ตอนที่ 7 / 1

1948 คำ
ลำตัวของชายหนุ่มดูจะเกิดความเขม็งเครียดขึ้น ทุกกล้ามเนื้อ ทุกเส้นเอ็นตามร่างกายเหมือนตึงไปหมด เขากำกีตาร์และอัลบั้มรูปถ่ายที่อยู่ในมือแน่น ดวงตาวาวโรจน์ได้จ้องคุณยายด้วยความโกรธแค้น เพราะเขาจะไม่ทน! ไม่ทนให้ท่านทับถมเขาด้วยคำพูดเดิม ๆ ประโยคเดิม ๆ ที่ราวกับจะผลักเขาลงสู่ก้นเหวของเรื่องในอดีตที่วนกลับมาฉายให้เกิดความเจ็บปวด ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกแล้ว!    "ถ้าพ่อของผมน่ารังเกียจ น่าขยะแขยงจริง งั้น...คุณยายก็ช่วยบอกผมมาสักทีสิ ว่าพ่อผมทำความผิดใดเอาไว้บ้าง ไม่ใช่คอยแต่จะทับถมผม ซ้ำเติมผม ด้วยประโยคเดิม ๆ คำพูดเดิม ๆ ว่าพ่อผมน่ารังเกียจแบบนี้! "                                       คุณมาลาเห็นถึงความตึงเครียดและอาการโกรธจัดของอรุษที่ส่งผ่านมาทางแววตาทั้งคู่ ร่างกายสูงใหญ่ที่สั่นเทิ้ม สั่นไหว ดูเจ็บปวด คุณมาลารู้สึกตกใจ เพราะทุกครั้งที่ผ่านมา หากมีปากเสียงกันด้วยเรื่องนี้อรุษจะไม่มีท่าทางแบบนี้ให้เห็น ที่ผ่านมาเขาก็แค่ขบฟัน ก้มหน้า สะกดความโกรธ แล้วเป็นฝ่ายหนีการปะทะไปเองทุกครั้ง!                                                       ทว่า ครั้งนี้อรุษได้ขยับตัวมาหา ชายหนุ่มทำท่าทางเหมือนเอาเรื่องบ้าง คุณมาลาจึงผงะแล้วถอยหนี ก่อนจะถามขึ้นว่า "อะไร? นะ นี่แกจะทำอะไรฉัน! "                                "ผมก็แค่อยากรู้ว่า พ่อของผมทำอะไร ถึงได้ดูน่าขยะแขยงในสายตาของคุณยายนัก บอกผมมาสิครับ!" อรุษยังเค้นเสียงรอดไรฟันถามย้ำ                                             "กะ แกกล้าดียังไง ถึงทำท่าจะเอาเรื่องฉัน แบบนี้! "                "คุณแม่! รุษ!" ทิพย์อาภาเรียกคนทั้งคู่พร้อมกับวิ่งเข้ามาขวางอรุษที่ทำท่าก้าวร้าวกับคุณยายด้วย ตนกะอยู่แล้วเชียวว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ตอนที่มารดาเดินเข้าไปถามตนที่สวนว่าเห็นรถยนต์ของหลานชาย จึงคิดว่าท่านน่าจะตามหาอรุษ จากนั้นทิพย์อาภาก็รีบล้างไม้ล้างมือแล้วก็รีบตามมาสมทบอีกคน         ทิพย์อาภาเข้ามายืนคั่นกลางระหว่างหลานชาย และมารดา ตอนนี้ทั้งสองต่างก็มีสีหน้าโกรธจัดด้วยกันทั้งคู่                 "ดูหลานชายคนดีของแกสิยัยทิพย์ มันก้าวร้าว ทำท่าจองหองพองขนใส่ฉันยังไงบ้าง" ได้ทีคุณมาลารีบฟ้องลูกสาว     "ผมก็แค่อยากรู้ว่า พ่อผมไปทำอะไรให้คุณยาย คุณยายถึงได้เกลียดพ่อผมนัก ช่วยบอกให้ผมรู้สักทีสิ! "                          "ก็ได้! ฉันจะบอกแกให้เอาบุญ ว่าพ่อของแกน่าขยะแขยงยังไง..."                                                                       "คุณแม่คะ! ทิพย์ขอล่ะค่ะ!" ทิพย์อาภามีท่าทางตกใจยิ่งกว่าอรุษ หันมายกมือไหว้ขอร้องผู้เป็นแม่ พร้อมกับทำสีหน้าอ้อนวอนตามอีกด้วย "เราตกลงกันแล้วนะคะ ว่าจะไม่รื้อฟื้น ไม่พูดถึงเรื่องในอดีตกันอีก"                                                        คุณมาลาเมื่อได้สบตากับลูกสาวแล้ว จากที่โกรธจนหน้ามืดก็ค่อย ๆ ได้สติ เกือบจะพลั้งปากพูดถึงเรื่องราวความเจ็บปวดที่ทุกคนได้รับจากผู้ชายที่เป็นบิดาของอรุษอีกแล้ว                           เห็นมารดาที่ยังกำมือทั้งสองแน่น แต่ท่านก็ยอมสะบัดใบหน้าไปทางอื่นแล้ว ราวกับว่ากำลังระงับโทสะของตัวเองเอาไว้เช่นกัน ทิพย์อาภาจึงหันกลับมาหาหลานชายแล้วบอกว่า "รุษ รุษกลับไปก่อนเถอะนะ ป้าขอร้องล่ะ"                                     อรุษจึงละสายตาที่จ้องอยู่ที่คุณยายมาสบตากับคุณป้าผู้แสนดีของเขาต่อ ชายหนุ่มไม่พูดอะไรอีก แค่หมุนตัวแล้วรีบเดินจากไปในทันที ทิ้งให้ทิพย์อาภามองตามหลังหลานชายอย่างเป็นห่วงความรู้สึก ก่อนจะหันกลับมาหามารดาที่ท่านก็มองตนตอบด้วยหางตาเล็กน้อย แล้วก็เป็นฝ่ายกระแทกเท้าเดินหนีจากไปบ้าง คราวนี้ทิพย์อาภาเลยต้องถอนหายใจแรง ๆ ด้วยความกลุ้มใจและโล่งใจไปในคราวเดียวกัน                               "แล้วจะเป็นแบบนี้กันไปอีกนานมั้ยนะ เฮ้อ! "     อรุษไม่รู้ตัวหรอกว่า เขาขับรถกลับมาที่คอนโด ด้วยความเร็วเท่าไหร่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีรถของเขาก็ขับเข้ามาจอดในที่จอดรถเรียบร้อย โดยใช้เวลาในการเดินทางเพียงสิบกว่านาทีเท่านั้นเอง ซึ่งปกติการเดินทางจากบ้านมาถึงคอนโด แห่งนี้ ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำไป ครั้นมาถึงห้องพัก เขาก็เอากีตาร์สองตัวและอัลบั้มรูปถ่ายเก่า ๆ ของมารดาโยนลงบนเตียงนอน ก่อนจะกระแทกตัวลงนั่งด้วยความแรงตาม แล้วใช้มือทั้งสองข้างกำเป็นกำปั้นชกไปลงข้างตัวหลาย ๆ ทีด้วยความโกรธที่ยังไม่จางหายไปไหน                                                บิดาของเขาไม่ดียังไง! นั่นคือสิ่งที่เขาควรจะได้รับรู้ด้วยไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ปล่อยให้เขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับคำพูดแค่ว่า 'พ่อของแกน่ารังเกียจ พ่อของแกน่าขยะแขยง' แบบนี้!                 มือข้างหนึ่งที่ชกลงไปกับที่นอนก็โดนอัลบั้มภาพถ่ายเข้าอีกครั้ง อรุษชะงัก ก้มหน้ามองมันแล้วจึงหยิบอัลบั้มภาพถ่ายเหล่านี้ขึ้นมาเปิดดู ซึ่งนี่ก็คืออัลบั้มภาพที่ได้ถ่ายเก็บบันทึกภาพงานวันแต่งงานระหว่างมารดาและบิดาของเขานั่นเอง        อรุษไม่เคยเห็นหน้าผู้เป็นพ่อมาก่อนในชีวิต แม้จะมีภาพถ่ายในงานแต่งงานของคนทั้งคู่ ทว่า รูปถ่ายในอัลบั้มนี้เกือบทั้งหมด แต่ละภาพจะมีร่องรอยฉีกขาดเหมือนมีคนฉีกอีกส่วนให้ขาดไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครทำ เพราะคุณยายของเขาก็บอกแล้วว่า ไม่ใช่ฝีมือของท่านอย่างที่เขาเข้าใจท่านผิดมาตลอด