บทที่ 6 โต้กลับอย่างเจ็บแสบ

2242 คำ
“เดี๋ยวนี้ไม่ได้มีการลงโทษแบบนั้นแล้ว สมัยนี้คือราชวงศ์ถังไม่ใช่ราชวงศ์กวน” หวังเว่ยเถียนเถียงกลับมาอย่างถือดี ทั้ง ๆ ที่ใน­ใจนั้นหวาดหวั่นไม่น้อย จ้าวเยว่หันไปมองหน้าหวังเว่ยเถียนช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่มีแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ อย่า­ลืมสิ ว่าบิดาของข้าเป็นเจ้ากรมการคลัง อีกทั้งยังสนิทกับท่าน­เซียวโหว แล้วท่านเซียวโหวก็เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก และหากฝ่าบาทให้นำการลงโทษนี้มาใช้ใหม่อีกครั้ง พวกเจ้าคิดว่าจะเป็นอย่างไร” บรรดาสตรีทุกนางต่างพากันปิดปากเงียบ มิมีผู้ใดกล้าต่อ­ปากต่อคำกับจ้าวเยว่สักคน เพราะไม่มีบิดาของผู้ใดที่จะมียศ­ตำแหน่งเทียบเท่ากับบิดาของนาง เว้นก็แต่บิดาของซูหลิงเจียว แต่ซูหลิงเจียวกลับวางท่าสุขุมไม่โต้ตอบอะไร หวังเว่ยเถียนเมื่อนึกคำเอ่ยออก ก็เอ่ยขึ้นมา “เจ้าคิดว่าวาจาที่มาจากสตรีที่มีชื่อเสียงไม่ดีเช่นเจ้า ฝ่าบาทจะรับฟังอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน” คำเอ่ยของหวังเว่ยเถียนประโยคนี้ มิได้สร้างความสั่นสะเทือนใด ๆ ให้กับจ้าวเยว่เลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายนางยังหัวเราะออกมาเสียด้วยซ้ำหลังจากที่ฟังจบ “หวังเว่ยเถียนนะหวังเว่ยเถียน เมื่อก่อนสติปัญญาของเจ้า­นั้นไม่ดี ข้าก็พอเข้าใจ แต่ว่าเจ้าเติบโตมาจนป่านนี้ สติปัญญาของเจ้ากลับยังเป็นเช่นเดิมอยู่อีกหรือ ที่ข้าเอ่ย เจ้าฟังไม่เข้าใจหรืออย่างไร” จ้าวเยว่ถามกลับด้วยท่าทางเหยียดหยามอีกคนอย่างชัดเจน “ทำไมข้าจะฟังไม่เข้าใจ ก็เจ้าบอกว่าจะไปกราบทูลฝ่าบาทให้นำกฎนี้ขึ้นมาใช้ใหม่ไม่ใช่หรือ” หวังเว่ยเถียนตอบกลับอย่างไม่­ยอมแพ้ “มีใครสามารถบอกเล่าให้นางฟังได้บ้างหรือไม่” จ้าวเยว่ทำเป็นเอ่ยถามทุกคน แต่ที่จริงแล้วนางก็ตั้งใจจะบอก­เล่าด้วยตนเอง เพื่อตอกย้ำสติปัญญาที่ต่ำต้อยของหวังเว่ยเถียน อยู่แล้ว คนอื่นต่างก็ปิดปากเงียบ เพราะกลัวว่าถ้าเอ่ยอะไรแล้วจะ­โดนนางตอกกลับมา มีเพียงแต่ซูหนิงเท่านั้นที่ฉลาดและกล้าเอ่ยที่สุด นางเป็นน้องสาวของซูหลิงเจียวก็จริง แต่ว่านิสัยต่างกันลิบลับ บางครั้งนางก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพี่สาวตนเอง แต่ด้วยความที่เป็นน้อง จึงมิอาจห้ามปรามได้ นางเดินออกมาข้างหน้าแล้วกล่าวขึ้น “ข้า ข้าเอง เมื่อ­สักครู่ที่แม่นางจ้าวกล่าว ก็คือบิดาของนางสนิทกับท่านเซียวโหว และท่านเซียวโหวก็เป็นขุนนางคนสนิทของฝ่าบาท ดังนั้นจ้าวเยว่ไม่ได้คิดที่จะไปกราบทูลฝ่าบาทด้วยตนเอง แต่นางจะบอกผ่านบิดา­ของนาง ให้ไปบอกท่านเซียวโหว แล้วให้ท่านเซียวโหวนำความกราบทูลต่อฝ่าบาท ข้ากล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่” “ถูกต้องแล้ว คุณหนูรองตระกูลซูช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก” จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมปรบมือให้ซูหนิง ซูหลิงเจียวจึงรีบดึงน้องสาวมาอยู่ข้างหลังแล้วเอ็ดนางเสียงเบา “เจ้าเงียบไปเลย” “พวกข้าสนทนากัน แล้วเจ้าเข้ามาเกี่ยวอะไรด้วยเล่า อยากร่วมวงสนทนากับพวกเราหรืออย่างไร” สตรีนางหนึ่งรวบรวมความ­กล้าขึ้นมา จึงตะโกนถามจ้าวเยว่ จ้าวเยว่เดินตรงเข้าไปหาสตรีนางนั้น สายตาของหญิงสาวมี­ความท้าทายอยู่ไม่น้อย นางเดินเข้าไปใกล้ จนใบหน้าแทบจะประชิดกับใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า “ที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากจะลดตัวลงมาสนทนากับบุตรของขุน­นางชั้นผู้น้อยอย่างพวกเจ้าหรอกนะ ถ้าไม่ใช่ว่าพวกเจ้าเอ่ยถึงข้าก่อน” คำว่า ‘ลดตัวลงมา’ กับคำว่า ‘ขุนนางชั้นผู้น้อย’ ทำให้เหล่าสตรีทั้งหลายต่างก็สั่นสะท้านกันไปเป็นแถบ ด้วยไม่คิดว่าจ้าว­เยว่จะ­กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ เนื่องจากเป็นการดูหมิ่นไปถึงผู้ใหญ่ แต่ว่าจ้าว­เยว่หาได้สนใจ ในเมื่อคนพวกนี้เอ่ยวาจาให้ร้ายบิดามารดาของนางก่อน นางจะเอ่ยคำว่าขุนนางชั้นผู้น้อย แล้วจะเป็นอย่างไร “พะ...พวกข้าเอ่ยถึงเจ้าที่ไหนกัน เจ้าอย่ามาทึกทัก พวกข้าแค่คุยกันเรื่องทั่วไป” หวังเว่ยเถียนเอ่ยแก้ตัวอย่างตะกุกตะกัก “ใช่ ๆ” เหล่าสตรีที่อยู่ด้านหลังรีบเสริม “โถ...หวังเว่ยเถียน ถึงแม้ว่าสติปัญญาของเจ้าจะเสื่อมถอย แต่ว่าความไร้ยางอายของเจ้ามิได้เสื่อมถอยเลย” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้น ประโยคหลังนางเน้นเสียงหนัก ราวกับจะเอ่ยประจานหวังเว่ยเถียนอย่างไรอย่างนั้น “คุณหนูรองตระกูลซู เมื่อสักครู่ท่านได้ยินใครเอ่ยว่าร้ายข้าและบิดามารดาของข้าหรือไม่” จ้าวเยว่เอ่ยถามซูหนิงที่ยืนอยู่ คำถามนี้กดดันซูหนิงอย่างหนัก นางเป็นคนดีที่ไม่เคยเอ่ย­โกหกเลยสักครั้ง แต่ว่าครั้งนี้กลับมีพี่สาวของนางเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย จึงได้ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกเป็นคนดีหรือคน­ชั่ว และในที่สุดก็ตัดสินใจได้ “มี พวกนางต่างพากันเอ่ยถึงท่าน แล้วก็บิดามารดาท่านกัน­หมดเลย” สตรีกว่ายี่สิบนางมองมาที่ซูหนิงทันที สายตาของทุกคนเต็ม­ไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย “นี่เจ้าอยู่ฝั่งไหนกันแน่ ถ้าเจ้าเห็นด้วยกับนาง ก็ไปอยู่ฝั่งนาง” ซูหลิงเจียวเอ่ยขึ้น แล้วดันน้องสาวไปหาจ้าวเยว่ เมื่อซูหนิงถูกดันออกมาแล้ว ก็มีหญิงสาวนางหนึ่งเดินตามออกมา หญิงสาวผู้นั้นก็คือฟ่านถงถงนั่นเอง เมื่อสักครู่ฟ่านถงถงไม่ได้ร่วมวงนินทากับพวกนางด้วย อีก­ทั้งยังห้าม­ปรามแล้วหลายครั้ง แต่ว่าทุกคนไม่ยอมฟัง นางจึงไม่­ยินดีที่จะเข้าร่วมวงสนทนากับคนพวกนั้นอีกต่อไป แล้วเปลี่ยนมายืนฝั่งจ้าวเยว่แทน “ข้าก็ได้ยินว่าพวกเขาเอ่ยเช่นนั้น” ฟ่านถงถงกล่าวขึ้น จ้าวเยว่ไม่เคยคิดเลย ว่าในบรรดาสตรีที่ไร้สาระพวกนี้ จะมีคนดีมีเหตุผลอยู่ด้วย นางยิ้มให้กับคุณหนูทั้งสองเล็กน้อย ก่อนที่จะปล่อยวาจาดุเดือดต่อ “หวังเว่ยเถียน ข้าได้ยินที่เจ้าเอ่ยทั้งหมด เจ้าเอ่ยว่าข้าเป็นสตรีที่เกียจคร้าน มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และบิดามารดาข้า ส่งข้าเข้ามาใช้­มารยาหลอกล่อเซียวเฟิงตั้งแต่ยังแบเบาะ แล้วยังเอ่ยอีก ว่าบิดามารดาของข้านั้น มากไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและคิดจะจับตระกูลเซียวให้อยู่หมัด” จ้าวเยว่เอ่ยไปก็ก้าวเข้าไปใกล้หวังเว่ยเถียนทีละนิด หวังเว่ยเถียนเองก็ถอยหลังไปทีละก้าวด้วยความกลัว “เดิมทีพวกเจ้าจะนินทาว่าร้ายข้า ข้าไม่เคยสนใจ แต่เจ้าบังอาจว่าร้ายมาถึงบิดามารดาข้า ข้าให้อภัยไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่ข้า­เอ่ยเพียงว่าพวกเจ้าเป็นบุตรีของขุนนางชั้นผู้น้อยนั้น ยังเบาไปเสีย­ด้วยซ้ำ” “เจ้าชักจะมากเกินไปแล้วนะ จ้าวเยว่” ซูหลิงเจียวเอ่ยขึ้น จ้าวเยว่เริ่มมีโทสะขึ้นมาแล้ว จึงหันไปเค้นเสียงเอ่ยใส่หน้าซู­หลิงเจียวว่า “ถ้าสิ่งที่ข้าทำเรียกว่ามากเกินไป แล้วสิ่งที่พวกเจ้าทำ­เล่าเรียกว่าอะไร ทำตัวเป็นสตรีสูงศักดิ์ แต่วาจาต่ำทรามยิ่งกว่าบ่าวไพร่” คราวนี้นางหันกลับไปมองทุกคนแล้วเอ่ยเสียงดังว่า “พวกเจ้าก็เหมือนกัน ถ้าหากอยากที่จะเป็นสุนัขรับใช้ใครก็­ใช้สติปัญญาดูด้วย ว่าคนผู้นั้นควรค่าแก่การเดินตามหรือไม่ อย่าได้แต่เอาจมูกดมกลิ่นแล้วตามไปเพราะว่าหอม เพราะบางครั้งกลิ่นที่แรกเริ่มหอมเย้ายวน อาจจะกลายเป็นเหม็นโฉ่วก็ได้” จ้าวเยว่เอ่ยจบก็หมุนตัวจากไป ด้านซูหนิงกับฟ่านถงถงนั้นก็­แยกตัวออกไปพร้อมกับสตรีคนอื่น ๆ เช่นกัน บัดนี้จึงเหลือเพียงแค่ซูหลิงเจียวกับหวังเว่ยเถียนที่กำลังคับ­แค้นใจ จนไม่รู้ว่าจะเอาคืนจ้าวเยว่อย่างไรดี “ไทเฮาเพคะ เหล่าสตรีทะเลาะวิวาทกันที่ศาลาชมดาวเพ­คะ” นางกำลังนางหนึ่งเดินเข้ามากราบทูล “เป็นผู้ใดกัน” ไทเฮาตรัสถามออกอย่างสงสัย “เป็นคุณหนูตระกูลจ้าวกับคุณหนูตระกูลซู และคุณหนูตระกูลหวังเพคะ” นางกำนัลก้มหน้าตอบ “เจ้ากลับไปดูซิ ว่าพวกนางเลิกทะเลาะวิวาทกันหรือยัง หากยังไม่ยอมหยุด ก็ให้บอกไปว่าข้าจะลงโทษ ถ้าใครยังคิดก่อเรื่อง” ไทเฮาตรัสเสียงดัง และเมื่อตรัสกับนางกำนัลจบ ไทเฮาก็หันมาตรัสกับเจ้ากรมทั้งสองที่กำลังสนทนากับฮ่องเต้อยู่ “บุตรีของท่านทั้งสองก่อเรื่องอยู่ที่ศาลาชมดาว เมื่อพวกท่านกลับจวนไปแล้ว คงต้องอบรมสั่งสอนพวกนางเสียใหม่” “พ่ะย่ะค่ะ ไทเฮา” ทั้งจ้าวฝู่และซูม่อเยี่ยต่างน้อมรับบัญชา ใกล้ถึงเวลากลับจวนแล้ว จ้าวเยว่จึงมารวมตัวกับพี่ชายทั้ง­สองหน้าตำหนัก แขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับกันแล้ว ด้านในจึงเหลือเพียงขุนนางใหญ่ไม่กี่คน รวมทั้งบิดาของพวกเขาด้วย “ข้าว่าพวกเราไปรอที่รถม้ากันเถอะ เดี๋ยวท่านพ่อกับท่านแม่ก็ออกมา ข้าเมื่อยจะตายอยู่แล้ว อย่ายืนรอตรงนี้อีกเลย” จ้าวอวี้เฉินเอ่ยขึ้นมาอย่างเหนื่อยอ่อน วันนี้เขามาเข้าวังเพื่อรับงานสืบ­ราชการลับจากฮ่องเต้ ภารกิจของเขารัดตัวยิ่งนัก ตั้งแต่เช้ามายังไม่ได้พักผ่อน พอตกเย็นยังต้องมางานเลี้ยงอีก จึงเหนื่อย­ล้ามากกว่าทุกวัน “เอาอย่างนั้นก็ได้ ไปกันเถอะ เจ้าเองก็นวดให้พี่รองของเจ้าหน่อยเป็นอย่างไร” จ้าวหลู่เจินหันไปหาน้องสาวแล้วเอ่ยขึ้น “ข้านวดไม่เป็น เหตุใดจึงไม่ให้แม่นางเมิ่งแห่งหอโอบ­จันทร์นวดให้เล่า” จ้าวเยว่เอ่ยหยอกเย้าพี่ชาย เมื่อได้ยินชื่อแม่นางเมิ่งแห่งหอโอบจันทร์ จ้าวอวี้เฉินก็ถึงกับหน้าแดงขึ้นมา จากที่บ่นปวดเมื่อยก่อนหน้านี้ กลับกลายเป็นว่ามี­แรงวิ่งไล่ตีน้องสาวรอบรถม้าเสียได้ ทางด้านพี่ใหญ่กับน้องสามพอ­ได้กลั่นแกล้งน้องรอง ก็พากันหัวเราะร่วนอย่างสนุกสนาน ยามรถม้าสองคันมาจอดเทียบที่หน้าจวนเจ้ากรมการคลัง จ้าวฝู่กับจ้าวฮูหยินก็เดินลงมาจากรถม้าคันแรก ส่วนลูก ๆ ทั้งสามเดินลงมาจากรถม้าคันที่สอง ทั้งหมดก้าวเดินเข้าไปในจวนอย่างอ่อน­ล้า แต่เมื่อกำลังจะแยกทางกันไปยังเรือนพักของตน จ้าวฮูหยินก็เอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเจ้าไปได้ ยกเว้นจ้าวเยว่ มาที่ห้องโถงกับข้า” ‘ห้องโถงอีกแล้วหรือ อะไรกันอีกล่ะเนี่ย’ จ้าวเยว่คิดในใจ เริ่ม­สังหรณ์ใจว่าการถูกเรียกตัวในคราวนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องไม่ดีอีก­ตามเคย ภายในห้องโถง มีเพียงแค่จ้าวฮูหยินกับจ้าวเยว่สองคน คราว­นี้ไม่มีใครสามารถช่วยเอ่ยให้นางได้เลย ไม่มีท่านพ่อ ไม่มีท่านพี่ทั้งสอง ไม่มีแม้กระทั่งผิงผิง นางจึงได้แต่ถอนหายใจออกมา พลางนั่งตัวงอ จนตอนนี้ตัวหดเล็กลง ราวกับเป็นเพียงลูกสุนัขตัวหนึ่ง “เจ้าไปก่อเรื่องอันใดมา” จ้าวฮูหยินถามเสียงเย็น “ไม่มีนะเจ้าคะ ไม่มี” จ้าวเยว่ส่ายหน้าเอ่ยหน้าตาเฉย นางคิดไว้แล้ว ว่าจะต้องเป็นเรื่องที่นางทะเลาะวิวาทกับเหล่าสตรีพวกนั้นที่งานเลี้ยง เพราะนอกจากเรื่องนี้ ก็คงไม่มีเรื่องอื่นอีกแล้ว “เจ้าอย่ามาเฉไฉ” จ้าวฮูหยินทำเสียงดุ จ้าวเยว่ได้แต่ยิ้มเจื่อนส่งให้มารดาของตน “ลูกมีเรื่องวิวาทเล็กน้อยตามประสาสตรีเจ้าค่ะ” “เล่ามา” จ้าวฮูหยินสั่งเสียงเข้ม จ้าวเยว่สูดหายใจเข้าคราหนึ่ง แล้วรู้สึกฮึดสู้ขึ้นมาทันที “แต่เรื่องนี้ลูกไม่ได้ผิดนะเจ้าคะ เป็นเพราะว่าพวกนางนินทาว่าร้ายลูกก่อน มิหนำซ้ำพวกนางยังลากท่านพ่อกับท่านแม่มาเกี่ยวด้วย พวกนางเอ่ยว่าท่านพ่อกับท่านแม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อจะจับตระกูลเซียว อีกทั้งยัง...” “พอๆ เจ้าพอได้แล้ว ข้าเพียงจะเรียกเจ้ามาตักเตือน ความผิดครั้งนี้ไม่ได้หนักหนาอะไร ต่อไปอย่าได้ทำอย่างนี้อีก ไม่ว่าจะที่ไหนกับผู้ใด ไว้หน้าบิดาเจ้าบ้าง ครั้งนี้ข้าจะกักบริเวณเจ้าสักสิบ­วัน สำนึกผิดให้ดี” จ้าวฮูหยินเอ่ยจบก็เดินออกจากประตูไป “เจ้าค่ะ” จ้าวเยว่รับคำอย่างยอมจำนน แม้ใจนางจะไม่อยากยอมรับบทลงโทษนี้ แต่ก็ช่างเถอะ นางก็ไม่ได้คิดจะออกนอกจวนอยู่แล้ว ถูกกักบริเวณสิบวัน แลกกับการได้สั่งสอนสตรีปากเสียพวกนั้นสักครั้ง จะเป็นไรไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม