อีธาน คลินท์เบิร์ก
นั่นเป็นชื่อของบุรุษหนุ่มเชื้อสายอเมริกันร้อยเปอร์เซ็นต์เจ้าของใบหน้าคร้ามเข้มและความหล่อเหลานั้นยังสะกดใจเธอเสมอ ลีลาวดีรู้สึกตัวชาไปชั่วขณะ มือของเธอเย็นและเริ่มสั่นจนควบคุมมันไว้เกือบไม่ได้
“ลิซ! คุณจะไปไหน”
อีธานวิ่งเข้ามาประกบหญิงสาวที่กำลังจะหันหลังกลับไปที่ประตู เขากระหวัดแขนรัดเอวอ้อนแอ้นของเธอไว้แน่นในขณะที่ร่างแน่งน้อยดิ้นไปมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
"ปล่อยค่ะ! เดี๋ยวใครเข้ามาเห็นแล้วฉันจะโดนไล่ออกจากงาน”
“ไม่! ผมจะไม่ปล่อยคุณลิซ และจะไม่มีใครไล่คุณออกทั้งนั้น ผมจะกอดคุณไว้อย่างนี้จนกว่าเราจะพูดคุยกันเข้าใจ”
“นี่คุณ!”
ลีลาวดีหยุดชะงัก หญิงสาวนิ่งงันอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายที่เธอเคยทุ่มใจรักให้เขาจนหมด แต่นั่นมันก็เป็นเวลาเกือบปีมาแล้ว ร่างอรชรหยุดดิ้นแต่ดวงตาคู่สวยกลับมีรอยน้ำรื้นขึ้นมา
“ฉันไม่อยากพูดกับคุณค่ะ ฉันไม่เคยรู้จักคุณ ได้โปรดอย่าทำแบบนี้”
“แน่ใจเหรอลิซว่าคุณไม่เคยรู้จักผม อีธาน คลินส์เบิร์ก ผู้ชายที่เคยรักคุณแต่คุณกลับทอดทิ้งผมแล้วหนีหายไปตั้งแต่ปีที่แล้ว”
“ฉันไม่เคยรักคุณ ฉันไม่รู้จักคุณด้วยซ้ำ อ๊ะ!”
ลีลาวดีร้องอุทานเสียงหลงเมื่อชายหนุ่มซึ่งตัวใหญ่กว่าเธอมากใช้กำลังบีบบังคับด้วยการอุ้มร่างเล็กแล้วพาไปที่เตียงหนานุ่มในห้องนอนของเขา
“อีธาน!” หญิงสาวลืมตัวเผลอตะเบ็งเสียงตวาดคนตัวโตที่โยนเธอลงบนเตียงหนาก่อนจะโถมตัวเขาทาบทับตัวเธอไว้จนแทบกระดิกตัวไม่ได้
“รู้จักผมแล้วเหรอ ลิซ!”
เขาว่าแล้วจับข้อมือทั้งสองของหญิงสาวที่ทั้งทุบทั้งถองเขากดไว้เหนือศีรษะของเธอ ใบหน้าคมเข้มเคร่งเครียด อีธานขบกรามแน่น เขาชักโกรธที่ลีลาวดีพยศใส่เขาโดยไม่มีเหตุผล
“ฉันรู้จักคุณ อีธาน!” หญิงสาวยังตะเบ็งเสียงอย่างไม่ยอมลดละ “ฉันรู้ว่าคุณเป็นใคร คุณเป็นหนุ่มหล่อพ่อรวยเจ้าของบริษัทผลิตรถหรูของอเมริกา เป็นผู้ชายเสน่ห์แรงที่ผู้หญิงคนไหนพบคุณก็โหยหา และ...”
ลีลาวดีเว้นคำพูดของเธอเล็กน้อยขณะที่ริมฝีปากอิ่มสั่นระริก ใบหน้าของเธอเครียดเขม็งและน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาที่ฉายแววแห่งความเจ็บปวดเป็นทาง
“เป็นผู้ชายที่หลอกทำลายหัวใจของฉัน ทำลายความบริสุทธิ์ของฉัน แล้วก็ทอดทิ้งฉันไปแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ที่คิดว่าคู่ควร”
“ลิซ...นี่คุณพูดเรื่องอะไร?”
คราวนี้มหาเศรษฐีหนุ่มวัยยี่สิบเก้าเป็นฝ่ายแสดงสีหน้าตระหนก เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่งามที่หลั่งล้นด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บช้ำ ลีลาวดีพยายามบิดตัวไปมาใต้ร่างเขา แต่ยิ่งเสียดสีตัวเธอกับร่างสูงใหญ่มากเท่าไรก็ยิ่งจุดประกายความรู้สึกโหยหาที่ยังติดลึกในใจของเขามากเท่านั้น
“หยุดทำเป็นไม่รู้อะไรสักทีได้ไหมคะ!”
ลีลาวดีตวาดแหวพร้อมสะบัดหน้าไปมา เธอกัดฟัน อยากขย้ำคอของเขาด้วยเล็บของเธอ โกรธแค้นที่อีธานยังมีหน้าทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“ตอนนี้ฉันไม่ใช่พริตตี้แต่งตัวสวยไว้โชว์คู่กับรถหรู และฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงหน้าโง่ที่คุณจะมาหลอกให้ฉันเข้าใจว่าคุณรักฉันได้ หลอกให้ฉันเพ้อเจ้อไปคนเดียวว่าคุณมีใจกับฉัน ทำอะไรก็ได้กับร่างกายของฉัน และพอคุณพอใจคุณก็ตีจากไปหาผู้หญิงคนใหม่เพื่อจะแต่งงานด้วย”
“เหลวไหล! คุณพูดอะไรผมไม่รู้เรื่อง”
“คุณรู้ อีธาน...คุณรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว คุณบอกว่าคุณคบกับฉัน แต่หลังจากนั้นฉันถึงได้รู้จากสื่อที่ตีข่าวว่าคุณกำลังจะหมั้นกับลูกสาวของนักธุรกิจที่ร่ำรวยพอกัน อย่าบอกนะคะว่าคุณไม่เคยรู้เรื่องนี้”
แล้วลีลาวดีก็ร้องไห้ออกมา เธอร้องสะอึกสะอื้นเหมือนจะขาดใจเพราะควบคุมความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทงความรู้สึกไม่ได้
“ลิซ...” อีธานครางชื่อของหญิงสาวออกมาด้วยความรู้สึกผิดที่แล่นปรี่ขึ้นมาจับหัวใจ เขากำลังทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว มันดูราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
อีธานซึ่งโดยปกติแล้วเขาเป็นนักธุรกิจที่ไม่ค่อยชอบออกงานสังคมมากสักเท่าไหร่ แต่ในงานมอเตอร์โชว์ระดับโลกซึ่งจัดขึ้นในกรุงนิวยอร์คเขาได้พบกับลีลาวดี พริตตี้สาวชาวไทยวัยยี่สิบปีที่ความงามและความน่ารักของเธอสะกดใจเขาตั้งแต่แรกเห็น
เขาคบกับเธอในช่วงระยะเวลาหลังจากนั้น มีความสุขและสานสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกันโดยที่เขาเองไม่แคร์ต่อเสียงซุบซิบในแวดวงสังคมชั้นสูง
เขารักลีลาวดี รักที่เธอเป็นผู้หญิงที่ดีและไม่ตื่นเต้นกับความร่ำรวยของเขา ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เขาไม่เคยเจอจากผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่เขาเคยคบหาด้วย เขาอยากตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงที่ทั้งน่ารักและฉลาดอย่างเธอ
แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน จู่ ๆ วันหนึ่งก็มีข่าวบนหน้าแทบลอยด์ว่าเขากำลังจะหมั้นและเตรียมตัวเข้าพิธีแต่งงานกับลูกสาวนักธุรกิจส่งออกชื่อดังของอเมริกา
มันเป็นเรื่องบ้าสิ้นดีที่เขาไม่มีโอกาสได้อธิบายให้ลีลาวดีฟัง เพราะหลังจากนั้นเขาก็ขาดการติดต่อจากพริตตี้สาว เธอหายตัวไป และมันทำให้เขาว้าวุ่นอย่างหนัก
อีธานต้องจ้างนักสืบเอกชนให้ช่วยหาหญิงสาว เธอไม่ได้กลับเมืองไทยแต่กลายมาเป็นพนักงานเสิร์ฟในห้องอาหารของโรงแรมหรูระดับห้าดาวในฮาวาย
“ลิซ...หยุดร้องไห้เถอะนะ แล้วฟังผม ที่รัก”