การที่เสวี่ยฮูหยินมาในครั้งนี้ ย่อมต้องเป็นเรื่องการแต่งงานของจ้าวเยว่กับบุตรชายของนางเป็นแน่ แต่ว่านางจะมาคุยเรื่องอะไรบ้างนั้น จ้าวเยว่ไม่สามารถคาดเดาได้ ถึงอย่างไรก็คงต้องรอให้ถึงจวนก่อนถึงจะรู้
ผิงผิงรีบเร่งคนขับรถม้าให้บังคับม้าให้วิ่งเร็วขึ้น เนื่องจากคุณหนูของนางต้องรีบกลับจวนให้เร็วที่สุด คนขับรถม้าก็ทำตามจนตอนนี้สภาพนายบ่าวทั้งสองที่อยู่ภายในรถม้า ที่กระเทือนจนเจ็บเนื้อเจ็บตัวไปหมด ทั้งสองแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยจนกลับถึงจวน
บ่าวที่เฝ้าประตูหลังก็รีบเปิดประตูให้พวกนางเข้าไปอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังดูต้นทางให้นางอีกด้วย
เมื่อถึงห้อง ผิงผิงก็รีบจัดเตรียมเสื้อผ้าให้คุณหนูของนางเปลี่ยน เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป จ้าวเยว่ก็จัดการตัวเองเสร็จสรรพแล้วเดินออกไปพบเสวี่ยฮูหยินที่ห้องโถง
เวลานี้จ้าวฮูหยินนั่งทำตาเขียวอย่างมีโทสะอยู่ที่ประจำของตนเอง คำแรกที่นางถามขึ้นมาก็คือ “เจ้าไปไหนมา”
จ้าวเยว่ย่อกายคารวะเสวี่ยฮูหยินเสร็จแล้ว จึงคารวะมารดาตนเอง พร้อมกล่าวอย่างนอบน้อม
“จ้าวเยว่ คารวะเสวี่ยฮูหยิน คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”
เสวี่ยฮูหยินเมื่อได้เห็นว่าลูกสะใภ้มีกิริยาท่าทางที่เรียบร้อยก็รู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าฮ่องเต้เลือกลูกสะใภ้ให้ตนไม่เลวเลย นางดูนอบน้อมยิ่งนัก
จ้าวฮูหยินหันมาถลึงตาใส่จ้าวเยว่เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามบุตรสาวอีกครั้ง “เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลยว่า เจ้าไปไหนมา”
“ลูกกับผิงผิงไปคารวะท่านปู่ท่านย่าที่ศาลบรรพชนมาเจ้าค่ะท่านแม่ แล้วเห็นว่าที่นั่นมีฝุ่นเยอะ จึงได้เรียกให้บ่าวไพร่ไปทำความสะอาด ลูกจึงอยู่ดูแลที่นั่น หวังว่าท่านแม่จะไม่ตำหนิลูก” จ้าวเยว่ตอบกลับมารดาอย่างนอบน้อมตามที่เตรียมคำตอบมาไว้แล้ว
“ห๊ะ!” จ้าวฮูหยินได้ฟังคำตอบของบุตรสาว นางถึงกับอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท นางคงเอานิ้วแคะหูแล้วขอฟังคำตอบอีกครั้ง
อีกทั้งนางรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีทางที่คนอย่างจ้าวเยว่จะไปทำความสะอาดศาลบรรพชนได้ คำตอบนี้คือคำโป้ปดอย่างเห็นได้ชัดแต่ด้วยความที่ไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าเสวี่ยฮูหยิน จึงได้แต่เออออตามบุตรสาวไป
“อืม ดีแล้วที่เจ้าช่วยเป็นหูเป็นตาแทนแม่ แม่คนเดียว บางคราอาจจะดูแลไม่ทั่วถึง” จ้าวฮูหยินกล่าวขึ้นมาอย่างคล้อยตามบุตรสาวของตน จ้าวเยว่เมื่อได้ยินมารดาของตนเองเฉไฉ ก็แทบจะข่มเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ นางหันหน้าไปหาผิงผิงแล้วส่งสายตารู้เท่าทันให้คราหนึ่ง
ส่วนเสวี่ยฮูหยินนั้น เมื่อได้ยินว่าว่าที่ลูกสะใภ้ดูแลงานจวนงานเรือน ก็ยิ้มออกมาอย่างชื่นชม “เห็นท่าคำร่ำลือที่เขาเอ่ยกันว่า เจ้าเป็นคนเกียจคร้านนั้น จะไม่เป็นความจริงเสียแล้ว ข้ามาเห็นเจ้าในวันนี้มันต่างกับที่คนเขาเอ่ยถึงกันราวฟ้ากับเหว”
ความจริงแล้วที่เสวี่ยฮูหยินมาเยี่ยมเยียนจวนตระกูลจ้าวในวันนี้ก็เพื่อที่จะมาดู ว่าที่ลูกสะใภ้ของนางว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากนางเองก็เคยได้ยินที่เขาเล่าลือกันมาบ้าง ส่วนใหญ่ข่าวที่ได้ยินมานั้น ก็จะเอ่ยถึงจ้าวเยว่ในทางที่ไม่ดี แต่พอมาเห็นตัวจริงในวันนี้ เสวี่ยฮูหยินกลับรู้สึกว่าจ้าวเยว่นั้นน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก ดูไปแล้วก็รู้สึกถูกใจอยู่ไม่น้อย
“ปกติแล้วเจ้าอยู่จวนทำอะไรบ้าง ข้าเคยได้ยินมาว่า เจ้าไม่ค่อยออกไปพบปะผู้คนข้างนอกสักเท่าไร” เสวี่ยฮูหยินถามขึ้นอย่างสงสัยตามข่าวที่นางได้รับรู้มา
จ้าวเยว่ยืดตัวตรงเล็กน้อย ขยับไหล่อย่างผ่อนคลายแล้วตอบกลับด้วยความนอบน้อมหลายส่วน “ที่ข้าไม่ค่อยได้ออกไปนอกจวน ก็เป็นเพราะว่าข้าชอบที่จะอยู่ในจวนมากกว่าเจ้าค่ะ ในจวนสงบไม่วุ่นวายข้าเลี้ยงปลาไว้จำนวนหนึ่ง ส่วนมากจะใช้เวลาอยู่กับพวกมันเจ้าค่ะ”
คำตอบนี้ของนางไม่ได้โกหก เรื่องที่นางชอบอยู่ในจวนมากกว่านั้นคือจริงและยังชอบอยู่กับปลาอีกด้วย
“เจ้าชอบปลาพวกนั้นมากเลยหรือ ถ้าอย่างนั้นเมื่อเจ้าแต่งเข้าสกุลเสวี่ยไปแล้ว ข้าจะให้คนขุดบ่อปลาให้สักบ่อ ดีหรือไม่”
เสวี่ยฮูหยินถามต่อและพร้อมจะสร้างบ่อปลาให้จ้าวเยว่ ลูกสะใภ้ของนางจะได้ไม่เหงายามที่แต่งงานเข้าจวนเสวี่ย
“ขอบพระคุณเสวี่ยฮูหยินมากเจ้าค่ะ ที่เมตตาเยว่เอ๋อร์” จ้าวเยว่ย่อกายคารวะอีกครั้ง เพื่อเป็นการขอบคุณเสวี่ยฮูหยิน
เสวี่ยฮูหยินยกมือขึ้นมาทำท่าห้ามปราม “เรียกเสวี่ยฮูหยินอะไรกัน อีกไม่กี่วันก็จะแต่งเข้าจวนมาแล้ว เรียกข้าว่าท่านแม่สิ”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” จ้าวเยว่ตอบรับอย่างว่าง่าย
เสวี่ยฮูหยินหันหน้าไปสบตากับจ้าวฮูหยิน ก่อนที่จะหันมาทางจ้าวเยว่อีกครั้ง แล้วบอกกับว่าที่ลูกสะใภ้
“เอาล่ะ แม่เพียงอยากที่จะพบเจ้าสักครั้งก่อนถึงวันแต่งงาน ตอนนี้แม่มีเรื่องที่จะสนทนากับแม่ของเจ้าเล็กน้อย เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
“เจ้าค่ะ” จ้าวเยว่ย่อกายคารวะอีกครั้ง แล้วจึงเดินจากมาโดยที่มีผิงผิงตามมาติด ๆ
เมื่อพ้นเขตห้องโถงใหญ่แล้ว จ้าวเยว่ที่กลั้นหัวเราะมานาน ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ ผิงผิง เจ้าเห็นสีหน้าท่านแม่หรือไม่ ตอนที่ข้าเอ่ยว่า พวกเราไปทำความสะอาดศาลบรรพชนน่ะ”
ตอนนี้จ้าววเยว่หัวเราะจนตัวงอแทบจะเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว ท่าทางนอบน้อมที่ดูว่านอนสอนง่ายเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น
“คุณหนูเลิกหัวเราะก่อนเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวมีใครมาได้ยินเข้าจะลำบากเอานะเจ้าคะ” ผิงผิงกล่าวออกมาเบา ๆ พลางมือก็พยายามฉุดดึงให้ผู้เป็นนายเดินกลับเรือนของตน
หลังจากกลับมาถึงเรือนของตน จ้าวเยว่ไม่หยุดที่ใดนางเปิดประตูเข้าห้องนอนเข้าไปแล้วก็ทิ้งตัวลงบนเตียงทันที วันนี้เป็นวันแรกที่นางมีความสุขมาก หากนับตั้งแต่วันที่นางรู้ข่าวว่าตนเองจะต้องแต่งงาน ครั้งแรกที่ก้าวเข้าห้องโถงไปนั้น ความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว ก็คือเสวี่ยฮูหยินจะต้องเป็นแม่สามีที่เจ้าระเบียบและกดดันนางมากเป็นแน่
แต่เมื่อได้พบว่าที่แม่สามีแล้ว กลับทำให้นางรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ดูท่าทางแล้วเสวี่ยฮูหยินน่าจะใจดีอยู่ไม่น้อย เผลอ ๆ น่าจะใจดีกว่ามารดาของนางเสียด้วยซ้ำ
“คุณหนู ท่านกล่าววาจาโป้ปดไม่ดีเลยนะเจ้าคะ” ผิงผิงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน และเตือนว่าสิ่งที่คุณหนูของนางเพิ่งกระทำนั้นมันไม่ดีเลย
“ก็ตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือกนี่นา หรือเจ้าจะให้ข้าบอกท่านแม่ไปล่ะว่า เมื่อครู่พวกเราแอบไปฝึกยุทธ์กันที่สนามฝึกของกองทัพมาอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดหรือไม่ว่า ถ้าข้าบอกไปอย่างนั้น พวกเราได้ตายกันหมดพอดี”
จ้าวเยว่รีบบอกสาเหตุที่นางต้องเอ่ยออกไปอย่างนั้น ในใจรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่ต้องโกหกมารดา และทำให้มารดาต้องโกหกเสวี่ยฮูหยิน
พอได้ยินคำตอบจากคุณหนู ผิงผิงยังคงทำหน้ามุ่ยเพราะความไม่สบายใจ “แต่ว่าถึงอย่างไร ฮูหยินก็รู้ว่ามันไม่เป็นความจริงอยู่ดี คุณหนูน่าจะโกหกอะไรที่มันแนบเนียนกว่านี้สักหน่อยนะเจ้าคะ”
“อะไรอย่างนั้นหรือ ไหนเจ้าลองบอกมาสิ” จ้าวเยว่ถามกลับมาอย่างสงสัยว่า อะไรคือการโกหกอย่างแนบเนียน
“ก็อย่างเช่นให้อาหารปลาอยู่” ผิงผิงตอบออกไปตามความคิดของตน
จ้าวเยว่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเอ่ยด้วยวาจาไร้อารมณ์
“ผิงผิงนะผิงผิง เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า พวกเราหายกันไปนานขนาดไหน หากบอกท่านแม่ว่าให้อาหารปลาอยู่ เหตุผลแค่นั้นจะเชื่อได้อย่างไร”
“เรื่องทำความสะอาดศาลบรรพชน ก็เชื่อไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละเจ้าค่ะ” ผิงผิงจึงค้อนขวับใส่คุณหนูของตน ไม่ว่าเหตุผลใดก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น
กลับมาทางห้องโถงใหญ่ของจวน เวลานี้จ้าวฮูหยินกับเสวี่ยฮูหยินสนทนากันอยู่อย่างถูกคอ จนเวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งชั่วยาม เสวี่ยฮูหยินจึงได้เดินทางกลับ
ในตอนแรกจ้าวฮูหยินตั้งใจจะเรียกบุตรสาวตัวดีออกมาเพื่อเค้นถามว่า ความจริงแล้วนางหายไปไหนกันแน่ ถึงได้มาพบเสวี่ยฮูหยินช้า แต่ถือว่าวันนี้จ้าวเยว่ทำได้ดีในยามที่พบหน้าเสวี่ยฮูหยิน และสามารถทำให้ว่าที่แม่สามีชมชอบได้
จ้าวฮูหยินจึงตัดใจไม่เรียกบุตรสาวมาตำหนิ ทำให้จ้าวเยว่รอดพ้นไปอีกหนึ่งวัน
วันนี้บนหลังคาเรือนของคุณหนูของจวนสกุลจ้าวไม่มีผู้ใดมาแอบปีนดูความเคลื่อนไหว เนื่องจากทางราชสำนักมีการประชุม จึงได้เรียกตัวแม่ทัพเสวี่ยเข้าวัง วันนี้เขาจึงไม่ได้เห็นความเก่งกาจและความสามารถในการต่อสู้ของว่าที่ภรรยา แต่ก็ไม่แน่ถ้าหากว่าเขาได้เห็นนางยามนั้น อาจจะชมชอบนางมากขึ้นก็เป็นได้
“ผิงผิง เราไปที่บ่อปลากันเถอะ” จ้าวเยว่เอ่ยชวนสาวใช้คนสนิท
“คุณหนูไม่เบื่อปลาพวกนั้นหรือเจ้าคะ ไปดูพวกมันทุกวันก็เหมือนเดิมทุกวัน” ผิงผิงถามคุณหนูอย่างสงสัยใคร่รู้
จ้าวเยว่เอามีอเท้าคางอย่างเศร้าสร้อยก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทางเกียจคร้าน
“นี่อีกไม่กี่วันข้าก็จะออกเรือนแล้ว คงจะไม่ได้มาเจอพวกมันบ่อย ๆ อีก เช่นนั้นข้าคงคิดถึงพวกมันไม่น้อย”
“เมื่อกลางวันเสวี่ยฮูหยินบอกว่า จะให้คนขุดบ่อปลาให้คุณหนูนี่เจ้าคะ คุณหนูก็ย้ายพวกมันไปจวนตระกูลเสวี่ยเสียด้วยเลย เรื่องนี้ก็หมดปัญหาแล้ว” ผิงผิงเอ่ยขึ้นเมื่อคิดขึ้นมาได้ ตอนนั้นนางก็ได้ยินด้วยเช่นกัน
“ถ้าย้ายปลาไป บ่อปลาของที่นี่ก็จะว่างเปล่าและสวนหลังจวนนี้ ก็จะหม่นหมอง ข้าคิดว่าไม่ดีหรอกนะ” จ้าวเยว่ตอบกลับ
ความรู้สึกเมื่อรู้ว่าตนเองจะต้องจากจวนนี้ไปนั้น นางรู้สึกได้ถึงความเหงาและความเปล่าเปลี่ยวที่จะได้รับ ถึงแม้ว่าเสวี่ยฮูหยินจะดูใจดีและเอ็นดูนางมากสักแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ คงจะไม่เหมือนกับบิดามารดาของนาง อีกทั้งยังต้องห่างจากพี่ชายทั้งสองไปอีก
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าอากาศที่หนาวเหน็บจากภายนอกนั้น เข้ามาเกาะกุมในหัวใจจนหนาวสะท้านไปทั้งร่างกาย