ตอนที่ 7 / 2

1534 คำ
วันนี้กองถ่ายเริ่มงานตั้งแต่เช้า สถานที่ถ่ายทำก็เป็นที่คฤหาสน์หลังงามที่ให้เช่าสำหรับถ่ายทำละคร  พวกเธอมักจะเรียกคฤหาสน์หลังนี้ว่า 'คฤหาสน์ในตำนาน' เพราะมันมักจะปรากฏตัวอยู่ในละครหลาย  ๆ เรื่อง รวมถึงเรื่องที่กำลังถ่ายทำอยู่นี่ด้วย  ปวริศามาถึงที่นี่ตั้งแต่ไก่โห่ เธอและเอมี่รวมไปถึงทีมเสื้อผ้าคนอื่น ๆ ต่างก็ช่วยกันขนสัมภาระที่ใช้สำหรับการทำงานลงจากรถ ขั้นตอนนี้ ทำให้หญิงสาวพบว่า จริง  ๆ แล้ว คุณสมบัติสำคัญของการเป็นคอสตูมที่ทุกคนควรมีเป็นอย่างยิ่งก็คือ การมีพละกำลังที่เหมาะสม ควรเป็นคน อึด ถึก และบึกบึนกับการโยกย้ายข้าวของที่มีจำนวนไม่ใช่น้อย  ๆ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย สำหรับนักแสดง และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ในการทำงานอีกจิปาถะ           คนอื่น  ๆ ต่างก็ลำเลียงเสื้อผ้า ข้าวของต่าง  ๆ เข้าไปเก็บไว้สำหรับแต่งตัวแล้ว ส่วนเธอและเอมี่กำลังขนของที่เหลืออยู่ในรถลงมา ปวริศากำลังยักย้ายกล่องพลาสติกสีทึบขนาดใหญ่สองกล่องที่มีล้อ เธอใช้วิธีซ้อนกล่องเข้าไว้ด้วยกันแล้วจะลากมันต่อ เพราะถ้าใช้การยก รับรองทีเดียวว่าหลังหรือไม่ก็บั้นเอวของเธอนั่นแหละที่จะต้องเดี๊ยง ฉะนั้นการลากเลื่อนทั้ง ๆ ที่มันมีล้อติดเอาไว้จึงถือว่าเป็นวิธีการที่ช่วยผ่อนแรงของเธอได้ดีที่สุดแล้ว   เสียงล้อทั้งสี่ที่กำลังบดครูดไปกับผิวของคอนกรีตจนเกิดเสียงดัง ครืด  ๆ  ๆ  ๆ ...อย่างสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว หญิงสาวคนหนึ่งที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตามลากกล่องสองใบใหญ่  ๆ อยู่ แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุดไป เมื่อรู้สึกว่าสะโพกของเธอกำลังแตะเข้ากับหน้าขาของใครบางคน หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืน แล้วหันหลังกลับไปมองยังร่างสูงที่ทำให้เธอกำลังตกใจอยู่นี่                  และแล้วปวริศาก็อ้าเผลอปากค้าง... เปล่งเสียงอุทานเล็ดรอดออกมาสั้น  ๆ ว่า "คุณ! "                                                      อรุษไม่ตอบกลับ ใบหน้าหล่อระดับพระเอกของเขาอยู่ในอาการราบเรียบ แต่แววตาที่จ้องมองหญิงสาวตรงหน้ากลับมีประกายบางอย่างเกิดขึ้น... วันนี้เธอรวบผมทั้งหมดขึ้น ทำให้เขาเห็นใบหน้าหมดจดตรงหน้าได้ชัดขึ้นอีก เขาเขม่นมองแผลเป็นเหนือหางคิ้วของเธอที่เป็นเป้าหมายนั่นเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านคนที่กำลังตกใจ เพื่อเข้าไปทักทายเอมี่ที่กำลังถือถุงพลาสติกใบใหญ่ลงจากรถมาอีกสามสี่ถุง                                                         "มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย พี่มี่"                                                 เสียงไถ่ถามพร้อมกับร่างสูงที่ปรากฏตัวขึ้นเหมือนจะเป็นเสียงที่มาจากสรวงสวรรค์ เอมี่ยิ้มกริ่มขึ้นทันที แล้วรีบบอก "จะดีเร้อ พี่จะกล้าใช้พระเอกของกองนี้มายกของหนักได้ยังไง"                เขาหัวเราะหึ  ๆ อย่างสบายใจ แล้วว่าอีก "ผมทำได้อยู่แล้วน่า อยากจะช่วย หรือให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ"                เอมี่ยิ้มกว้าง มองพระเอกหนุ่มอย่างชื่นชม ความจริงเธอและอรุษก็เพิ่งจะเจอกันที่กองถ่ายละครเป็นครั้งแรก ก่อนหน้าก็เคยทำงานด้วยกันตามงานเดินแฟชั่น หรือตามงานอีเวนต์บ้าง จึงทำให้ทั้งสองรู้จักกันดีอยู่แล้ว                                                       "ขอบใจนะ น้องรุษ" เอมี่ว่าแล้วยิ้มอีก ก่อนจะชี้นิ้วไปทางด้านหลังเขา แล้วพูด "ไปช่วยศาเขาดีกว่า ในรถนี้ไม่มีอะไรให้ขนอีกแล้ว ที่เหลือนี่เดี๋ยวพี่หิ้วไปเอง"                                                       เขาหันกลับมามองคนที่กำลังอึ้งต่อการปรากฏตัวของเขาอยู่ ปวริศาจึงเห็นได้ชัดว่า ประกายแววตาคู่นั้นช่างสดใสไปกว่าทุกครั้งที่ได้เจอกัน เพราะมันไม่ได้มีความขุ่นขวางใด  ๆ เหลืออยู่อีก แต่ด้วยความเกรงใจ เพราะความจริงเธอก็สามารถลากกล่องสองใบนี่เข้าไปเก็บที่ห้องแต่งตัวได้อยู่แล้ว "อย่าเลยพี่มี่ แค่นี่เอง เดี๋ยวศาจัดการเอง"                                                                 "อย่าเหย่ออะไร! ให้น้องรุษช่วยน่ะดีแล้ว" เอมี่รีบดุ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าปวริศาเคยเล่าเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนของพ่อและพระเอกหนุ่มคนนี้ให้ฟัง จึงคิดว่าเธอคงรู้สึกประดักประเดิดที่จะให้พระเอกสุดหล่อคนนี้ช่วยยกของ "เอ่อ... ทั้งสองคนนี่ก็รู้จักกันมาก่อนหน้านั้นอยู่แล้วนี่เนอะ งั้นพี่ไม่แนะนำตัวให้ล่ะนะ เอาเป็นว่าพี่ฝากน้องรุษช่วยยกกล่องนั่นหน่อยล่ะกัน" ว่าแล้วก็ดึงเอาถุงพลาสติกที่ใส่เครื่องประดับยิบย่อยมาถือ จากนั้นก็เดินผ่านตัวพระเอกหนุ่มและหญิงสาวอีกคนไปก่อน                                             ปวริศาจึงมองร่างสูงตรงหน้าตาปริบ ๆ ลังเลว่าจะให้เขาช่วยดีมั้ย ขณะนั้นอรุษก็ขยับมาหาเธอสองก้าว                         "ไม่ต้องก็ได้! เดี๋ยวฉันจัดการเอง แค่นี้สบาย  ๆ" เธอว่า แต่ชายหนุ่มกลับเบ้ใบหน้าหล่อเหลาให้แทน ความจริงที่เขาเข้ามาช่วยเพราะความมีน้ำใจล่ะส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนก็คือ เขาก็อยากจะให้เธอได้เห็นสภาพของตัวเองตอนโก่งโค้งก้มลงไปลากกล่องสองใบนี่แล้วส่ายสะโพกไปมาตามจังหวะการลากอยู่หรอกนะ เธอคิดว่ามันจะน่าดูนักหรือไง                                          เขาคนหนึ่งนี่ล่ะที่ลงจากรถมาเห็นเข้า ถึงขั้นสำลักน้ำเปล่าในปากออกมาทันที ก่อนระรีบพุ่งตัวมาทางนี้แล้วอาสาช่วยเหลือทีมคอสตูมขนของ เพราะไม่อยากให้ภาพที่ค่อนข้างจะเป็นมลพิษทางสายตาให้คนอื่น ๆ ได้เห็นอีก แค่เขาคนเดียวก็...พอแล้ว                                                                              พระเอกหนุ่มไม่ว่าอะไร แค่ถอนหายใจแรง ๆ แล้วถือวิสาสะยกกล่องพลาสติกสองกล่องนั้นขึ้นจากพื้น ก่อนจะพูดเรียบ ๆ ว่า "จะไม่ทักทายกันหน่อยเหรอ"                                             "ทักทายอะไร!" เธองุนงงสงสัยกับคำถามนั้น                       แล้วเขาจึงอธิบายเพิ่มอีกเล็กน้อยว่า "ก็...เราเคยเจอกันมาสามครั้งแล้วนี่ หรือว่าอาจจะเคยเจอกันมามากกว่านั้นก็ได้นะ"           ปวริศาเงียบเหมือนกำลังรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดนี้ ส่วนอรุษที่จงใจพูดคำพูดกำกวมออกไปเพื่อให้เธอได้ฉุกคิดอะไร ๆ ให้มากขึ้น และเวลานี้ใจเขาก็พลอยเต้นตึกทั้งก็กำลังนึกไปอีกด้วยว่า                                                                                      แวบหนึ่ง เรื่องราวในวัยเด็กควรจะปรากฏขึ้นมาในห้วงสำนึกของเธอบ้าง หากว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงผมเปียทั้งสองข้าง ที่หาญกล้า และก๋ากั่นคนนั้นขึ้นมาจริง ๆ                                       ใจของอรุษนั้นเต้นตึกตัก ยามสบสายตากับหญิงสาวตรงหน้าที่มีแต่แววครุ่นคิด สายตาเขาได้เลื่อนมาพิจารณารอยแผลเป็นเหนือหางคิ้วของเธออีกครั้ง รู้สึกมั่นใจขึ้นมาอีก เพราะใช่แน่ รอยแผลเป็นอันเหมือนรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่คว่ำลง มันคล้าย มันคุ้น จนเขาไม่นึกว่าจะหาคนบนโลกใบนี้ที่บังเอิญจะมีแผลเป็นที่คล้ายกัน ตรงตำแหน่งเดียวกันอย่างนี้ได้อีกแล้ว            ขณะที่อรุษมัวแต่ลุ้นด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ อยู่นั้น เสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้นมาดับฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของเขาลงไปในทันที  เธอว่า "ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่กล่องนี่..." เธอพูดแล้วขยับมายกกล่องอีกใบในสองมือหนาออก ก่อนจะสบตาเขา พลางบอกอีก "...ฉันขอบคุณที่คุณอุตส่าห์มาช่วยยก"                                                                                           แล้วจึงหมุนตัวทำท่าจะเดินจากไปทันที แต่แล้วเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีกเรื่องก็หมุนตัวกลับมาบอกเขาต่อ "และอีกเรื่อง เรื่องพ่อของฉันในคืนนั้น ฉันต้องขอบคุณที่คุณไม่เอาเรื่องเอาราวพวกเรา เพราะถ้าคุณเอาเรื่อง ฉันก็คงไส้แห้งพุงแห้งไปอีกหลายเดือนเลย... ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ"                                              จากนั้นปวริศาก็เดินจากไปในทันที ทิ้งให้พระเอกหนุ่มยืนอย่างเคว้งคว้างแล้วมองตามด้วยความอึ้ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังอยู่ไม่น้อย แล้วเขาก็หัวเราะ หึ ๆ ๆ ...ออกมาอย่างแกน ๆ กับความบ้า ความไม่รู้ความของตัวเอง เพราะการพูดเพียงเท่านี้ แล้วหวังจะให้ใครคนหนึ่งมาจดจำเรื่องราวในวัยเด็กได้... มันก็ไม่ใช่แล้วล่ะ!                                           สมควรแล้วที่เธอจะตอบกลับว่าไม่รู้เรื่องในคำพูดของเขา      ช่างเถอะ! อรุษปลอบใจตัวเอง เขายังมีเวลา เพราะยังต้องทำงานอยู่ที่กองละครนี้กับเธออีกหลายเดือน แล้วจากนั้น เขาจะคอยหาโอกาสแย้มพรายถามเรื่องนี้กับเธอตรง ๆ อีกว่า ครั้งหนึ่งในวัยเด็ก เธอเคยช่วยเหลือ 'เจ้าเด็กอ้วน' คนหนึ่งขึ้นเอาไว้หรือเปล่า...                                                      
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม