ณ เมืองอวี้โจว แคว้นสือเจ้า ทางตอนเหนือของแคว้นฉางอันตะวันออก เฉินฉิงตะลีตะลานหลบหนี เมื่อเห็นประตูเมืองถูกตีแตก เขามีสภาพกระเซอะกระเซิง แต่ก็ไม่อาจละวางหน้าที่ในมือลงได้ ชายหนุ่มยังคงกวาดสายตาอย่างกระวนกระวายแล้ววิ่งไปอย่างไร้ทิศทาง
เวลานี้จวนเจ้าเมืองกำลังเกิดเพลิงไหม้ ในใจเขาคิดว่าอย่างไรต้องหามันให้เจอ ก่อนที่กองกำลังของศัตรูจะมาถึงแล้วชิงมันกลับไป สุดท้ายจึงกัดฟันวิ่งเข้าไปในจวนที่กำลังเกิดเพลิงไหม้ ทว่าด้านในเปลวไฟลุกท่วมโชติช่วงรุนแรง เรือนทั้งหลังกำลังจมอยู่ในกองเพลิง ขื่อ คานพังถล่มอย่างต่อเนื่อง จนเขาต้องผงะถอยไปหลายก้าว
‘เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ตราประทับจะต้องถูกแย่งชิงคืนไปเป็นแน่ แต่ข้าไม่ยอมแค่นี้แน่ ข้าเป็นถึงแม่ทัพแดนใต้ของแคว้นสือเจ้า จะต้องนำมันไปให้ท่านอ๋องให้ได้’
อารมณ์ความฮึกเหิมพุ่งขึ้น เขาหมุนตัวกลับหมายจะกลับไปแลกชีวิตกับแม่ทัพเสวี่ย ทว่าเพิ่งออกจากจวนนั้นได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าฝูงหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาทางเขา ซึ่งนั่นก็คือเสวี่ยช่างเจิ้น แม่ทัพแห่งแคว้นฉางอันนั่นเอง
เฉิงฉิงอาศัยแสงจากเปลวเพลิงที่เบื้องหลัง แล้วพยายามเพ่งเล็งไปที่แม่ทัพเสวี่ย จากนั้นก็ถือดาบวิ่งตรงเข้าไปหาทันที ทหารที่ติดตามแม่ทัพเสวี่ยของตนมาต่างเร่งฝีเท้า เพื่อจะเข้าไปจัดการกับแม่ทัพของแคว้นศัตรูที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ก็ถูกแม่ทัพของตนห้ามไว้
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
“ขอรับ”
แม่ทัพเสวี่ยลงจากหลังม้า มือขวากำด้ามดาบไว้อย่างมั่นคง แล้วเดินตรงเข้าไปหาเฉินฉิง เมื่อระยะห่างระหว่างกันเหลือเพียงแค่สามจั้งเขาก็ตะโกนขึ้นมาว่า
“ตราประทับของแม่ทัพใหญ่แคว้นฉางอันอยู่ที่ใด”
ตราประทับนี้ถูกสายลับของแคว้นสือเจ้าขโมยไปเมื่อเดือนที่แล้ว พวกมันปลอมตัวเข้ามาเป็นบ่าวไพร่ในจวนของท่านแม่ทัพใหญ่เหยียนโหว แล้วแอบเข้าห้องทำงานและขโมยไป แต่ยังนำกลับไปไม่ถึงเมืองหลวงของพวกมัน ก็ถูกแม่ทัพเสวี่ยแกะรอยตามมาได้เสียก่อน จึงได้ส่งกองทัพลงมาเผชิญศึกกับกองทัพของแม่ทัพเสวี่ย
“จะอย่างไรข้าก็ไม่มีทางบอกเจ้า” เฉินฉิงตะโกนกลับมา
เมื่อศัตรูเอ่ยอย่างแน่ชัดแล้ว ว่าจะไม่ยอมบอกที่ซ่อนของตราประทับ แม่ทัพเสวี่ยก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ชักดาบออกจากฝักแล้ววิ่งเข้าใส่เฉินฉิงทันที
เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูป ศีรษะของเฉินฉิงก็หลุดจากบ่ากลิ้งตกลงไปตามพื้น จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าทหารม้าของตน ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของทหารแคว้นฉางอัน
“เอาหัวของมันไปเสียบประจานไว้ที่ประตูเมือง”
แม่ทัพเสวี่ยสั่งเสียงดังก้อง จากนั้นจึงหันไปหาทหารอีกสองสามนายแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้ามากับข้า ข้าจะเข้าไปหาตราประทับในจวน”
ตอนนี้เพลิงเริ่มสงบลงบ้างแล้ว แม่ทัพเสวี่ยกับเหล่าทหาร ใช้เวลากว่าครึ่งค่อนคืน จึงได้หาตราประทับพบ
ในที่สุดการศึกอันดุเดือดก็ยุติลง ยามนี้เป็นเวลาดึกดื่นมากแล้ว แม่ทัพคนสำคัญของศัตรูถูกแม่ทัพเสวี่ยสังหาร เจ้าเมืองถูกบังคับให้ยอมสละเมืองเพื่อเอาชีวิตรอด ทหารเมืองอวี้โจวก็บาดเจ็บล้มตายเกินกว่าครึ่ง ที่เหลือล้วนยอมจำนนหมดสิ้นแล้ว
เหล่าทหารภายใต้การปกครองของแม่ทัพเสวี่ยแม้เหนื่อยล้าเพียงใดก็ไม่ท้อถอย หลังจากที่บุกยึดเมืองอวี้โจวได้สำเร็จ ก็ทำให้ขวัญทหารกล้าฮึกเหิม ทุกหนทุกแห่งมีแต่เสียงโห่ร้องยินดี
รุ่งเช้าแม่ทัพเสวี่ยทิ้งทหารไว้จำนวนหนึ่ง ภายใต้การดูแลของรองแม่ทัพจาง ส่วนตนกับทหารที่เหลือ รีบเดินทางกลับเมือง หมิงเวยเพื่อนำตราประทับของแม่ทัพใหญ่กลับไป
เสวี่ยช่างเจิ้น แม่ทัพหนุ่มอายุน้อย เขามีอายุเพียงยี่สิบสี่ปี แต่ผลงานของเขากลับไม่น้อยดังเช่นอายุเลย ตั้งแต่ชายหนุ่มนำทัพออกศึกกว่ายี่สิบครั้ง ก็ยังไม่เคยแพ้พ่ายแม้แต่ครั้งเดียว และครั้งนี้ก็เช่นกัน เสวี่ยช่างเจิ้นสามารถยึดเมืองอวี้โจว และนำตราประทับของแม่ทัพใหญ่กลับมาได้สำเร็จ
ด้วยความที่ยังหนุ่มแน่น และหน้าตาหล่อเหลาราวเทพเซียน อีกทั้งความสามารถที่เก่งกาจ ทำให้บรรดาสตรีทั้งนอกและทั้งในเมืองหมิงเวยต่างก็หมายปอง บุตรีของขุนนางทั้งชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อย ล้วนก็อยากจะเป็นภรรยาของเขา แม้ว่าจะเป็นภรรยาเอกไม่ได้ ขอให้ได้เป็นอนุภรรยาก็ยังดี ส่วนสตรีสามัญชนทั้งหลายถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริงนัก แต่ก็ขอให้ได้อยู่ในสายตาของเขาบ้าง พวกนางก็พอใจแล้ว
ดังนั้นที่เขากลับมาในวันนี้ เหล่าสาวน้อยที่ยังไม่ออกเรือน ต่างก็ไปรวมตัวกันที่ถนนหน้าประตูเมือง เพื่อยลโฉมของท่านแม่ทัพเสวี่ยในตอนที่เขากลับเข้าเมืองมา
“เจ้าฟังข่าวมาไม่ผิดแน่นะ ว่าท่านแม่ทัพจะกลับมาวันนี้”
ลู่เฉินจยาบุตรีสกุลลู่ คหบดีใหญ่เมืองหมิงเวยเอ่ยถามสหายที่ยืนอยู่ข้างๆ และสหายที่ยืนอยู่ข้างนางก็คือหวังเว่ยเถียนนั่นเอง
“ไม่ผิดแน่ ข้าถามท่านพ่อมาแล้ว ข่าวจากพ่อข้าไม่มีทางผิดแน่”
“แล้วเหตุใดขบวนของท่านแม่ทัพถึงยังไม่มาอีกล่ะ นี่เราก็ยืนรอมาสองชั่วยาม แล้ว” ลู่เฉินจยาใจร้อนอยากพบแม่ทัพเสวี่ยเร็ว ๆ จึงถามไม่เลิกรา
หวังเว่ยเถียนเห็นกิริยาของนางแล้วก็เริ่มรำคาญไม่น้อย ก่อนจะสูดลมหายใจข่มโทสะเอาไว้
“ฮื่ม...ลู่เฉินจยา การเดินทางนั้น ย่อมมีช้าบ้าง เร็วบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ใจคอเจ้าจะให้ท่านแม่ทัพเดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก เพื่อมาให้เจ้าพบหน้าอย่างนั้นหรือ เจ้ามิใช่ภรรยาของเขาสักหน่อย”
“แล้วถ้าข้าได้เป็นขึ้นมา เจ้าก็อย่ามาขอข้าเป็นอนุก็แล้วกัน” ลู่เฉินจยากล่าวขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยการประชดประชัน
“ขอให้มีวันนั้นเสียก่อนเถอะ” หวังเว่ยเถียนประชดกลับเช่นกัน
ลู่เฉินจยาเหลียวหน้ามองหลัง ราวกับว่ากำลังหาใครสักคนอยู่ แล้วจู่ ๆ นางก็ถามขึ้นมาว่า “แล้วหลิงเจียวเล่า ไม่มากับเจ้าด้วยหรือ”
“ซูหลิงเจียวน่ะหรือ นางไม่ยอมออกมาทำสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่หรอก นางกล่าวว่าการมารอชื่นชมบุรุษนั้น ไม่เป็นกิริยาที่ชนชั้นสูงพึงกระทำ” หวังเว่ยเถียนตอบกลับ
“อย่างนั้นสินะ ถึงอย่างไรคนในตระกูลผู้ดีอย่างนางก็มีโอกาสมากกว่าสตรีสามัญอย่างเรา ไม่แน่นางอาจจะมีโอกาสได้ร่วมงานเลี้ยงกับท่านแม่ทัพก็เป็นได้” ลู่เฉินจยากล่าวเชิงตัดพ้อในโชคชะตาตนเอง
หวังเว่ยเถียนได้ยินอย่างนั้นก็แค่นเสียง ‘หึ’ ออกมาหนึ่งครั้ง
“หึ...เป็นชนชั้นสูงแล้วอย่างไรเล่า ถ้าหากท่านแม่ทัพไม่ชอบอย่างไรก็คงจะไม่มีทางอยู่ดี ดูอย่างน้องสาวนางสิ เป็นชนชั้นสูงก็ยังปฏิบัติตัวเยี่ยงพวกเราเลย”
ณ ถนนฝั่งตรงกันข้าม
ซูหนิงกำลังวิ่งชะเง้อคอไปมาเพื่อหามุมดี ๆ ในการเฝ้ารอยลโฉมของแม่ทัพเสวี่ย นางกระตือรือร้นราวกับเด็ก ๆ ที่รอชมพวกกระต่ายน้อยที่กำลังจะวิ่งออกจากกรง
จากนั้นก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นมาว่าท่านแม่ทัพเสวี่ยมาแล้วดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ ทำให้เหล่าสตรีต่างก็วิ่งเข้าไปใกล้ประตูเมืองมากขึ้น พอเห็นแม่ทัพเสวี่ยควบอาชาสีดำคู่ใจผ่านเข้าประตูเมืองมา ก็พากันควักผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วโปรยไปให้ แม้แต่ลู่เฉินจยากับหวังเว่ยเถียนก็ทำเช่นกัน
เสวี่ยช่างเจิ้นควบม้าผ่านไปอย่างไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
ยามมีผ้าเช็ดหน้าตกลงมาที่ตัว เขาก็จะปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี หญิงสาวเหล่านั้นต่างก็ได้แต่ทำหน้าละห้อยมองตาม มิหนำซ้ำทหารในขบวนของเขา กลับเดินเหยียบย่ำผ้าเช็ดหน้าเหล่านั้น โดยที่ไม่คิดแม้แต่จะเก็บมันขึ้นมาส่งคืนให้เจ้าของ
ช่างเป็นกองทหารที่เย็นชาเสียจริง!!
ชาวเมืองต่างพากันเล่าลือกันปากต่อปากเรื่องที่แม่ทัพเสวี่ยได้ชัยชนะกลับมา กระทั่งบ่าวไพร่ในจวนเจ้ากรมจ้าวก็เอ่ยถึงเรื่องนี้เช่นกัน ผิงผิงที่กำลังขัดหลังให้จ้าวเยว่อยู่นั้นก็ยังเอ่ยขึ้นมา
“วันนี้เป็นวันที่ท่านแม่ทัพเสวี่ยกลับเข้าเมืองมา คุณหนูจะลองออกไปดูไหมเจ้าคะ”
“ไปทำไมหรือ เขามีอะไรให้น่าดูกันเล่า” จ้าวเยว่ตอบอย่างไม่สนใจ
“คุณหนูเคยพบท่านแม่ทัพแล้วหรือเจ้าคะ” ผิงผิงถามกลับ
“ยังไม่เคย” จ้าวเยว่ตอบกลับอย่างไม่สนใจเช่นเดิม
“แล้วเหตุใดถึงได้ตอบราวกับว่ารู้จักท่านแม่ทัพอย่างนั้นเล่าเจ้าคะ ผิงผิงก็นึกว่าตอนที่คุณหนูแอบไปฝึกยุทธ์ที่ลานฝึกของกองทัพ จะเคยเจอเขาแล้วเสียอีก”
“ไม่เคยเจอ แล้วก็ไม่ได้อยากเจอด้วย” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจอยู่ดี
ผิงผิงที่พยายามยุยงให้นายของตนออกไปยลโฉมท่านแม่ทัพที่ประตูเมือง ได้แต่ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถปลุกความกระตือรือร้นของคุณหนูได้เลย
“ผิงผิง เจ้าอยากไปใช่หรือไม่ แล้วที่พยายามหว่านล้อมข้าอยู่ตอนนี้ ก็เพราะเจ้าต้องการจะใช้ข้าเป็นข้ออ้างในการที่จะออกไปที่ประตูเมือง ใช่หรือไม่” จ้าวเยว่เอ่ยออกมาพลางใช้สายตามองผิงผิงอย่างกดดัน
ผิงผิงหน้าแดงซ่านขึ้นเมื่อถูกจับพิรุธได้ แต่ยังคงไม่ตอบคำถามของเจ้านาย
“เจ้าอยากไปก็ไปสิ แต่ข้าไม่ไปหรอกเพราะข้าขี้เกียจเดิน อีกอย่าง ประตูเมืองก็อยู่ไกลจากจวนเราตั้งหลายลี้”
จ้าวเยว่เอ่ยจบก็ลุกพรวดขึ้นจากน้ำเพื่อเป็นการตัดบท ทว่านางก็ยังคงไม่สามารถหยุดยั้งความอยากไปของผิงผิงได้อยู่ดี
“แต่ถ้าคุณหนูไม่ไป ผิงผิงจะไปได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ” ผิงผิงกล่าวเสียงอ่อย ๆ พร้อมกับทำหน้าเศร้า
จ้าวเยว่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เอาเงินไป และบอกพ่อบ้านว่าข้าให้เจ้าไปซื้อขนมมาก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” ผิงผิงรับเงินมาด้วยความดีใจยิ่งนัก
หลังจากนั้นผิงผิงก็ออกจากจวนไป นางไปแวะซื้อขนมที่ร้านเหลาเสี่ยวซื่อให้คุณหนูของนางก่อน แล้วค่อยเดินต่อไปที่ประตูเมืองเพื่อรอขบวนของท่านแม่ทัพเสวี่ย เมื่อได้ยลโฉมของท่านแม่ทัพแล้ว นางก็รีบวิ่งกลับมาที่จวนด้วยความตื่นเต้น
“คุณหนูเจ้าคะ ลองทายสิเจ้าคะ ว่าท่านแม่ทัพเสวี่ยหน้าตาเป็นเช่นไร” ผิงผิงเอ่ยพร้อมส่งสายตามีเลศนัยให้จ้าวเยว่
จ้าวเยว่ที่ไม่ค่อยจะสนใจเรื่องนี้เท่าใดนัก ก็ได้แต่ถามแบบเออออห่อหมกไปว่า “เป็นอย่างไรหรือ หล่อเหลาหรือไม่”
“หล่อเหลาราวกับเทพเซียนเลยเจ้าค่ะ รูปหน้าของท่านแม่ทัพคมคายยิ่งนัก ดวงตาดุดันราวกับเหยี่ยว จมูก ปาก คาง ล้วนรับรูปกัน อีกทั้งร่างกายที่กำยำสูงใหญ่ ผิงผิงเห็นเขาโดดเด่นออกมาจากหมู่ทหารเลยนะเจ้าคะ ตั้งแต่เกิดมา ผิงผิงยังมิเคยเห็นผู้ใดรูปงามถึงเพียงนี้มาก่อน” ผิงผิงตอบด้วยใบหน้าเคลิ้มฝัน
“นี่เจ้าถูกเขาโปรยยาเสน่ห์ใส่มา ใช่หรือไม่ ถึงได้ละเมอเพ้อหาเขาถึงเพียงนี้” จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมมองดูสาวใช้คนสนิทของตนอย่างค้นหา
ผิงผิงทำหน้าบึ้งตึงขึ้นมาแล้วตอบว่า
“ยาเสน่ห์อะไรเล่าเจ้าคะ ท่านแม่ทัพรูปงามจริง ๆ ถ้าคุณหนูได้พบ รับรองว่าจะต้องคิดเหมือนกันกับผิงผิงเป็นแน่”
จ้าวเยว่ได้แต่ส่ายหน้าแล้วคิดในใจว่า
‘ความหลงใหลของสตรีนี่ช่างไม่มีเหตุผลจริงๆ’
พูดพร่ำทำเพลง