสองคน ก็รีบขอตัวออกไปทานอาหารเที่ยง ชญานนท์จึงได้แต่หันมามองทางชายสูงอายุท่านนี้อย่างไม่ไว้ใจ
“เอ่อ..ไม่ทราบว่าเรารู้จักกันด้วยเหรอครับ?” ชญานนท์เอ่ยถามชายสูงวัยคนดังกล่าว เด็กหนุ่มเห็นเขาเอามือล้วงเข้าไปที่กระเป๋าเสื้อสูทด้านใน
“พ่อตามหาตัวลูกมานานแล้วล่ะ” ชายสูงวัยพูดขึ้นพร้อมกับยื่นรูปถ่ายที่ล้วงออกมาให้เด็กหนุ่มดู ในภาพเป็นรูปถ่ายของชญานนท์ในตอนเด็กที่ถ่ายพร้อมกับคุณแม่ของเขา สมัยที่แม่ของเขายังหนุ่ม ๆ
“แม่ลูกชื่อนภาวดี ตามในรูปนี้ถูกต้องมั้ย”
“.............” เด็กหนุ่มถึงกับพูดอะไรไม่ออก ชายสูงอายุจึงยื่นรูปถ่ายในมือที่ถือไว้มาให้เด็กหนุ่มดูอีกหนึ่งใบ
ชญานนท์ตกใจมากที่ชายคนดังกล่าวมีรูปของเขาในวัยเด็กพร้อมกับผู้เป็นแม่ ใช่!!.. นั่นเป็นรูปของแม่และเขาตอนเด็ก ๆ แล้วชายคนนี้เป็นใครกัน แต่เขาแทนตัวเองว่า ‘พ่อ’
ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่แฝงอะไรบางอย่างที่ทำให้ชญานนท์รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย และท่าทางว่าเขาจะอ่านความคิดของเด็กหนุ่มออก เขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า
“ฉันชื่อคิม เป็นพ่อแท้ ๆ ของเธอเอง..ชญานนท์” ชายสูงอายุรีบบอกกับลูกชายของเขาทันที และวันนี้เขาก็จะทำให้เด็กหนุ่มคนนี้เชื่อให้ได้ว่าเขาคือพ่อแท้ ๆ
“ห๊า?” ชญานนท์หลุดปากมาได้แค่คำอุทาน จากนั้นชายชราจึงเล่าเรื่องราวของเขาต่อไป
” เราเคยอยู่ด้วยกันตอนเด็ก แต่พอพ่อต้องย้ายไปที่อยู่ต่างประเทศ แม่ของลูกก็ตัดสินใจเลิกรากับพ่อ เพราะไม่อยากตามพ่อไปอยู่ด้วยกันที่ต่างประเทศ จนเกือบจะยี่สิบปีแล้วพ่อถึงได้กลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง แล้วออกตามหาลูก” เมื่อชายสูงวัยคนดังกล่าวที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อเล่าเรื่องราวจบลง ชญานนท์เริ่มคิดทบทวนอีกครั้ง รูปถ่ายเขาของในตอนเด็กที่แม่เคยเก็บไว้ ไปอยู่กับชายหน้าหนวดคนนี้ได้อย่างไร…
เมื่อเขาเห็นเด็กหนุ่มทำท่าครุ่นคิด ชายสูงวัยจึงเล่าต่อไปอีก
“ก่อนที่พ่อกับแม่ของลูกจะแยกทางกัน เราแบ่งรูปถ่ายของลูกเก็บเอาไว้กันคนละหนึ่งใบ และใบนี้เป็นรูปถ่ายครอบครัวของเรา ที่ถ่ายพร้อมกันสามคน ชญานนท์เคยเห็นรูปนี้หรือเปล่า” เขายื่นรูปถ่ายอีกใบที่ดูเหมือนว่าจะเป็นใบสุดท้ายมาให้เด็กหนุ่มดู แล้วจึงเล่าต่อไปอีก
“แม่ของลูกตั้งชื่อเล่นลูกว่า เบส..พ่อเรียกถูกใช่มั้ย” ชายสูงวัยรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวของชญานนท์ ไม่ว่าจะเป็นวันเดือนปีเกิด
“ครับ” ชญานนท์เริ่มน้ำตาคลอ ในหัวของเขาสับสนไปหมด ทั้งดีใจและก็แปลกใจที่อยู่ ๆ ก็ได้เจอกับพ่อแท้ ๆ
“มาให้พ่อกอดหน่อยสิ..เบส” ชายสูงวัยอ้าแขนสองข้างแล้วบอกกับเด็กหนุ่ม
“ครับ” ชญานนท์รีบเข้าไปสวมกอดบิดาของเขาทันที
“ตั้งแต่นี้ต่อไป เบสย้ายไปอยู่กับพ่อนะ”
“...........”
