ข่าวการสมรสพระราชทาน ระหว่างคุณหนูสกุลจ้าวและแม่ทัพเสวี่ยช่างเจิ้นนั้นได้แพร่สะพัดไปทั่วฉางอัน ผู้คนต่างให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าเจ้าสาวจะเป็นจ้าวเยว่ เนื่องจากนางมีชื่อเสียงที่ไม่ดีนัก อันมาจากความเกียจคร้านของนาง จนบางคนถึงกลับเอาไปนินทากันต่าง ๆ นานา
ในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ซูหลิงเจียว หวังเว่ยเถียน และสตรีอีกสองสามนาง กำลังนั่งจิบน้ำชากันอยู่ ภายในโรงน้ำชาแห่งนี้กำลังเล่าลือกันปากต่อปากถึงเรื่องสมรสพระราชทานครั้งนี้เช่นกัน
“เจ้าคิดว่าเมื่อจ้าวเยว่แต่งเข้าจวนของแม่ทัพเสวี่ยแล้ว นางจะอยู่ได้หรือไม่” หวังเว่ยเถียนเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน เพราะมั่นใจเหลือเกินว่าจ้าวเยว่นั้นไม่มีอะไรที่เทียบเคียงกับท่านแม่ทัพได้เลย
ซูหลิงเจียวจิบน้ำชาคำหนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกัน “ข้าว่านางอยู่ได้ไม่นานหรอก คนเกียจคร้านอย่างนาง ไหนเลยจะทำหน้าที่ฮูหยินที่ดีได้”
“ใช่ ๆ ข้าเห็นด้วย ไหนจะเรื่องการดูแลเรือน ไหนจะเรื่องปรนนิบัติสามี ข้าว่านางทำไม่ได้หรอก ดีไม่ดีนางได้วิ่งออกมาจากจวนตระกูลเสวี่ย ตั้งแต่สามวันแรกที่แต่งเข้าจวนด้วยซ้ำ” สตรีนางหนึ่งกล่าวเสริมขึ้นมาอย่างสนุกปาก เนื่องจากมั่นใจในความคิดของตนและสหาย
“ฮ่องเต้ก็จริง ๆ เลย พระราชทานสมรสให้ใครไม่ว่า กลับพระราชทานสมรสให้จ้าวเยว่เสียได้”
หวังเว่ยเถียนกล่าวต่ออย่างไม่พอใจ นางรู้สึกขัดเคืองใจในเรื่องนี้ยิ่งนัก สตรีในฉางอันมีนับร้อยนับพัน เหตุใดจึงต้องเป็นสตรีที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เช่นนั้นด้วย
“เว่ยเถียน เจ้าเอ่ยอะไรให้ระวังปากบ้างเถิด อยากตายหรืออย่างไร” ซูหลิงเจียวหันไปถลึงตาใส่สหาย ก่อนจะตำหนินางออกมาตรง ๆ แม้จะสนทนากันเรื่องของจ้าวเยว่ แต่ไม่ควรกล่าววาจาจาบจ้วงถึงฮ่องเต้
“ข้าขอโทษ ข้าลืมตัวไปหน่อย เจ้าอย่าตำหนิข้าเลย” หวังเว่ยเถียนตบปากตัวเองเบา ๆ สองสามครั้ง เพื่อยืนยันว่านางนั้นไม่ได้ตั้งใจกล่าววาจาเล่นนั้นต่อฮ่องเต้
ซูหลิงเจียวเมื่อได้ยินข่าวนี้ ก็ทั้งโกรธทั้งคับแค้นใจ เนื่องจากบิดามักจะเอ่ยกับนางอยู่เสมอ ว่าท่านหมายปองแม่ทัพเสวี่ยไว้เป็นบุตรเขย บิดาของนางจึงพยายามทำทุกอย่าง เพื่อที่จะให้ทั้งสองได้ใกล้ชิดกัน อีกทั้งคอยสนับสนุนแม่ทัพเสวี่ยอย่างออกหน้าออกตา รวมถึงไปมาหาสู่กับตระกูลเสวี่ยไม่ขาด
และเมื่อได้ข่าวมาว่าฮ่องเต้จะพระราชทานสมรสให้กับแม่ทัพเสวี่ยนั้น ก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้ที่จะได้รับพระกรุณาจะเป็นบุตรีของตนเอง แต่สุดท้ายกลับเป็นบุตรสาวของตระกูลจ้าวอย่างจ้าวเยว่ไปเสียได้ สตรีเกียจคร้านอย่างจ้าวเยว่เหมาะสมกับท่านแม่ทัพเสวี่ยจริงหรือ
“ว่ากันตามตรงแล้ว แม่ทัพเสวี่ยจะต้องแต่งกับข้าต่างหาก ไม่ใช่คนเกียจคร้านอย่างจ้าวเยว่” ซูหลิงเจียวเอ่ยด้วยท่าทีคับแค้นใจ ความหวังที่จะแต่งเข้าตระกูลเสวี่ยพังทลายลงในพริบตา
หวังเว่ยเถียนขยับใบหน้าเล็กน้อยหันไปทางซูหลิงเจียว ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า “ตอนแรกข้าก็คิดว่าเป็นเจ้า อีกอย่าง ตัวเจ้าเองช่างเหมาะสมยิ่งกว่าจ้าวเยว่เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ตำแหน่งของบิดาเจ้าก็มิได้น้อยหน้าผู้ใด ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า ทำไมสมรสพระราชทานในครั้งนี้ถึงได้เป็นของตระกูลจ้าว”
“ข้าก็อยากรู้ยิ่งนักว่านางมีดีอะไร!!” ซูหลิงเจียวใช้กำปั้นทุบโต๊ะคราหนึ่งด้วยความเคียดแค้น
“เจ้าเชื่อข้าเถอะว่านางอยู่ในจวนตระกูลเสวี่ยได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ต้องหอบผ้าหอบผ่อนกลับมาจวนตนเอง จนกลายเป็นหญิงม่าย เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะแต่งเข้าตระกูลเสวี่ยเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพก็ยังไม่สาย พวกเจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่”
หวังเว่ยเถียนกล่าววาจาเชิงดูหมิ่นจ้าวเยว่ไม่น้อย หนำซ้ำยังยุยงสหายของตนเองอีก
หลังจากนั้นพวกนางก็ยังคงสนทนาเรื่องอื่นกันต่อ และเรื่องที่สนทนากันก็ไม่พ้นเรื่องของจ้าวเยว่ รวมถึงเรื่องของบุรุษทั่วไป แม้ว่าตอนนี้นอกจากข่าวการสมรสพระราชทานแล้ว จะยังมีข่าวเรื่องของสงครามที่กำลังเกิดอยู่รอบ ๆ แคว้นฉางอัน ทว่าพวกนางก็มิได้สนใจข่าวสารจวนเมืองกันสักเท่าไร
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูได้ยินข่าวแล้วหรือไม่เจ้าคะ” ผิงผิงรีบวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน เมื่อทราบข่าวบางอย่างมาจากนอกจวน
“ข่าวอะไรหรือ ถึงทำให้เจ้าดูมีท่าทีร้อนรนเช่นนี้” จ้าวเยว่ถามออกมาด้วยท่าทีเบื่อหน่ายและเกียจคร้าน ไม่แม้กระทั่งจะชายตามมองมาทางสาวใช้ของตนเอง
เนื่องจากเวลานี้หญิงสาวกำลังนอนคว่ำหน้า พลางตีขาไปมาอยู่บนเตียง ในมือก็ถือพู่ห้อยเอวหยกชิ้นหนึ่งเอาไว้ แล้วมองมันอย่างสงสัย
“เจ้าว่าหยกชิ้นนี้ หากตีราคาแล้วจะได้สักกี่ตำลึง”
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเลิกสนใจหยกนั่นก่อนเถอะเจ้าค่ะ มีเรื่องใหญ่กว่านั้นที่คุณหนูควรได้ทราบ”
ผิงผิงรีบสวนกลับ ก่อนจะเดินไปพลิกตัวคุณหนูของตนให้นอนหงายกลับมาเผชิญหน้าเพื่อจะบอกข่าวที่นางได้รับรู้มา
ทำให้จ้าวเยว่พ่นถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายและมองสาวใช้ตนเองอย่างไม่พอใจ
“จะมีเรื่องอันใดสำคัญไปกว่าความสำราญของข้าอีกล่ะ”
“คุณหนูจะไม่สนใจเรื่องนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตของคุณหนูเลย” ผิงผิงตอบกลับ เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมคุณหนูของตนถึงยังทำตัวเกียจคร้านเช่นนี้กันนะ
“เรื่องอะไรของเจ้ากันล่ะ หรือว่าข้าต้องแต่งงานอย่างนั้นรึ” จ้าวเยว่ถามด้วยเสียงกึ่งประชดอย่างไม่จริงจังเท่าไรนัก
คราวนี้ผิงผิงเปลี่ยนมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเตียง พร้อมกับทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา “คุณหนูอย่ามัวแต่ล้อเล่นสิเจ้าคะ เป็นเรื่องการแต่งงานของคุณหนูจริง ๆ หนำซ้ำยังเป็นสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้อีกด้วย ท่านคิดว่าเรื่องนี้สำคัญหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าไปได้ยินมาจากที่ใดรึ” จ้าวเยว่เอ่ยถามขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย สีหน้าของนางไม่ได้มีอาการตกใจเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับตนเอง
“ชาวเมืองต่างก็ลือกันให้ทั่วเจ้าค่ะ” ผิงผิงตอบกลับคุณหนูของตนอย่างตื่นเต้น ดูท่าทางของนางแล้วจะตื่นตระหนกยิ่งกว่าผู้ที่จะเป็นเจ้าสาวเสียอีก
“ชาวเมืองลือกัน ก็ใช่ว่าจะเชื่อถือได้เสมอไปนะผิงผิง ถ้าหากเป็นสมรสพระราชทานจริง รอให้ท่านพ่อกลับมาจากในวังก็คงจะทราบเรื่องเอง เวลานี้พวกเราอย่าเพิ่งกังวลใจไปเลย เจ้ามาช่วยข้าดูพู่หยกอันนี้ดีกว่า ข้าเพิ่งได้มาจากตลาดที่ชานเมืองเมื่อวาน ตั้งใจว่าจะเอาไปขายเก็งกำไรเสียหน่อย”
จ้าวเยว่เบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องอื่น คล้ายไม่สนใจข่าวลือที่ผิงผิงนำมาบอก
ผิงผิงเห็นท่าทางคุณหนูของตนแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
จ้าวฝู่กลับมาถึงจวนในยามซวี หลังจากประชุมที่ท้องพระโรงเสร็จแล้วเขาไม่ได้กลับจวนในทันที เนื่องจากต้องไปสะสางงานในกรมการคลังเสียก่อน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าเพราะเหตุใดข่าวการสมรสของบุตรี จึงได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองก่อนที่เขาจะกลับถึงจวน
และเมื่อกลับมาถึงแล้ว จ้าวฝู่ก็รีบเรียกบุตรีให้มาพบในทันที
จ้าวเยว่มาที่ห้องโถงอย่างมิค่อยยินดียินร้ายเท่าใดนัก เนื่องจากนางพอจะคาดเดาได้แล้ว ว่าท่านพ่อเรียกนางไปพบด้วยจุดประสงค์อันใด
“เจ้ามาเแล้วรึ นั่งก่อนสิ”
จ้าวเยว่เดินไปนั่งที่เก้าอี้ประจำของตน สายตามองไปยังผู้คนที่รอนางอยู่ในห้องโถงก่อนแล้ว ซึ่งก็มีท่านพ่อ ท่านแม่ รวมถึงพี่ชายทั้งสองของนาง
“ท่านพ่อมีเรื่องอันใดจะเอ่ยกับลูกหรือเจ้าคะ”
จ้าวเยว่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทั้งที่ภายในใจรู้อยู่แล้วว่าบิดาเรียกตนเองมาพบด้วยเรื่องอันใด แต่ได้แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไร
จ้าวฮูหยินที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างอารมณ์ดี เป็นฝ่ายตอบขึ้นมาแทนผู้เป็นสามี “เป็นเรื่องมงคลของเจ้านะสิ”
“เจ้าคงพอจะได้ยินข่าวมาบ้างแล้วใช่หรือไม่ เจ้าจึงได้ดูไม่แปลกใจเลย ถ้าเช่นนั้นพ่อจะไม่เอ่ยอ้อมค้อมและเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน” จ้าวฝู่กล่าวขึ้นพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามบุตรสาวเล็กน้อย
“เจ้าค่ะ” จ้าวเยว่ตอบรับอย่างว่าง่าย ทำเหมือนนางเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว
“ฮ่องเต้ทรงพระราชทานสมรสให้แม่ทัพเสวี่ยกับเจ้า พ่อรู้ว่าเจ้าคงไม่เต็มใจนัก แต่ว่าพ่อเองก็ไม่สามารถขัดพระราชโองการได้ การสมรสจะมีขึ้นในเดือนหน้า อย่างไรเจ้าก็ควรจะเตรียมตัวให้พร้อม”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” จ้าวเยว่ตอบกลับบิดาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดียินร้าย คล้ายกับเรื่องนี้ยังคงไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
“เหตุใดจึงทำหน้าตาเมินเฉยเช่นนั้นเล่า แม่ว่าการสมรสครั้งนี้ ออกจะเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ ท่านแม่ทัพเสวี่ยก็เป็นคนหนุ่มอนาคตไกล เจ้าได้แต่งกับเขาถือว่าเป็นเรื่องดีกับเจ้าที่สุดแล้ว”
จ้าวฮูหยินกล่าวขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ ที่ในที่สุดบุตรีที่นางนึกห่วงว่าจะมิได้ออกเรือนก็กำลังจะมีสามี และสามีของนางก็ยังเป็นบุรุษที่ดีอีกด้วย
แต่คนที่หน้าตาดูไม่ค่อยจะพอใจ ก็คือพี่ชายทั้งสองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของจ้าวเยว่ เนื่องจากพวกเขาไม่อยากให้น้องสาวแต่งงานเลย จะว่าเป็นห่วงก็เป็นห่วง จะว่าหวงน้องสาวก็มิผิด
ตั้งแต่เกิดมา สามคนแทบไม่เคยจากกันไปไหน ยกเว้นช่วงที่พี่ชายทั้งสองต้องไปราชการ แต่คราวนี้น้องสาวของพวกเขาต้องมาออกเรือนอย่างกะทันหัน เลยทำให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“การแต่งงานที่ไม่เต็มใจแบบนี้ ออกจะทรมานน้องสามมากเกินไปหน่อยนะขอรับท่านแม่” จ้าวอวี้เฉินกล่าวออกมาตามความรู้สึกของตนเอง
เมื่อจ้าวฮูหยินได้ยินบุตรชายแย้งขึ้นมาเช่นนั้น ก็ตำหนิกลับอย่างไม่พอใจ“แล้วพวกเจ้ากล้าขัดพระราชโองการหรืออย่างไร”
“ตั้งแต่ที่ข้าได้รู้จักกับเขามา แม่ทัพเสวี่ยผู้นี้เป็นคนดีก็จริง แต่ทว่าเย็นชามาก เขาไม่เคยแม้แต่จะชายตามองหญิงใดเลยเสียด้วยซ้ำ วัน ๆ มุ่งอยู่แต่กับงาน จนมันน่าจะเป็นชีวิตจิตใจของเขาไปแล้ว เกรงว่าหากน้องสามแต่งเข้าจวนสกุลเสวี่ยไป อาจจะต้องโดดเดี่ยวอยู่แต่ในจวนนะ ขอรับ” จ้าวหลู่เจินกล่าวเสริมขึ้นมา เขาพอจะรู้จักแม่ทัพเสวี่ยผู้นี้อยู่บ้าง ชายที่เย็นชาและไม่สนหญิงใดจะเป็นสามีที่ดีของน้องสาวเขาได้จริงหรือ
“ถ้าเรื่องแค่นี้น้องสาวเจ้าทนไม่ได้ ก็คงไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้วล่ะ” จ้าวฮูหยินตัดบทอย่างไม่พอใจบุตรชายทั้งสองที่ดูคล้ายจะไม่ต้องการให้จ้าวเยว่แต่งงาน
เมื่อพี่ชายทั้งสองฟังคำของผู้เป็นมารดาแล้ว ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เพราะไม่รู้ว่าจะช่วยน้องสาวอย่างไรดีกับเรื่องนี้
จ้าวฮูหยินรู้สึกยินดีมากที่บุตรีของตนเองจะออกเรือน มิหนำซ้ำยังได้แต่งกับแม่ทัพเสวี่ย ซึ่งเวลานี้ได้เลื่อนขั้นเป็นถึงรองแม่ทัพใหญ่ฝ่ายซ้ายแล้ว ช่างเป็นวาสนาของตระกูลจ้าวโดยแท้ นางดีใจจนถึงกับเรียกบ่าวไพร่มาตกรางวัลกันถ้วนหน้า ผู้ที่ได้รางวัลมากที่สุดเห็นจะเป็นผิงผิงสาวใช้ข้างกายบุตรีของตน ที่ดูแลจ้าวเยว่เป็นอย่างดี
“ผิงผิง เมื่อคุณหนูของเจ้าแต่งเข้าสกุลเสวี่ยไปแล้ว ข้าจะให้เจ้าตามนางไปด้วย ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นคนสนิทของนาง ดูแลนางให้ดีล่ะ เข้าใจหรือไม่”
จ้าวฮูหยินกล่าวด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับยื่นถุงเงินที่หนักอึ้งให้ผิงผิงถุงหนึ่ง
“เจ้าค่ะ บ่าวจะดูแลคุณหนูอย่างดีและจะไม่ให้ผู้ใดมารังแกคุณหนูได้เจ้าค่ะฮูหยิน”
ผิงผิงรับคำอย่างแข็งขัน ชีวิตนี้นางได้มอบให้กับคุณหนูและจวนสกุลจ้าวแล้ว ไม่ว่าคุณหนูไปที่ใด นางก็พร้อมที่จะตามไปรับใช้เช่นกัน