ซึ่งผู้ที่ฉีกทิ้งไปไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็เป็นมารดาของเขานั่นเอง  แสดงว่า แม่ของเขาคงทั้งรักและเกลียดพ่อของเขาอยู่ไม่น้อย จึงไม่เหลือภาพถ่ายของพ่อให้เขาไว้ดูต่างหน้าเลยสักใบ                                                    อรุษพลิกดูรูปแต่ละรูป หากรูปไหนที่เป็นรูปของมารดาและบิดาเขายืนเคียงข้างกันในงานแต่งงาน จะถูกฉีกทิ้งไปครึ่ง เหลืออีกครึ่งซึ่งก็เป็นส่วนของมารดาเขาเท่านั้น  ไม่แปลกใจเลยว่า ตั้งแต่เกิดมาเขาจึงไม่เคยเห็นหน้าบิดาที่แท้จริง ไม่เคยรู้เรื่องใด ๆเกี่ยวกับบิดาเลย นอกจากคำทับถมเดิม  ๆ คำต่อว่าเดิม  ๆ จากคุณยาย เขาจึงกลายเป็นเด็กที่น่าสงสาร เติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของแม่เพียงคนเดียวท่ามกลางความเกลียดชัง ความไม่พอใจของคุณยาย ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นได้หายสาบสูญไปตั้งแต่ตอนเขายังไม่เกิด แล้วจากนั้นไม่นาน มารดาของเขาก็ได้จากโลกนี้ไปอีกคน...                                                                       และแล้ว ภาพในวันเก่า  ๆ ก็ได้ผุดพรายขึ้นมาให้เขานึกถึงอีกแล้ว...   วันนั้น ได้เกิดเสียงกรีดร้องของผู้หญิงสองคนขึ้นมาพร้อมๆ กัน เป็นเสียงของคุณป้าและคุณยายที่กรีดร้องเสียงประสานขึ้นมาคล้ายกับช็อกกับเรื่องใดอยู่ อรุษรับรู้แล้วว่าต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นตามเสียงกรีดร้องนั้นแน่ เพราะขนกายเขาลุกชัน ยามสัมผัสถึงความเย็นยะเยือกบางอย่างพัดผ่านร่างเขาไปวูบ เด็กชายวัยห้าขวบจึงรีบวิ่งไปตามเสียงที่เกิดขึ้น นั่นก็เป็นทิศทางเดียวกันกับห้องนอนมารดาเขา พอมาถึง ประตูห้องนอนของท่านถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ภาพแรกที่เขาเห็น คุณป้ากำลังใช้สองมือปิดหน้าแล้วกรีดร้องคร่ำครวญ ในขณะที่คุณยายก็คล้ายกับคนกำลังช็อค ดวงตาทั้งสองของท่านเบิกค้างกับภาพหนึ่งตรงหน้า อรุษค่อย ๆ ขยับเท้าเข้าไปดูอีก ทำให้เขาเห็น เท้าเปล่าคู่หนึ่งของใครบางคนกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ                                                                ครั้นขยับสายตาขึ้นมองไปบนเพดาน เกือบจะได้เห็นใบหน้าของเจ้าของเท้าคู่นั้นแล้ว ทว่า คุณป้าผู้แสนดีของเขาได้หันกลับมาเห็นเด็กชายที่กำลังเดินเข้ามาดูสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านก็รีบวิ่งมาใช้มือปิดตาของเขาเอาไว้ แล้วอุ้มเขาออกจากห้องนอนนั้นไปทันที                                                                                   ไม่นาน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็มาถึง เพื่อนำร่างอันไร้วิญญาณของผู้เป็นแม่หามใส่เปลเดินผ่านหน้าเขาไป ใช่ วันนั้น คือวันที่มารดาเขาได้ลาจากโลกนี้ไป จากการผูกคอตายในห้องนอน