“เบส...ลูกไปอยู่กับพ่อได้มั้ย” เมื่อผู้เป็นพ่อไม่ได้ยินคำตอบของลูกจึงเอ่ยถามขึ้นมาอีก
“ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไมละ ลูกไม่อยากอยู่กับพ่อหรือ..เบส”
“ผมอยากอยู่กับพ่อครับ แต่ผมห่วงน้อง ๆ” สีหน้าของเขาเศร้าขึ้นมาทันใดเมื่อรู้ว่าจะต้องจากพวกเธอไป จนมิสเตอร์คิมต้องเอ่ยถามลูกชายด้วยความแปลกใจ
“แม่มีน้องให้เบสด้วยเหรอ”
“ไม่มีหรอกครับ พวกเธอเป็นลูกติดของแม่เลี้ยงผมอีกที” จากนั้นเด็กหนุ่มจึงเล่าเรื่องราวของมารดาให้กับบิดาฟัง เท่าที่เขาพอจะรู้
ผู้เป็นแม่ของเขาเล่าว่า ตั้งแต่พ่อแท้ ๆ ของได้เลิกรากับผู้เป็นแม่ ตอนนั้นชญานนท์อายุได้เพียงสามขวบ จากนั้นต่อมาแม่ของเขาก็กลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวจนลูกชายของเธออายุได้เก้าขวบ เธอจึงตัดสินใจแต่งงานใหม่อีกครั้งกับคุณจิราวัฒน์หัวหน้าอุทยานที่แม่ของเขาทำงานอยู่
ชญานนท์เล่าว่าแม่ของเขาแต่งงานกับคุณจิราวัฒน์ได้สามปี เธอก็ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และชญานนท์ก็ได้เจอกับครอบครัวของแม่เลี้ยงคนใหม่ที่มีลูกติดถึงสามคน
"แล้วพ่อเลี้ยงของลูกไปไหนเสียละ"
"เขาเพิ่งเสียไปเมื่อต้นปีนี้เองครับ"
"และตอนนี้เบสก็อาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงและลูก ๆ ของเธองั้นเหรอ" ผู้เป็นบิดาเอ่ยถาม
"ใช่ครับพ่อ"
ปณตที่เป็นห่วงเพื่อนพอมาถึงหน้าห้องวิชาการ เขาก็รีบเปิดประตูห้องเข้ามาทันที การสนทนาระหว่างพ่อลูกจึงสะดุดลง สมุนข้างกายทำท่าจะควักอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างในเสื้อสูทออกมาตามสัญชาตญาณ
“เฮ่ย!..เบสนี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย” ปณตตกใจกลัวชายเสื้อสูทที่กำลังจะควักปืนออกมา เขาเห็นเพียงแค่ด้ามจับก็พอจะรู้ว่ามันคือปืนพกสั้นอย่างแน่นอน บิดาของชญานนท์เห็นดังนั้นจึงรีบยกมือห้ามก่อนที่ลูกน้องทั้งสามจะเอาล้วงปืนออกมา
“ไม่มีอะไรหรอก นี่พ่อฉันเอง” ชญานนท์รีบบอกกับเพื่อนที่กำลังทำหน้าตกใจทันที
“ห๊า!.. เอ่อ สวัสดีครับ” ปณตรีบยกมือไหว้บิดาของเพื่อนด้วยความตะลึง
“นี่ปณต เพื่อนผมเองครับ” ชญานนท์รีบแนะนำเพื่อนของเขาให้กับผู้เป็นบิดาทันที