ท่าเรือเมืองเฟิง
“เหลียนเฟิน เจ้ารีบออกมาได้แล้ว ข้าหิว” หลวนเล่อตะโกนบอกเขา สายตาจ้องไปยังร้านค้าต่าง ๆ ที่อยู่ไกลลิบ
“เรียบร้อยแล้วขอรับ” เขาเดินออกมาหานาง ก้มมองดูเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่าทางไม่ค่อยคุ้นชิน
เหลียนเฟินเปลี่ยนมาสวมชุดเสื้อผ้าพื้นเมือง เดิมทีมักจะมัดผมสูงสวมกวานสีเงินเด่นสง่า เวลานี้เกล้าผมจุกเล็ก ๆ ถักเปียห้อย มีลูกปัดสีทองสะบัดไปมายามลมพัดไหว
“ทำไมศิษย์พี่แต่งเป็นบุรุษเล่า” เขาเพิ่งจะเห็นว่าหลวนเล่อแต่งกายเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
“อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ข้าเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เกรงว่าเปิดเผยตัวตนมากไปจะเกิดอันตราย” หลวนเล่อยิ้มกว้าง “แต่เหลียนเฟิน เอาหนวดไปติดดีหรือไม่ เจ้าแต่งเป็นบุรุษเหมือนกับข้าก็จริง เหตุใดถึงดูราวกับเป็นน้องสาวข้าไปได้ หรือว่าเจ้าจะลองเปลี่ยนโฉมเป็นสตรีแสนงดงามแทน”
“ศิษย์พี่ล้อข้าเล่นอีกแล้ว รีบเข้าไปข้างในตัวเมืองกันก่อนฟ้าจะมืดเถิด” ทั้งคู่ตรงดิ่งไปที่ร้านขายบะหมี่ สั่งอาหารมาคนละสองชาม นั่งซดน้ำซุปแสนอร่อยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป
คล้อยหลังตะวันลับฟ้า บ้านเรือนร้านค้าในตัวเมืองทยอยปิดเงียบ กระนั้นยังมีคนที่ชอบความรื่นรมย์ยามค่ำคืนออกแสวงหาสิ่งตื่นเต้นเร้าใจเดินกันขวักไขว่ตามตรอกราตรี
ชายหนุ่มผู้หนึ่งเมามายจนแทบไม่ได้สติเดินโซซัดโซเซเพื่อกลับโรงเตี๊ยม ระหว่างทางมึนงงสับสนจนจำไม่ได้ว่าหลงอยู่ที่ใด รู้ตัวอีกทีคนผู้นี้ก็ยืนโดดเดี่ยวหน้าวัดร้าง
เสียงอึกทึกครึกโครมปลุกเขาจนได้สติ สายตามองไปรอบตัวไม่คุ้นชิน สายลมชายฝั่งพัดเข้ามายามนี้ยิ่งทำให้รู้สึกขนลุกเกรียวมากกว่าเดิม
สองขารีบจ้ำอ้าวกลับไปยังทางเดิมที่มีแสงโคมสลัว ๆ ไม่กล้ามองกลับมาด้านหลัง จู่ ๆ เท้าทั้งสองข้างหนักอึ้งเหมือนมีโซ่ตรวนตรึงไม่ให้หนี สีหน้าของเขาเริ่มวิตกกังวล ตัวสั่นสะท้าน พยายามยกขาก้าวไปข้างหน้า
“ช่วยข้าด้วย” เขาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากคนที่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า
เงาสีดำทะมึนลืมตาขึ้นกลายเป็นดวงตาเรียวสีแดงราวกับปีศาจ ครั้นเงานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มจึงรู้ตัวว่านั่นไม่ใช่เงาของมนุษย์
“อย...” ไม่ทันที่เขาจะได้พูดสิ่งใดออกไป ปราณมารสีดำก็พุ่งเข้าหาร่างของเขาในทันที
ดวงตาชายผู้นี้เบิกโพลง สีหน้าผิดรูปผิดร่างด้วยความตกใจกลัวสุดขีด ร่างกายเริ่มบิดชักเพราะเจ็บปวด นอนดิ้นทุรนทุรายท่ามกลางพงหญ้าสูงที่พัดไหว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของหลินหลีเหว่ย เขายิ้มมีเลศนัยนึกในใจว่าครั้งนี้หวังเยี่ยนหลงพลาดท่าให้เขาเสียแล้ว ศัตรูอ่อนกำลังลง เปิดโอกาสให้เขาอย่างง่ายดาย
ช่วงสายวันต่อมา เหลียนเฟินเดินสำรวจที่ทางในเมืองกับหลวนเล่อเพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติม แต่ไม่พบเจอสิ่งใดนอกจากเห็นปราณมารบาง ๆ ในตัวชาวบ้านบางคน
“ศิษย์พี่ ท่านเห็นหรือไม่ว่าชาวบ้านผู้นั้นมีสิ่งใดแปลกไป” เหลียนเฟินกระซิบถามพลางส่งสายตาให้มองคนผู้นั้น
“อื้ม ไอปราณมารเล็กน้อย ไม่ใช่แค่เขาหรอก เจ้าดูสิ”
ชาวบ้านหลายคนประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ศิษย์วังธาราเหมันต์จึงคิดชำระล้างปราณมารเพื่อช่วยเหลือก่อนแล้วค่อยสืบหาเบาะแสของร่างศพทีหลัง
“ข้าจะรออยู่ข้างในตรอกร้านหนังสือ ศิษย์พี่ค่อย ๆ พาพวกเขามาหาข้าทีละคนเถิด” เหลียนเฟินเอ่ยปาก ตั้งใจจะชำระล้างปราณมารช่วยคนเหล่านั้น เขารู้ดีว่ามันไม่ได้อันตรายจนถึงแก่ชีวิตในเร็ววัน แต่หากปล่อยไปเรื่อย ๆ ปราณมารจะค่อย ๆ ทำลายร่างกายของพวกเขาจนป่วยไข้กลายเป็นเสียชีวิตเพราะโรคภัยแปลก ๆ
“บอกข้า ถ้าเจ้าไม่ไหว” หลวนเล่อสบตาศิษย์ผู้น้องก่อนจะเดินไปพาตัวชาวบ้านมาที่ตรอกข้างร้านหนังสือทีละคนตามแผนที่วางไว้เพื่อไม่ให้คนที่ก่อเรื่องไหวตัวทัน
กว่าทั้งสองคนจะจัดการได้ทั้งหมดก็ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน พลันท้องร้องจ๊อก จ๊อกเพราะไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า
“เหลียนเฟิน ข้าตาลาย แข้งขาอ่อนแรง ท้องร้องไม่หยุด จะเป็นลม” หลวนเล่อพึมพำเบา ๆ เพื่อเก็บแรงไว้เดินกลับโรงเตี๊ยม
เหลียนเฟินหยุดเดินแล้วนั่งลงด้านหน้านาง “ข้าให้ขี่หลัง”
รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของนาง “น่ารักที่สุด” หลวนเล่อไม่รอช้า ทำตามที่เขาบอกทันทีเพราะกลัวเจ้าตัวจะเปลี่ยนใจ
ตรอกเล็กไร้ผู้คนถัดไปไม่ไกลนัก หวังเยี่ยนหลงยืนประจันหน้ากับหลินหลีเหว่ย สีหน้าของเขาดูผ่อนคลาย ทั้งยังแสยะยิ้มให้คนตรงหน้า
“อยากฆ่าข้านักไม่ใช่หรือ เหตุใดไม่เข้ามาให้ใกล้กว่านี้อีกเล่า” หวังเยี่ยนหลงท้าทายเขา
“ทำไมเจ้ายังมีปราณมารรุนแรงเช่นเดิม” หลินหลีเหว่ยถามออกไป เมื่อคืนก่อนเขามั่นใจแล้วว่าหวังเยี่ยนหลงปลดปล่อยปราณมารไปหมดแล้ว ไม่มีทางสู้เขาได้อย่างแน่นอน คืนนี้เขาจึงคิดลงมือชำระความแค้นอันยาวนาน
ทว่า จากผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่า หวังเยี่ยนหลงไม่ได้อ่อนแออย่างที่เขาเข้าใจ หรือข้อมูลของหลี่น่าจะคลาดเคลื่อน เขาคิดในใจ
“หากข้าบอกเรื่องนั้นไป ยังจะเป็นความลับได้อยู่หรือ” หวังเยี่ยนหลงยิ้มยียวน ในเมื่อมีคนรู้แล้วว่าเขาจะอ่อนแอลงหลังคืนปลดปล่อยปราณมาร เช่นนั้นเขาจึงระบายมันออกไปทีละนิด ไม่ปล่อยให้มันสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ รอวันที่เขาแน่ใจว่าหลินหลีเหว่ยแปลงโฉมเป็นผู้ใดจะรีบจัดการในทันที เหยื่อคนล่าสุดจึงเป็นแผนตบตาให้ตายใจว่าเขาอ่อนแอลงก็เท่านั้น
หวังเยี่ยนหลงไม่ชอบใช้วิธีนี้เท่าใดนัก เขาพยายามจะควบคุมปราณมารยามที่มันทวีความรุนแรงให้ได้ จึงมักจะปล่อยให้มันสะสมในร่างกายเพื่อทดลองด้วยตัวเอง กระนั้นก็ยังไม่เจอวิธีนั้น “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า” หลินหลีเหว่ยถามอีกครั้ง มีเรื่องมากมายที่เขาสงสัย ทั้งที่ปิดบังตัวตนเพียงนี้แต่ก็ยังถูกจับได้
“เฮอะ วิชาของเจ้า กลับไม่ศึกษาอย่างถ่องแท้” เขาดีดนิ้วหนึ่งครั้ง พลันกลิ่นโอสถตัวหนึ่งพัดวูบผ่านจมูกของคนตรงหน้า “กลิ่นโอสถละลายร่างของเจ้าฉุนแสบจมูกปานนี้ ข้าคงไม่มีวันลืมไปได้หรอก” พูดจบเขาแสยะยิ้มอีกรอบเพราะเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินหลีเหว่ย
“เหตุใด”
“ทั้งคนของเจ้า น้องสาวเจ้า กลิ่นเดียวกันไม่มีผิด”
ที่แท้หวังเยี่ยนหลงรู้ทุกอย่างมาโดยตลอด แต่คร้านจะตามหาตัวหลินหลีเหว่ยท่ามกลางลูกน้องของเขาหลายสิบคนที่ปะปนอยู่ในเมือง จึงคิดใช้วิธีนี้ล่อหลินหลีเหว่ยออกมาหาเขาด้วยตนเอง พวกลูกกระจ๊อกพรรคทลายฟ้าไม่กล้าเข้าหาเขาแม้จะรู้ว่าตัวเขาอ่อนกำลังลงแล้ว จะมีก็เพียงหลินหลีเหว่ยผู้ทะนงตัวคิดว่าเหนือกว่าเขาลอบเข้ามาลงมือถึงที่
“ข้าไม่มีวันแพ้เจ้าเพราะเรื่องแค่นี้” หลินหลีเหว่ยตอบโต้ หมุนข้อมือร่ายอาคมเรียกอาวุธของตนเองออกมาแล้วสั่งให้มันพุ่งแทงหวังเยี่ยนหลง
เคร้ง! เสียงอาวุธหล่นกระทบพื้น หวังเหยี่ยนหลงเรียกกระบี่คู่กายของเขามาได้เร็วกว่าตวัดง้างขึ้นเพื่อปัดอาวุธของศัตรูให้พ้น ปลายกระบี่จึงบาดใบหน้าของหลินหลีเหว่ยจากแก้มข้างซ้ายพาดผ่านกลางจมูกจรดหน้าผากในทันใด
“โอ๊ย!” เขาร้องดังลั่นไม่คิดว่าจะพลาดท่าอีกเป็นครั้งที่สอง หากพลังของหวังเยี่ยนหลงไม่ได้อ่อนแอ หมายความว่าเขาเองไม่อาจสู้ได้ หลินหลีเหว่ยไม่รอช้า กระโดดข้ามหลังคาสูงหนีไปอีกทางอย่างไม่คิดชีวิต
หวังเยี่ยนหลงเบื่อหน่ายที่จะต้องคอยหาตัวเขาอีกครั้งจึงคิดจะสะสางเรื่องราวความแค้นที่มีทั้งหมดให้จบสิ้นในวันนี้ เขาจึงรีบตามหลังหลินหลีเหว่ยไปติด ๆ
“เหลียนเฟิน ช้าก่อน” หลวนเล่อรู้สึกได้ว่าลางร้ายกำลังเข้ามาใกล้ จึงลงจากหลังศิษย์น้องแล้วเรียกกระบี่ออกมาตั้งท่ารอจังหวะ
“ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าด้วย!” น้ำเสียงสิ้นหวังของชายขอทานดังก้องมาแต่ไกล
“แปลกนัก ไม่มีผู้ใดได้ยิน นอกจากเรา” หลวนเล่อคิ้วขมวด
“ศิษย์พี่ถอยออกมาก่อน” เหลียนเฟินถือกระบี่เดินมาขวางอยู่ข้างหน้านาง สายตามองไปด้านหลังของชายขอทาน
คนที่ถูกจ้องรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก คิดในใจหากผู้ใดขวาง อย่าหาว่าเขาไร้ปรานี