เหลียนเฟินมองเห็นไอปราณมารห่อหุ้มรอบตัวของหวังเยี่ยนหลงจึงถามดูให้แน่ใจว่าคนตรงหน้ายังมีสติดีหรือไม่
"เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” เขาเดินถอยหลังตั้งหลัก
หวังเยี่ยนหลงไม่ตอบสิ่งใด ยังคงก้าวเข้ามาหาเหลียนเฟินพร้อมรอยยิ้มน่ากลัว พลันพุ่งเข้าหาโดยไม่ทันตั้งตัว
เขาจึงเอี้ยวตัวหลบไปอีกทางพลางร่ายอาคมเพื่อสลายปราณมารในตัวหวังเยี่ยนหลงเพราะคิดว่าคนตรงหน้าคงจะถูกปราณมารควบคุมเหมือนกับหญิงสาวในจวนขุนนาง
“ตั้งสติเสียที” เหลียนเฟินพยายามเรียกเขา หากแต่หวังเยี่ยนหลงยังคงตกอยู่ในภวังค์ ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ ผิวหน้าขาวซีดเหมือนคนตาย
ครั้นเห็นว่าไม่อาจปลุกเขาให้ตื่นจากการถูกควบคุมได้ เหลียนเฟินจึงเสี่ยงร่ายอาคมประชิดตัวเขา มือสองข้างสัมผัสบนแผ่นหลังของหวังเยี่ยนหลงเพื่อถอนปราณมาร
เหลียนเฟินคิดแต่เพียงว่าหากสลายปราณมารได้ คนตรงหน้าก็จะปลอดภัยโดยไม่รู้เลยว่าเขาเป็นตัวการของเรื่องวุ่นวายทั้งหมด
เวลานี้ปราณมารควบคุมหวังเยี่ยนหลง ความรู้สึกอยากกัดกินร่างกายและวิญญาณมีเต็มเปี่ยม ทุกครั้งที่เหลียนเฟินพยายามสลายปราณมารให้ หวังเยี่ยนหลงจะเอามือปัดป้องและคอยหลบอยู่ร่ำไป
เหลียนเฟินจึงหาจังหวะเข้าใกล้ตัวเขาได้อย่างยากลำบาก กระนั้นความตั้งใจที่จะช่วยกลับไม่ลดถอย ครั้นสัมผัสตัวเขาได้ครั้งหนึ่งก็ถ่ายปราณทิพย์เข้าไปเพื่อสลายปราณมารได้หนึ่งส่วน
สัมผัสอบอุ่นจากเขาทำให้หวังเยี่ยนหลงรับรู้ได้ สติที่เลือนลางจึงค่อย ๆ กลับมา แต่กว่าจะทำได้ถึงเพียงนี้ก็ทำให้เหลียนเฟินสูญเสียพลังปราณของตัวเองไปไม่น้อย อาการเหนื่อยล้าเริ่มก่อตัวขึ้น
ตรงกันข้าม หวังเยี่ยนหลงกลับเริ่มควบคุมปราณมารรุนแรงนั่นได้ พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นจากที่เคยเป็น
ปราณมารในร่างของหวังเยี่ยนหลงนั้นมีอยู่สองส่วน ส่วนที่เขาสร้างมันขึ้นมาเองจากการฝึกวิชาตำราของพรรคทลายฟ้า อีกส่วนมาจากปราณมารในศิลาหินที่พบเมื่อสิบแปดปีก่อน
แม้จะควบคุมปราณมารจากศิลาหินได้แล้ว หากแต่ว่ามันคล้ายมีความกระหายและสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้ตลอดเวลา ยามที่มันอัดแน่นอยู่ในร่างกายของเขา มันก็พร้อมที่จะกัดกินเขาและช่วงชิงทุกอย่างให้ตกเป็นของมันตามความปรารถนาเดิม
ทว่า หวังเยี่ยนหลงรู้ว่ามันละโมบโลภมาก ครั้นปราณมารส่วนนั้นปะทุเพื่อทำร้ายตัวเขา หวังเยี่ยนหลงจะหาเหยื่อมาล่อให้มันออกไป
แทนที่มันจะยึดร่างเหยื่อมาเป็นของตน มันกลับกระหายจนกลืนกินเจ้าของร่างทุกครั้งไปไม่นึกเสียดาย เพราะมันรู้ว่าตัวมันไม่มีทางดับสลาย ร่างของหวังเยี่ยนหลงจึงเหมือนภาชนะชิ้นดีที่หล่อเลี้ยงมันเอาไว้
ทุกครั้งที่กัดกินเหยื่อก็เหมือนได้อาหารโอชะมาเพิ่มพลังของตนให้แกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
หวังเยี่ยนหลงเองก็รู้สึกได้ว่าปราณมารนั้นรุนแรงมากกว่าเดิมและก็รู้ว่าหากควบคุมมันได้ เขาจะกลายเป็นหนึ่งในใต้หล้า ไม่มีใครโค่นล้ม
ก่อนหน้านี้ หวังเยี่ยนหลงพยายามหาทางทำสิ่งนั้นมาโดยตลอด หากแต่ไม่มีวิธีใดเลยที่พอจะทำได้ จนกระทั่งวันนี้ เหลียนเฟินทำให้เขารู้สึกได้ว่าปราณมารรุนแรงนั่นกำลังไม่สามารถต่อกรกับเขาได้
ครั้นสติกลับมาบางส่วน จึงพอมองเห็นคนตรงหน้าลาง ๆ สัมผัสที่ส่งผ่านมาให้เขามันดึงดูดตัวเขาให้อยากชิดใกล้
ยามที่ปราณมารร้อนระอุบาดไหม้จนตัวแทบจะแตกเป็นเสี่ยง เวลานี้มีความอบอุ่นแทรกเข้ามา ร่างกายและจิตใจของเขาราวกับโหยหาที่พักพิง
เขาคว้ามือทั้งสองข้างของเหลียนเฟินที่กำลังส่งปราณทิพย์เข้ามาช่วยด้วยความสะลึมสะลือ
“เป็นอย่างไรบ้าง” เหลียนเฟินถามด้วยความเป็นห่วง รู้สึกว่าปราณมารในตัวคนผู้นี้รุนแรงยิ่งกว่าที่เคยพบ หากช่วยเขาได้สักนิดคงจะดีไม่น้อย ในใจนึกอยากให้คนตรงหน้าได้สติเพราะตัวเขาแทบจะหมดแรงแล้ว
“...” หวังเยี่ยนหลงไม่ตอบ ร่างกายกำลังสัมผัสกับความอบอุ่นนั้น หัวใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ เขาปล่อยให้เหลียนเฟินทำเช่นนั้นไปเรื่อย ๆ จนสติกลับมาได้เกือบทุกส่วน
จิตสังหารที่มีในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นกระหายความอ่อนโยนนั้น เขาสบตาของเหลียนเฟินที่มีแววกังวลใจ
“เจ้าตื่นแล้วใช่หรือไม่” น้ำเสียงความเป็นห่วงเป็นใยคนแปลกหน้าทำให้หวังเยี่ยนหลงยักยิ้ม
“ไร้เดียงสายิ่งนัก” เขาพูดคำหนึ่งออกมา สายตามองเหลียนเฟินไม่วาง
“ดีขึ้นแล้วหรือไม่”
“อื้ม” รอยยิ้มของหวังเยี่ยนหลงมีเลศนัย “ดีขึ้นแล้วแต่ยังคงไม่พอ” เขาต้องการสิ่งนั้นจากเหลียนเฟินอีก
“เช่นนั้น เจ้าก็อยู่เฉย ๆ ข้าจะสลายปราณมารช่วยเจ้า”
หากแต่ว่า หวังเยี่ยนหลงไม่ฟังคำพูดนั้น เขาดันร่างบางของเหลียนเฟินนอนราบบนพื้นห้อง
เหลียนเฟินรู้สึกได้ว่าไม่อาจสู้แรงของคนแปลกหน้าได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังพอสูสีกันได้บ้าง เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
หวังเยี่ยนหลงนั่งคร่อมร่างของเหลียนเฟิน ใบหน้าโน้มลงมาหาร่างบาง ปลายจมูกของเขาไล้ลำคอของเหลียนเฟินอย่างกระหาย
“หยุดนะ เจ้าจะทำอันใด” เหลียนเฟินสะดุ้งไม่นึกว่าคนตรงหน้าจะทำเช่นนี้ “ตั้งสติหน่อยเถิด” เขาคิดในใจว่าการกระทำเช่นนี้เกิดจากถูกปราณมารควบคุม
“เฮอะ” หวังเยี่ยนหลงหัวเราะในลำคอ เมื่อครู่เขาอาจถูกปราณมารควบคุมจนอยากจะฆ่าเหลียนเฟิน แต่เวลานี้เขาเริ่มควบคุมปราณมารที่รุนแรงได้บางส่วนก็เพราะสัมผัสจากฝ่ามือของเหลียนเฟิน หากเป็นสัมผัสที่มากกว่านี้เล่าจะเกิดอันใดขึ้น
“ปล่อยข้า!” เหลียนเฟินดิ้นรนให้หลุดพ้น ปากร่ายอาคมจะเรียกกระบี่เงินของตนเองออกมา พลันริมฝีปากของทั้งคู่ประกบเข้าหากัน
ชิวหาที่พยายามแทรกเข้าไปในโพรงปากนั้นถูกเขากัดเข้าอย่างแรง อีกฝ่ายจึงกัดริมฝีปากของเหลียนเฟินเป็นการลงโทษ
“โอ๊ย!”
“เจ้ากัดข้าก่อน” หวังเยี่ยนหลงยิ้มแป้น ไม่สำนึกว่าเพราะเหตุใดเหลียนเฟินจึงทำเช่นนั้น
“ใครใช้ให้เจ้าใส่มันเข้ามา”
“ช่วยไม่ได้ อาหารอยู่ตรงหน้า ข้าก็ต้องอยากลิ้มลองเป็นธรรมดา” หวังเยี่ยนหลงก้มหน้าเข้ามาใกล้เหลียนเฟินอีกรอบ
“อาหารหรือ เจ้าหิวก็ไปหาอะไรกินข้างนอกเสีย อย่ามายุ่งกับข้า” เขายังคงไม่เข้าใจจุดประสงค์ของหวังเยี่ยนหลง ตั้งแต่เกิดมา มีใครที่ไหนเคยพูดและกระทำเช่นนี้กับเขากันเล่า
คนใต้ร่างเห็นหวังเยี่ยนหลงกำลังจะทำอย่างเมื่อครู่ จึงโพล่งออกมา “ถ้าเจ้าใส่มันเข้ามา คราวนี้ข้าจะกัดให้ขาด”
สีหน้าของหวังเยี่ยนหลงนึกสงสัย “เจ้าจะเอาแรงที่ไหนมาห้ามข้า”
หลังจากพูดคุยกันมาเสียยืดยาว เหลียนเฟินจึงฉุกคิดได้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้ถูกปราณมารควบคุมแล้ว
“เจ้ากำลังควบคุมปราณมารหรือ เพราะเหตุใด”
“...” หวังเยี่ยนหลงไม่ตอบ
“เจ้าหายดีก็ปล่อยข้าได้แล้ว” เหลียนเฟินพยายามรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีต่อต้านเขา ทว่า แรงนั้นยังน้อยนิดเกินไป เขาเสียพลังปราณไปมากโขเพราะช่วยสลายปราณมารในตัวคนตรงหน้า
“หายดีหรือ ไม่เลย ข้ายังต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าอีกมาก ช่วยข้าได้หรือไม่” ลมหายใจของเขารดต้นคอเหลียนเฟิน ทันทีที่ริมฝีปากสัมผัสโดน เหลียนเฟินก็หันมางับเข้าที่ใบหูของหวังเยี่ยนหลงอย่างจัง
“อย่ากัดข้า” น้ำเสียงของเขาดูหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดปฏิเสธเขาได้ เขาพูดจบแล้วทำต่ออีกครั้ง
“...” เหลียนเฟินพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แรงดูดเม้มที่ลำคอเริ่มรุนแรงขึ้นจนเขาไม่ทันได้สังเกตว่าทำไมเหลียนเฟินจึงไม่ต่อต้านเขา
ส่วนเหลียนเฟินนั้นคิดอยากจะกัดเขาอีกรอบแต่ทำไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้คนผู้นี้กระทำดังใจ ทุกสัมผัสระหว่างคนทั้งสองกระตุ้นบางอย่างที่หลับใหลในวิญญาณให้ตื่นขึ้น