ตอนนั้น... มารดาเขาน่าจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอันเกิดจากความผิดหวังอย่างรุนแรงด้วยเรื่องของบิดาเขา โรคซึมเศร้าอันเป็นโรคร้ายที่เป็นที่รู้จักและยอมรับในสมัยนี้กันมากขึ้นแล้ว         ทว่า สมัยที่มารดาประสบกับโรคนี้ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย หลายคนยังขาดความรู้ความเข้าใจ จึงได้ปฏิบัติตัวต่อผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอย่างผิด ๆ รวมถึงคุณยายของเขาด้วย คุณแม่ของเขาคงจะทรมานจากโรคนี้มาหลายปี คงต่อสู้กับมันอย่างโดดเดี่ยว สุดท้าย ท่านก็พ่ายแพ้ให้กับมัน ยอมแพ้มัน บอกลาความทรมานนั้น โดยการทำอัตวินิบาตกรรมเพื่อให้ความเจ็บปวดทุรนทุรายจบลงในวันนั้น                                                            ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้น ยังเป็นเสมือนฝันร้ายสำหรับอรุษ ภาพสองเท้าเปล่าที่ห้อยโตงเตงกลางห้องนอน กับเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนของคุณป้าและคุณยาย ทุกอย่างที่เกิดขึ้น คุณยายโทษบิดาเขาว่าเป็นต้นเหตุ โทษมารดาเขาว่าอ่อนแอ แต่ท่านไม่เคยแม้แต่จะเหลียวกลับไปทบทวนตัวเองเลยสักครั้ง การที่คุณแม่เขาเจ็บปวดทรมานกับโรคซึมเศร้า ส่วนหนึ่งก็มาจากคุณยาย ซึ่งท่านไม่รู้ตัวเองเลยว่า ท่านก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มารดาเขาเจ็บปวดกับโรคนี้ คุณแม่เขาเจ็บปวดผิดหวังกับบิดาจิตใจจึงบอบซ้ำ บิดาเขาทำอะไรสักอย่างที่ทำให้มารดาเขาผิดหวังมาก เสียใจมาก และการกระทำนั้นยังเป็นปริศนาอันค้างคาใจอรุษมาจนถึงทุกวันนี้... เป็นการกระทำที่คุณยายประณามว่าน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง!    คุณยายมักจะกล่าวถึงความผิดพลาดของคุณแม่ซ้ำ ๆ ทับถมด้วยถ้อยคำเจ็บปวด เป็นคำพูดเช่นเดียวกับที่เขาโดนมาตลอด คนที่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว จึงได้ก้าวลงไปสู่หลุมดำมืดมิดที่ดูดกลืนชีวิตมารดาเขาให้ตกลงไปอย่างลึกที่สุด เหน็บหนาวที่สุด...                                                อรุษยังก้มมองรูปถ่ายแต่ละใบที่เป็นรูปงานแต่งงานของมารดา งานแต่งงานที่คุณยายไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก แต่เพราะคุณแม่ได้ตั้งท้องเขา ท่านเลยต้องปล่อยให้เกิดแต่งงานนี้ขึ้น น่าเสียดายทุกรูปที่มารดาถ่ายเคียงคู่บิดาเขา จะถูกฉีกอีกส่วนทิ้งไปแล้ว           อรุษจึงไม่เหลือร่องรอยใดเกี่ยวกับผู้เป็นพ่อให้เขาเห็นอีกเลย คงทิ้งไว้เพียงแค่ปริศนาเดียวที่เกี่ยวกับท่าน ว่าท่านได้ทำสิ่งใดลงไป ถึงทำให้มารดาเขาเกิดความผิดหวังอย่างรุนแรง ส่วนคุณยายยังต้องคอยประณามว่าพ่อเขาช่างน่ารังเกียจ น่าแขยะแขยงอยู่จนถึงทุกวันนี้! 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม