เสียงฝีเท้าที่เดินมาหยุดตรงโต๊ะอาหารเช้านี้ ทำให้รัศมีแม่บ้านคนเก่งแห่งบ้านไวทยากุลที่กำลังจัดวางจานช้อนและส้อมไว้บนโต๊ะอาหารต้องรีบขยับตัวออก ก่อนจะมองผู้เป็นประมุขของบ้านในวัยเกือบเจ็ดสิบปี ที่แต่งกายด้วยสูทกับกางเกงสแล็กหญิงอันได้รับการตัดเย็บด้วยความประณีตอย่างเข้าชุดกัน รัศมีเห็นเจ้าของใบหน้านั้น เริ่มมีอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้น เมื่อสายตาทั้งคู่นั้นกำลังจับจ้องตรงโต๊ะอาหารเช้าที่มีเพียงสองที่ จากนั้นท่านก็หันกลับมาถามรัศมีอีกว่า
"จัดไว้สองที่ แสดงว่าเมื่อคืนมันไม่กลับมาอีกใช่มั้ย"
รัศมีก้มลงเล็กน้อยแล้วหน้าตอบ "ค่ะ คุณท่าน"
เสียงถอนหายใจดังอีกพรืด แล้ว'คุณท่าน'ก็กระแทกตัวลงนั่งกับเก้าอี้ที่หัวโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดขึ้น "บ้านช่องห้องหับมีไม่รู้จักอยู่ สาระแนออกไปอยู่ข้างนอก อ้อ ลืมไปว่ามันเก่ง มันหาเงินทองมาใช้ได้เองเลยไม่เห็นหัวคนที่นี่ ไม่เห็นหัวหงอก ๆ ของฉันแล้ว!"
"เมื่อคืนตารุษกลับดึก เลยต้องค้างที่คอนโดของเขาแทนน่ะค่ะ"
หนึ่งเสียงที่แทรกขึ้นมาอย่างเกรงใจ ทำให้คุณมาลาสะบัดหน้ากลับไปมองเจ้าของเสียงนั้นทันที ซึ่งเป็นผู้หญิงในวัยสี่สิบห้าปีมีรูปร่างสูงโปร่งค่อนข้างผอม แต่งกายคล้ายกันคือสวมสูทและกางเกงสีดำอย่างเข้าชุดกัน
"มาบอกแม่ทำไม แม่ก็รู้อยู่แล้ว มันไม่ได้กลับมาที่นี่กี่วันแล้วล่ะ"
ผู้เป็นลูกสาวถอนหายใจ ก่อนจะนั่งลงกับเก้าอี้อีกตัว แล้วหันไปถามแม่บ้านที่อายุห้าสิบปีแทน "พี่หมีเช้านี้ทำอะไรมาให้ล่ะ"
"ข้าวต้มทะเลนะคะคุณทิพย์ เมื่อวานหมีจำได้ว่าคุณบ่นอยากทานข้าวต้มทะเล เช้านี้เลยทำให้ค่ะ" รัศมีหัวหน้าแม่บ้านตอบ
"ขอบใจนะ" ทิพย์อาภารับคำด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเลื่อนถ้วยไปให้รัศมีตักข้าวต้มทะเลที่กำลังส่งกลิ่นหอมหวนลงไป
ผู้เป็นแม่ เมื่อเห็นลูกสาวเริ่มไม่สนใจตัวเอง มัวแต่สนใจข้าวต้มทะเลมากกว่า จึงทำท่าทีปั้นปึ่งแล้วแกล้งว่าต่อไปอีก "ฉันน่ะมันมีกรรมจริง ๆ แก่จนจวนจะลงโลงอยู่แล้วยังต้องมานั่งทำงานงก ๆ เลี้ยงคนอีกตั้งมากมาย หากเป็นที่อื่น อายุปูนนี้ป่านนี้ก็คงได้พักผ่อนอยู่ที่บ้านเฉย ๆ ไปแล้ว"
ทิพย์อาภาจึงต้องเงยหน้าจากถ้วยข้าวต้มหอมกรุ่นขึ้นมามองผู้เป็นแม่ ที่ท่านว่ามาอย่างนี้ นั่นก็เป็นเพราะ ตอนนี้กิจการของตระกูลไวทยากุลก็คือการนำเข้าอะไหล่รถยนต์ ยังมีท่านนั่งเป็นประธานบริษัทอยู่
โดยที่ทิพย์อาภา ก็เป็นแค่หนึ่งในกรรมการบริหารบริษัทเท่านั้น
และที่ท่านยังนั่งเป็นประธานบริษัทก็เพราะ คุณแม่ของทิพย์อาภาเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว ๆ ที่มีลูกติดอีกสามคน หลังจากบิดาเสีย คุณแม่ก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ เพราะคงกลัวจะโดนปอกลอก จากนั้นท่านก็ได้ทุ่มเวลาให้กับการเลี้ยงดูลูกทั้งสามคนไปพร้อม ๆ กับการบริหารบริษัทแทนคุณพ่อ แล้วกิจการของบ้านค่อย ๆ ขยับขยาย เติบโตขึ้น จากที่เป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ จนปัจจุบันก็กลายเป็นบริษัทมหาชนไปแล้ว
คุณแม่ท่านเป็นคนเก่ง อันนี้ทิพย์อาภาไม่เถียง แต่ด้วยความเก่งนี้เองจึงทำให้ท่านไม่ค่อยจะเห็นหัวใครและไม่ไว้วางใจใครง่าย ๆ เมื่อก่อนตอนที่พี่ชายคนโตยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะมีความสุขมาก เพราะพี่ชายคนนี้จะได้ดั่งใจท่านไปเสียทุกเรื่อง ทั้งขยัน ทำงานเก่ง และนิสัยใจคอก็ดี แต่เสียดายที่ต้องมาจากไปในอายุเพียงแค่สามสิบด้วยโรคมะเร็งตับ
เมื่อเสียพี่ชายคนโตไป ทิพย์อาภาก็ยังมีน้องสาวอีกคนซึ่งเป็นมารดาของอรุษนั่นเอง แต่ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าอยู่สักหน่อยที่จะต้องพูดถึงเรื่องมารดาของอรุษ ที่จากโลกนี้ไปอีกคนด้วยความคาดไม่ถึงของใครหลายคน และจากการไปของมารดาอรุษนี้เองที่เป็นการทิ้งชนวนความบาดหมางระหว่างหลานชายคนนี้กับคุณยายเอาไว้อีก
ด้วยความไม่ลงรอย ความระหองระแหงของทั้งสอง จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ทิพย์อาภาหนักใจมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้ผู้เป็นยายก็เริ่มวาดหวังว่า จะให้อรุษมานั่งอยู่ในตำแหน่งประธานบริษัทแทนตัวเอง ซึ่งเป็นความเหมาะสมเดียวในสายตาของท่าน ส่วนทิพย์อาภานั้นผู้เป็นแม่เห็นว่าไม่ค่อยเหมาะสม เพราะทิพย์อาภาเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนไหว ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่เหมือนอรุษที่มีใจคอเด็ดเดี่ยวคล้ายกับท่าน แต่ก็ด้วยเรื่องของทิฐิมานะที่ต่างฝ่ายต่างมี ต่างฝ่ายต่างก็เลยเล่นแง่ไม่มีใครยอมอ่อนให้ใครก่อน
ตอนนี้ทิพย์อาภาผู้ที่เป็นทั้งป้าของอรุษ และเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้ที่นั่งทำหน้าเคร่งอยู่ตรงหัวโต๊ะอาหารนี้ จึงกลายมาเป็นคนกลางที่มีความหนักใจที่สุด เพราะถ้าจะพูดจาไปทางหลานชายมากก็จะโดนผู้เป็นแม่ว่า เข้าข้างหลานมากกว่า ครั้นจะเอนมาหาคุณแม่ ตนก็เห็นว่าบางเรื่องที่ท่านปฏิบัติต่ออรุษก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องด้วยเหมือนกัน
"มามองหน้าแม่แบบนี้ทำไม แม่ทิพย์? "
ทิพย์อาภาสะดุ้งแล้วก็รู้สึกตัวขึ้น ไม่รู้ว่าเผลอมองมาท่านด้วยสายตาเช่นไร แต่ด้วยสายตาที่ท่านมองตอบกลับมาเหมือนไม่ค่อยจะพอใจอยู่ ทิพย์อาภาจึงรีบยิ้มเจื่อน ๆ เพื่อกลบเกลื่อนแล้วค่อยตอบ "ทิพย์กำลังจะบอกว่า ทานข้าวกันเถอะค่ะคุณแม่ เดี๋ยวเราออกไปช้ากว่านี้ รถจะติดเอานะคะ"
คุณมาลาจึงเริ่มหยิบช้อนขึ้นมาเตรียมจะตักข้าวต้มทะเลเข้าปากบ้าง แต่รัศมีแม่บ้านคนเก่งก็ได้เผลอพูดถึงเรื่องหนึ่งออกมาอีก
"เมื่อคืนหมีดูข่าว เห็นคุณรุษได้รับรางวัลอะไรก็ไม่รู้ค่ะ หล๊อหล่อเชียวค่ะ"
ปึก!
ทิพย์อาภารีบมองหน้าแม่บ้านคนเก่ง เพื่อจะส่ายหน้าห้ามตาม แต่คงจะไม่ทันเสียแล้ว ก่อนจะค่อย ๆ เบนสายตากลับมามองดูมือข้างหนึ่งของผู้เป็นแม่ ที่ได้ตบลงกับโต๊ะอาหารเมื่อครู่
"มันจะได้รางวัลอะไรก็ไม่ต้องมาพูดต่อหน้าฉัน ฉันไม่ได้เห็นดีเห็นงามที่มันจะต้องไปเป็นดารา ไปเป็นนักแสดงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แกไม่รู้เหรอนังหมี! "
"หมีขอโทษค่ะ ต่อไปหมีจะระวัง" รัศมีผู้น่าสงสารรีบก้มหน้าขอโทษ
"มันน่าโมโหจริง ๆ ที่ฉันทำอะไรมันไม่ได้สักที ก็เพราะอาชีพนักแสดงของมันนี่ล่ะ!"
"ที่ผ่านมาคุณแม่ไม่เคยใช้ไม้อ่อนกับหลานเลยนี่นา มีแต่จะบังคับขู่เข็ญ เด็กสมัยใหม่น่ะ ใช้ไม้แข็งด้วยไม่ได้แล้วนะคะ ทิพย์ว่าคุณแม่ลองใช้ไม้อ่อนกับตารุษดูเถอะค่ะ"
"ยัยทิพย์ เห็นฉันเป็นเด็กอมมือหรือไง! ขืนใช้ไม้อ่อนเดี๋ยวก็เหมือนคราวของแม่มันอีก" ว่าพร้อมกับมองใบหน้าลูกสาวด้วยสายตากร้าวอีก
"ทิพย์ก็เห็นคุณแม่เป็นคุณแม่..."ทิพย์อาภาว่า ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
"แล้วทำไมต้องมาสั่งสอนฉัน! "
"ก็..."
คุณมาลาวางช้อนลงอย่างแรง แล้วว่าอีก "ถ้าประดับเกียรติยังอยู่ฉันไม่มีทางเหลียวแลมันหรอก จองหองพองขน เหมือนพ่อแม่มันไม่มีผิด!"
ทิพย์อาภาถอนหายใจอีกเล็กน้อย แล้วรีบทำการประโลมใจที่ร้อนขึ้นของผู้เป็นแม่ให้เย็นลง "เอาเป็นว่าเรื่องนี้ ทิพย์จะเป็นคนคุยกับหลานเองนะคะ ตอนนี้เรามาทานข้าวกันเถอะค่ะ"