5 ปีที่แล้ว
หลังจากที่จัดพิธีฌาปนกิจศพพี่แนน ไม่กี่วันยายฉันก็ทรุดหนัก
“ยายไม่กินข้าวหน่อยเหรอ?” ฉันตักข้าวราดด้วยแกงเดินไปนั่งพับเพียบข้างยาย ที่ตอนนี้กำลังนั่งกอดเข่ามองเหม่อออกไปที่หน้าต่าง ยายนั่งแบบนี้เกือบทุกวัน บางวันก็ร้องไห้ฟูมฟาย บางวันก็พูดคนเดียวเป็นบ้าเป็นหลัง
“ไม่... ยายกินไม่ลง”
“ยายกินหน่อยนะ พี่แนนหลับสบายแล้ว ถ้ายายไม่กินจะป่วยเอานะ”
ฉันว่าพลางตักข้าวเตรียมป้อน แต่ยายเบี่ยงหน้าหลบไปอีกทางไม่ยอมกิน
“ยายไม่มีเงินส่งแกเรียนหรอกนะนานะ แนนไม่อยู่อะไรก็แย่ไปหมด”
ฉันวางจานลงแล้วถอนหายใจ ก่อนหน้านี้ยายไม่ให้ฉันเรียนต่อ แต่ฉันก็ยังดื้อดึงที่จะเรียนจนสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยที่กรุงเทพได้
“ยายไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น นานะจะหาเงินเรียนและส่งเงินให้ยายเอง”
ยายหันมามองฉันทั้งน้ำตา
“ทำไม่ได้หรอก เราไม่เหมือนแนน พี่เราทั้งเก่งทั้งขยัน คนที่ถูกเลี้ยงแบบสุขสบายอย่างเราจะหางานที่ไหนทำได้ ไหนจะเรียนอีก หยุดฝันลม ๆ แล้ง ๆ เถอะนานะ ฮึกฮือ...”
ฉันรู้สึกไม่ดีเลยที่ได้ยินแบบนี้ แต่สุดท้ายก็ฝืนเอื้อมไปจับไหล่ที่สั่นเทาของยายเพื่อปลอบท่าน
“ยาย... นานะจะทำให้ได้ ยายไม่ต้องห่วงนะ ยายจะสุขสบายเหมือนตอนพี่แนนยังอยู่ ค่ายานานะจะหาให้เอง”
“ฮือ ๆ ทำไมแนนต้องตายยายคิดถึงแนน” หลังจากนั้นยายก็ร้องไห้
ฟูมฟาย ข้าวไม่กินไม่หลับไม่นอนจนทรุดเข้าโรงพยาบาลอีกรอบด้วยโรคเนื้อร้ายที่ท่านเป็นอยู่
ฉันลำบากใจที่จะจากท่านมา แต่ทว่า... ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้คงไม่มีเงินมาจ่ายค่ายามะเร็งของยาย ฉันจึงฝากให้ญาติดูแลยายและเข้ากรุงเทพ ใช้เงินเก็บจากที่พี่แนนให้มาเช่าอาพาร์ทเม้นท์อยู่ก่อนมหาลัยเปิด ก่อนจะออกหางานทำเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อ เป็นคนส่งของตามสำนักงาน และสุดท้ายได้ถูกทาบทามมาทำงาน N ระดับไฮคลาสบริการแค่นักธุรกิจและนักการเมืองกระเป๋าหนา
การเอาตัวรอดจากพวกมือปลาหมึกเป็นอะไรที่ฉันเหนื่อยใจที่สุด แต่งานคืองาน และที่สำคัญพอฉันทำได้ฉันก็มีเงินซื้อยาจ่ายค่าหมอให้ยายอยู่กับฉันนานขึ้น ถึงแม้ว่าฉันกลับไปยายจะไม่เคยคิดถึงเลยก็ตาม
ฉันรู้... คนที่จะเยียวยายายได้คือพี่แนนเท่านั้น พี่แนนคือคนสำคัญของยาย และอีกหลาย ๆ คน
‘ปัง’
‘เคร้ง’
ปืนเก็บเสียงที่ดังข้างหู ๆ ทำให้ฉันสติหลุดรีบนั่งลงปิดหูทันที ก่อนที่จะหันไปมองคนเหนี่ยวไกลข้างหลังทั้งตกใจทั้งน้ำตาคลอ
พี่ดัชซ์ยิงรูปพี่แนนเข้ากลางหน้าผากและตอนนี้รูปก็หล่นแตกที่พื้นไปแล้ว เขาเป็นบ้าไปรึไง! นี่มันคอนโดที่ฉันแชร์กับเพื่อนนะ ถ้านิติได้ยินเข้าจะไม่เฉ่ง
เอาเหรอ
“พี่ทำแบบนี้ทำไม?”
“ถ้าเจอหน้าพี่สาวเธอ ฉันอาจจะทำมากกว่านี้” ฉันกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบรูปถ่ายหน้าศพขึ้นมา โชคดีที่กระจกไม่แตกมากฉันจึงนำไปวางที่โต๊ะกลางห้องแทน จนพี่ดัชซ์เขาเดินตามและนั่งลงที่โซฟา
สายตาคมจ้องมองรูปถ่ายด้วยอารมณ์ที่ฉันไม่แน่ใจ เขาดูโกรธและเศร้าในคราวเดียวกัน มองรูปพี่แนนด้วยสายตานิ่งเรียบอยู่เนิ่นนาน จนฉันเก็บกระจกที่แตกเสร็จเขาก็ยังมองอยู่
“พี่จะกินข้าวไหม?” ฉันเห็นแล้วหงุดหงิดจึงตัดสินใจถามไป จะมองทำไมนักหนาวะ
“ไม่ละ เธอกินเถอะ เมื่อเช้ากินน้อยไม่ใช่เหรอ?” บอกฉันแต่ตายังไม่ละจากรูปพี่แนน ทำเป็นเกลียด ทำเป็นโมโห แต่สุดท้ายก็รักพี่สาวฉันใช่มั้ย
ฉันเลี่ยงเดินไปในครัวเปิดตู้หยิบซีเรียลออกมาเทใส่ถ้วยแล้วหยิบนม
เย็น ๆ ราดลงไป ก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่งมองพี่ดัชซ์และตักมันเข้าปากไปด้วย
เขาบอกเจอพี่แนนจะทำมากกว่านี้ เหอะ! ฉันว่าคงไม่ใช่ เขาอาจจะวิ่งไปกอดแล้วฟูมฟายคิดถึงมากกว่า
นึกแล้วหงุดหงิด เป็นอะไรวะเนี่ย ขนาดเมื่อก่อนฉันหลงรักเขาแทบตาย ฉันยังไม่เป็นแบบนี้เลย
“ฉันจะลงไปธุระ เธอห้ามไปไหนจนกว่าฉันจะมา” ฉันพยักหน้าตอบ
แล้วมองตามหลังคนตัวโตที่ลุกขึ้นจากโซฟาเดินออกไป และเมื่อพี่ดัชซ์ปิดประตูห้องเท่านั้นแหละ ฉันก็รีบใช้โอกาสนี้เดินไปคว้าโทรศัพท์มือถือตัวเองบนโต๊ะโทรหาญาติทันที เพราะปกติฉันคุยกับยายทุกวัน ไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง
โทรออก | ป้านิด
(นานะทำไมเมื่อวานไม่โทรมา ป้าโทรหาก็ไม่ติด)
“เมื่อวานมีเรื่องยุ่งนิดหน่อยค่ะ ยายเป็นยังไงบ้างคะ ถามหานานะ
บ้างมั้ย?”
(ไม่ได้ถามหานานะ แต่ยังเพ้อถึงแนนตลอดเลย ตอนนี้หมอบอกว่ายายอยู่ได้ไม่เกินสามเดือนแล้วนะเพราะสภาพจิตใจแย่ลงทุกวัน เฮ้อ... ป้าเองก็ไม่รู้จะทำยังไง คุยด้วยทุกเช้าเย็นแต่ก็เอาแต่เพ้อหาแนน)
สะ สามเดือน สามเดือนเองเหรอ? มือที่ถือโทรศัพท์แนบหูเริ่มสั่น
“เรามีวิธีอื่นไหมคะป้านิด ยาอะไรก็ได้หรือรักษาแบบไหนนานะจ่าย
ได้หมด”
(หมอบอกว่ายาที่ดีคือกำลังใจ ตอนนี้ยายเราไม่สู้แล้ว ละเมออยากตายตามแนนไปด้วยซ้ำ กลับมาดูใจแกหน่อยก็ดีนะนานะ เดือนนี้ยังไม่มาเลย
ไม่ใช่เหรอ)
ฉันยกมือปิดปากทันที อยากจะร้องไห้แทบบ้าแต่ก็ต้องฝืนตัวเองไว้เพราะไม่ให้ยายได้ยิน
“งะ งั้นขอคุยกับยายหน่อยค่ะ”
(ได้จ้ะ) แล้วป้านิดก็เงียบไป ก่อนฉันจะได้ยินเสียงยายพูดขึ้นมาเสียง
แหบสั่น
(ไม่... ต้องมา ยายจะไปอยู่กับแนนแล้ว)
“ไม่ได้นะคะยาย ยายยังมีหนูอีกคนนะ หนูจะกลับไปอยู่กับยายเอง”
(ไม่ ยายไม่อยากอยู่แล้ว ยะ อยากไปกับแนน)
“ยาย”
(อยาก ไป กับแนน...)
“ยาย ยายต้องสู้นะ ฮึก ๆ ยายอยู่กับนานะเถอะ”
(จะไป... กับแนน)
หลังจากนั้นฉันก็ได้ยินแต่ประโยคเดิม ยายพูดมันซ้ำ ๆ โดยที่ไม่ฟังฉันเลย จนฉันแม่งจะไม่ไหวแล้ว ฉันก็หลาน ฉันก็รัก การมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเป็นที่เพิ่งทางใจให้ฉันมันยากนักรึไง นี่ก็ห้าปีแล้วนะทำไมต้องอาลัยพี่แนนขนาดนั้น
ฉันเป็นคนวางสายเอง ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟามองรูปถ่ายที่มีรอยกระสุนกลางหน้าผาก พี่แนนสวมชุดพยาบาลยิ้มสดใส มองเผิน ๆ เหมือนกำลังมองหน้าฉันอยู่เลย
เหอะ ขอโทษนะพี่ ฉันอิจฉาพี่ว่ะ ห้าปีที่แล้วฉันอิจฉาที่พี่ได้ทำงานดี มีแฟนดี เก่งทุกอย่าง
ตอนนี้ฉันก็อิจฉาพี่ที่ตายไปแล้วก็มีแต่คนต้องการ หรือฉันควรตายเหมือนพี่วะ คนอื่น ๆ จะได้เห็นหัวอีนานะคนนี้บ้าง
‘แกร๊ก’
ฉันปาดน้ำตาทันทีเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกและเป็นพี่ดัชซ์ที่ถือถุงจากร้านสะดวกซื้อเข้ามา เขามองฉันเล็กน้อยก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนั่งที่โซฟา แล้วหยิบกระป๋องเบียร์ออกมายื่นให้
“กินซะ” ฉันเบือนหน้าไปทางอื่น
“ไม่ พี่กินเถอะ” เขาไม่สนใจคำปฏิเสธฉัน กลับเปิดเบียร์ให้แล้ววางไว้บนโต๊ะตรงหน้ารูปถ่ายพี่แนน แต่คราวนี้พอเห็นหน้าพี่แนนอีกครั้งมันทำให้ฉันกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก จนหลังจากที่พี่ดัชซ์ยกเบียร์ไปอึกใหญ่เขาถามขึ้น
“เป็นอะไร?”
“เปล่า” ฉันปฏิเสธทันที ก่อนความเครียดที่วิ่งวนอยู่ในหัวจะทำให้ฉันตัดสินใจหยิบเบียร์ขึ้นมาดื่มบ้าง
“เห็นอยู่ว่าร้องไห้”
“ตาพี่ดีเกินไปแล้ว”
“ร้องเพราะมองรูปนี้ใช่มั้ย?” ฉันอ้ำอึ้ง แต่ทว่าคนนั่งข้างไม่รอคำตอบ
เขายกเท้าถีบรูปพี่แนนล้มตึงทันที
‘ปึก’
“พี่ทำอะไรอ่ะ นั่นตีนเลยนะ”
“ใช่ตีน แล้วมันก็เหมาะกับพี่สาวเธอดี”
ฉันเบิกตากว้างมองหน้าพี่ดัชซ์ด้วยความตกใจ ก่อนที่เขาจะนั่งยกเบียร์ดื่มต่อและหยิบรีโมทเปิดทีวีดูอย่างสบายใจเฉิบ เราอยู่ในความเงียบกัน และขณะนั้นสายตาก็มองไปที่จอทีวีแอลอีดีที่ฉายหนังเรื่องนึงอยู่
จนฉันรู้สึกเพลิน ดื่มเบียร์หมดกระป๋องแล้วกระป๋องเล่าพี่ดัชซ์เขาก็เปิดให้ใหม่โดยไม่ถาม พอหมดพี่เขาก็ไปซื้ออีกสิบกระป๋อง ให้ตายขนาดทำงาน N กับลูกค้าฉันยังไม่ดื่มขนาดนี้เลย
ตอนนี้ฉันรู้สึกเมาแล้วจริง ๆ หนักหัวเป็นบ้า
“ทำงาน N แต่คออ่อน” อยู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แต่กลับสร้างความอยากเอาชนะให้กับฉัน
“อ่อนตรงไหน เอามานี่จะกินให้ดู” ว่าแล้วฉันก็แย่งเบียร์ในมือพี่ดัชซ์มาทันที ก่อนที่จะกระดกพรวด ๆ จนเขากระตุกยิ้มที่มุมปาก นี่เป็นการดื่มเบียร์ครั้งแรกที่ฉันกรอกใส่ปากอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่ามันเมาฉิบหายเลยค่ะ
“พอแล้ว” เขาดึงกระป๋องเบียร์กลับแล้วดื่มเองบ้าง ส่วนฉันยกหลังมือเช็ดปากมองหน้าเขาด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ดูตรงขอบกระป๋องที่พี่ดัชซ์ยกดื่มสิ ตรงนั้นเราจูบกันทางอ้อมเลยนะ
เรื่องอกุศลที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้แก้มฉันร้อนผะผ่าวขึ้นมาทันที ทำไมฉันอยากเป็นกระป๋องเบียร์ล่ะ อยากโดนยกซดบ้าง
“พี่ดัชซ์...” ฉันเรียกเสียงเบาแล้วขยับไปใกล้ ๆ เขา