สองหนุ่มสภาพเปียกปอนนั่งคุกเข่าก้มหน้านิ่งอยู่กลางโถงเรือนหลักโดยมีเฉินเหยี่ยน อดีตแม่ทัพใหญ่เอามือไพล่หลังเดินไปมาอยู่ตรงหน้าพลางเหลือบมองสองหนุ่มเป็นระยะ
“ท่านพี่ หยุดเดินไปเดินมาสักทีเถิด ข้าเวียนหัว” ฮูหยินใหญ่อู๋หลินพูดขึ้น มือเรียวยกขึ้นนวดขมับ
ทันใดนั้นสะใภ้ใหญ่ก็ตามมาติดๆ มือสองข้างจูงบุตรมาด้วย ด้านซ้ายเป็นบุตรชายคนโตอายุได้แปดขวบแล้วนามว่า เฉินจือหาน ส่วนด้านขวาเป็นบุตรสาวคนเล็กอายุได้เจ็ดขวบนามว่า เฉินเจียอี๋
หยางลี่อิงหยุดมองหน้าน้องชายแวบหนึ่ง ก่อนจะจูงมือเด็กๆ ไปนั่ง เมื่อเด็กๆ เห็นท่านปู่ท่านย่าก็โผล่เข้าหาออดอ้อนอย่างรู้งาน
เฉินเจียอี๋เด็กหญิงแก้มป่องวิ่งเข้าไปกอดขาท่านปู่ทันที เด็กน้อยเหลือบมองบุรุษตัวโตนั่งคุกเข่าตัวเปียกแวบหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้น่ารักราวกับเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดี “ท่านปู่ อย่าทำโทษท่านอากับท่านน้าเลยนะเจ้าคะ” สายตาแป๋ว แหววทำให้อดีตแม่ทัพใหญ่ถึงกับใจอ่อนยวบ
เฉินเจียอี๋เป็นเด็กฉลาดเกินวัย เด็กน้อยพูดเก่งและรู้จักพูดเอาอกเอาใจ นางจึงเป็นที่รักของท่านปู่มาก ส่วนพี่ชายเฉินจือหาน รายนี้มาดคุณชายตั้งแต่เด็ก ชอบแสดงสีหน้าไร้อารมณ์เย็นชา ทำตัวนิสัยราวกับผู้ใหญ่ ซึ่งก็ถูกอกถูกใจอดีตแม่ทัพมากเช่นกัน
แม้ในเรือนเขาจะมีหลานนับสิบซึ่งเกิดจากทั้งอนุและสาวใช้ห้องข้างของบุตรชายคนโต แต่กระนั้นก็ให้ความเท่าเทียมเป็นธรรมกับทุกคน อย่างไรก็มีสายเลือดเขาอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่เด็กน้อยสองคนนี้ถือว่าโปรดปรานมากที่สุด เพราะเป็นเด็กเฉลียวฉลาดอีกทั้งยังเกิดจากภรรยาเอกซึ่งเป็นบุตรสาวจากตระกูลใหญ่
“อี๋เอ๋อร์ มาหาแม่เร็ว” หยางลี่อิงเรียก นางกลัวว่าบุตรสาวจะรบกวนท่านปู่เข้า
“อี๋เอ๋อร์ ไปหาแม่” หยางนี่อวิ๋นกระซิบบอกหลานสาว เด็กหญิงแก้มป่องก็ยอมแต่โดยดี
ส่วนเฉินจือหานนั่งกอดอกอยู่บนตักท่านย่า เด็กหนุ่มเหลือบมองบุรุษตัวโตแล้วส่ายหน้า พลางคิดว่าชายตัวโตสองคนนี้ช่างไม่รู้จักโตจริงๆ เสียเลย
อู๋หลินเห็นท่าทางหลานชายก็กลั้นยิ้มชอบใจ
เฉินเหยี่ยนกำลังจะเปิดปากสอบสวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าเหตุใดถึงทะเลาะกันจนถึงขั้นชกต่อยแล้วยังตกน้ำตกท่าตัวเปียกปอนเช่นนี้อีก โตๆ กันแล้วทำไมถึงไม่รู้จักระงับอารมณ์
เสียงตึกๆ ของไม้เท้ากระแทกกับพื้นดังขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็มาร่วมดูการไต่สวนด้วย โดยมีสาวใช้คนสนิทคอยพยุงอยู่ข้างกาย
ทั้งหมดเห็นการมาของฮูหยินผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นยอบกายทำเคารพ หญิงชราโบกมือให้
“ตามสบายๆ อย่าสนใจคนแก่เช่นข้า ข้าเบื่อๆ เลยออกมาดูอะไรสนุกบ้าง” หญิงชรายิ้มให้เล็กน้อย สาวใช้พยุงไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง
เฉินเหยี่ยนจึงเริ่มไต่สวนราวกับว่าเป็นเรื่องใหญ่ร้ายแรงปานนั้น
“ลองบอกข้ามาสิ เหตุใดพวกเจ้าถึงทะเลาะกันจนถึงขั้นชกต่อยเช่นนี้” เขาก็รู้ว่าทั้งสองเคยเป็นสหายกันเมื่อตอนเยาว์ แต่ก็มีเรื่องให้ผิดใจกันแต่นั่นก็นานมาแล้ว
ชายหนุ่มทั้งสองเงียบไปสักพัก จนอดีตแม่ทัพทนรอไม่ไหว หันไปเอ่ยความกับบุตรชาย
“อาหยาง เจ้าเป็นถึงแม่ทัพภาค เหตุไฉนถึงไม่รู้จักระงับอารมณ์โทสะตนเอง กระทำเช่นนี้ใครเขาอยากจะนับหน้าถือตา!”
“เรียนท่านอาเฉิน ต้นเหตุทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ข้าไปล้อปมวัยเด็กของอาหยางเข้า…”
หยางนี่อวิ๋นรีบรุดอธิบาย ชายหนุ่มไม่อยากให้เรื่องยืดยาว แต่เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดเฉินซือหยางถึงต้องโมโหเขาขนาดนั้นด้วย เขาเพียงอยากแกล้งแหย่จูผิงก็เท่านั้น ไม่ได้คิดจะล่วงเกินนางจริงๆ เสียหน่อย แต่เขาก็รู้สึกผิดและอยากขอโทษนางที่เผลอพูดประโยคล่วงเกินนางออกไป เพราะตอนนั้นเขารู้สึกโมโหอยู่เล็กน้อยที่โดนหญิงสาวปฏิเสธซ้ำยังไม่ให้โอกาสเขาเลยสักนิด จึงรู้สึกเสียหน้ามาก
“นั่นมันก็ผ่านไปนานแล้ว อาหยาง เหตุใดถึงไม่ปล่อยวางเล่า เรื่องฉี่แตกเป็นเรื่องธรรมชาติ ใช่ไหมอี๋เอ๋อร์ เจ้าก็เคยฉี่แตกใช่หรือไม่” ทุกคนกลั้นหัวเราะจนปวดแก้มเพราะต่างก็รู้เรื่องนี้ดี เว้นแต่ท่านแม่ทัพภาค ชายหนุ่มขบกรามแน่น ใบหน้าคมคายแดงก่ำจนถึงกกหู
“เจ้าค่ะท่านปู่ พี่จือหานก็เคยฉี่แตกเพราะกลัวหนอนที่อี๋เอ๋อร์เอาไปแหย่เจ้าค่ะ” เฉินเจียอี๋ส่งยิ้มหวาน ส่วนพี่ชายที่โดนกล่าวถึงจ้องหน้าน้องสาวเขม็ง เหตุใดต้องประจานกันด้วยเล่า!
ทุกคนต่างหัวเราะให้กับหลานสาวตัวน้อย
“เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้เอง เฮ้อ” อดีตแม่ทัพใหญ่ถึงกับถอนหายใจส่ายหน้าระอาเหลือทน “อาหยาง ต่อไปเจ้าต้องรู้จักระงับโทสะ เจ้าเป็นถึงแม่ทัพเป็นนายคนแล้ว ข้าจะไม่พูดอันใดให้มากความ เจ้าก็โตแล้วคงคิดได้ ส่วนนี่อวิ๋น การล้อปมคนอื่นหาใช่เรื่องสนุกไม่ เจ้าก็โตแล้วเช่นกัน อาหวังว่าเจ้าจะคิดได้”
“ขอรับท่านพ่อ”
“ขอรับท่านอา”
สองหนุ่มตอบรับพร้อมกัน
เฉินเหยี่ยนไม่อยากว่าอะไรให้มากความ เรื่องเล็กน้อยถึงเพียงนี้เขาก็ไม่อยากลงโทษอันใด แค่ตักเตือนไปเล็กน้อยก็เท่านั้น พวกเขาโตกันแล้วย่อมคิดได้แน่นอน
เมื่อไม่มีอะไรทุกคนเริ่มทยอยเดินออกไป เฉินเหยี่ยนไม่ลืมกำชับให้ไปตามท่านหมอมาตรวจดูอาการสองหนุ่มด้วย เผื่อเป็นอะไรร้ายแรง โดยเฉพาะหยางนี่อวิ๋นที่ใบหน้าบวมปูดจนน่ากลัว
“นี่อวิ๋น ตามข้าไปที่เรือนใหญ่” หยางลี่อิงหันมาบอกกล่าวกับคนของตน นางต้องอบรมน้องชายคนนี้สักหน่อยแล้ว เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลหยาง ย่อมเป็นผู้สืบทอดตระกูลรุ่นต่อไป สมควรวางตัวให้ดีกว่านี้
“ท่านอา ฉี่แตกไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะเจ้าคะ” เฉินเจียอี๋เดินเข้ามาแตะไหล่หนาของท่านอา
เฉินซือหยางไม่ได้กล่าวอันใด เพียงส่งยิ้มเจื่อนให้หลานสาวตัวน้อยแทน ส่วนหยางนี่อวิ๋นก็กลั้นหัวเราะจนปวดท้องไปหมด
ฮูหยินผู้เฒ่าหยุดเหลือบมองสองหนุ่มแล้วถอนหายใจ สาเหตุไม่ใช่เรื่องนี้หรอก แต่เป็นเรื่องผู้หญิงต่างหากเล่า หญิงชราส่ายหน้าก่อนจะหันไปพยักหน้าให้สาวใช้เดินต่อ
“นี่อวิ๋น อย่ายุ่งกับจูผิง” เมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปกันหมดแล้วเขาก็เปิดปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หยางนี่อวิ๋นหันมาสบตา “เพราะ?”
“เพราะนางเป็นเมียข้า!”
ชายหนุ่มเน้นช้าๆ ชัดๆ ทีละคำ