บ้านสองชั้นหลังเล็กกะทัดรัดบนเนื้อที่ห้าสิบตารางวา อบอวลไปด้วยความรักและความอบอุ่นของคนภายในบ้าน ซึ่งมีนายพงษ์ศักดิ์ เกตุอมร ชายวัยหกสิบปีซึ่งเกษียณราชการแล้วเป็นเสาหลักของครอบครัว และมีหญิงวัยห้าสิบปลายๆ ซึ่งเป็นภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานนามว่าเกศแก้ว ทั้งสองมีลูกสาวคนเดียวชื่อว่า เกวลิน ครอบครัวของพงษ์ศักดิ์อยู่กันอย่างมีความสุขตามอัตภาพ ไม่เคยต้องเดือดร้อนหรือว่าเป็นหนี้เป็นสินกับใคร
แต่วันหนึ่งที่นางพุดกรองน้องสาวแท้ๆ ของนางเกศแก้วเมียรักของนายพงษ์ศักดิ์ได้มาขอพึ่งพาอาศัยขอที่พักพิงชั่วคราว ครอบครัวของเค้าก็ยอมให้ความช่วยเหลือ ซึ่งทุกคนในบ้านไม่เคยคาดคิดเลยว่าการที่ให้ความช่วยเหลือนางพุดกรองในครั้งนี้จะนำพาความโชคร้ายมาสู่ครอบครัวของพวกตน
“เอ๊ะ! ทำไมบ้านเงียบจังเลยวันนี้”
เกวลินพูดบอกกับตนเองเบาๆ ก่อนจะเปิดกระเป๋าสะพายแล้วล้วงมือเรียวลงไปควานหากุญแจบ้านภายในกระเป๋าเพื่อที่จะมาไขเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน
“พ่อคะ...แม่คะ...เกวกลับมาแล้วค่ะ”
หญิงสาวไขลูกบิดประตูบ้านแล้วเปิดเข้าไปภายในบ้านทันที เท้าเรียวบางเดินเข้าไปด้านในก่อนที่จะเอื้อมมือมาเปิดไฟภายในบ้านให้สว่างก่อนที่จะหันมาปิดประตูบ้านลงตามเดิม พร้อมๆ กับที่ร่างของนางเกศแก้วผู้เป็นแม่เดินรี่เข้ามาหาแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นๆ ว่า
“เกว! เห็นอะไรแปลกๆ ที่หน้าบ้านหรือเปล่าลูก”
“อะไรคะแม่ อะไรแปลกๆ หมายความว่ายังไงเกวไม่เข้าใจ?”
เกวลินทำหน้างงๆ สงสัยในคำพูดของคนเป็นแม่ จนนายพงษ์ศักดิ์ที่เดินเข้ามาทีหลังต้องอธิบายให้ลูกสาวคนสวยของตนเองฟังให้หายสงสัย
“แม่เราเค้าหมายถึงว่ามีใครมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ที่หน้าบ้านของเราบ้างหรือเปล่าน่ะลูก”
นายพงษ์ศักดิ์พูดจบก็เดินส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาก่อนจะเดินมานั่งลงที่โซฟารับแขกของบ้านพร้อมกับถอนหายใจหนักๆ ออกมาจนสองคนแม่ลูกหันมามองหน้ากันแล้วพากันเดินเข้ามานั่งยังโซฟาข้างๆ ก่อนที่นางเกศแก้วจะยกมือขึ้นเกาะแขนของผู้เป็นสามีพร้อมกับลูบปลอบขึ้นลงเบาๆ
เกวลินมองอาการของพ่อและแม่ที่แสดงออกมาก็เข้าใจได้เลยทันทีว่าเหตุใดพ่อกับแม่ของเธอจึงมีอาการเช่นนี้
“นี่แสดงว่าเจ้าหนี้ของน้าพุดกรองมาทวงเงินพ่อกับแม่อีกแล้วใช่ไหมคะ ทำไมพ่อกับแม่ไม่บอกเค้าไปล่ะว่าน้าพุดกรอง
เค้าแค่ขอมาอยู่กับเราชั่วคราวเท่านั้นน่ะ หนี้สินอะไรที่น้าพุดกรองเค้าไปสร้างเอาไว้บ้านเราไม่รับผิดชอบให้หรอก เราใช้หนี้แทนมามากพอแล้ว ไม่มีปัญญาจะมาหาเงินใช้หนี้ให้กับเค้าอีก
แล้วนะ แล้วนี่เมื่อไหร่น้าพุดกรองเค้าถึงจะไปจากบ้านเราเสียทีก็ไม่รู้”
เกวลินพูดโพล่งออกมาเสียงดัง หญิงสาวรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของน้องสาวของแม่เธอคนนี้เลย
“ยัยเกวไม่เอาลูก อย่าพูดแบบนี้มันไม่ดี”
“โธ่แม่ เกวพูดเรื่องจริงนี่คะ แม่จะไปใจดีกับคนอย่างน้าพุดกรองทำไมกัน เค้าเองยังไม่เคยเกรงใจครอบครัวของเราเลยนะแม่”
เกวลินพูดออกมาอย่างเหลืออด ใช่! และความอดทนของเธอก็กำลังใกล้จะหมดลงอยู่แล้วเช่นกัน ก่อนที่พงษ์ศักดิ์ผู้เป็นพ่อจะพูดขัดขึ้น ด้วยเพราะไม่อยากให้เกศแก้วเมียรักต้องกลุ้มใจไปมากกว่านี้
“เกว...ไม่เอาลูก พูดจากับญาติผู้ใหญ่แบบนี้มันไม่ดีเลยนะ ยังไงน้าพุดกรองเค้าก็เป็นน้องสาวของแม่เรานะ เกวไม่ควรที่จะพูดอย่างนี้ ใครมาได้ยินเข้าเค้าจะหาว่าพ่อกับแม่ไม่บอกไม่สอนลูกของพ่อเข้าใจไหม”
คนเป็นลูกถูกพ่อเทศนาเข้าให้ก็ก้มหน้าลงนิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มเหยๆ ขึ้นมาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะรีบพูดรับปากแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที
“ค่ะพ่อ ต่อไปเกวจะพยายามไม่พูดถึงน้าพุดกรองเค้าแบบนี้อีก แต่เกวก็ยังยืนยันนะคะว่าอยากที่จะให้น้าพุดกรองเค้าไปอยู่ที่อื่นมากกว่าที่จะมาอยู่บ้านเรา เกวพูดแค่นี้แหละค่ะ วันนี้เงินเดือนเกวออก เกวให้พ่อกับแม่ค่ะ”
เกวลินยื่นแบงก์สีเทาจำนวนสิบใบใส่มือให้กับผู้เป็นแม่ด้วยความภาคภูมิใจ เดือนนี้จำนวนเงินเพิ่มมากขึ้นมาสามพันกว่าบาทเพราะมีค่าโอทีล่วงเวลาที่ทางบริษัทฯ จ่ายให้ด้วย หลังจากที่หญิงสาวหักค่าใช้จ่ายของตนเองออกเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือทั้งหมดจึงเป็นเงินที่เธอจะเอามาให้พ่อกับแม่ได้เก็บเอาไว้ทุกเดือน
“เกวจะเอามาให้พ่อกับแม่ทำไมกัน ทำไมถึงไม่เก็บเอาไว้เองล่ะลูก เอามาให้แม่แบบนี้ทุกเดือนแล้วเกวจะพอใช้เหรอลูก”
นางเกศแก้วถามลูกสาวคนสวยของตนด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนและรอยยิ้มละไม ก้มลงมองจำนวนเงินที่ลูกสาวยื่นใส่มือให้ ซึ่งคราวนี้ดูจะมากกว่าเดือนที่แล้วๆ มาเสียด้วยซ้ำ
“เกวเก็บเอาไว้แล้วล่ะค่ะ แล้วเกวเองก็ยังมีรายได้เสริมที่ผับอีกด้วยไง แม่เก็บเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในบ้านก็ได้นี่คะ อีกอย่างเผื่อว่าแม่จะแบ่งบางส่วนเอาไปใช้หนี้ให้กับน้าพุดกรองเกวก็ไม่ว่านะคะเพราะเกวถือว่าเกวให้แม่ไปแล้วแม่จะเอาไปทำอะไรก็ตามใจเถอะค่ะ แต่จะให้ดีเกวว่าไม่ต้องใช้หนี้ให้น่าจะดีกว่านะ”
“ยัยเกว...เฮ้อ แม่เค้าก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันกับเรื่องของแม่พุดกรอง แต่จะว่าไปเงินคราวนี้ที่เกวให้มามันก็มากเกินไปนะลูก เอากลับคืนไปอีกไม่ดีกว่าเหรอ เกวต้องทำงานเหนื่อยมาทั้งเดือน น่าจะเก็บไว้ใช้เองให้มากกว่านี้เผื่อว่าอยาก
ได้ของใช้ส่วนตัวจะได้ซื้อหาได้เลยไงล่ะลูก” พงษ์ศักดิ์แย้งโต้ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
“ไม่หรอกค่ะพ่อ เกวเองก็ไม่ได้ใช้อะไรนี่คะ พ่อกับแม่เก็บเอาไว้เถอะค่ะ”
“ถ้าเกวจะเอาอย่างนั้น แม่ก็ตามใจ แต่ถ้าเกวอยากจะได้อะไรเป็นพิเศษก็มาเอาที่แม่นะลูก แม่จะเก็บไว้ให้” คนเป็นแม่พูดบอกด้วยความตื้นตันใจในความกตัญญูของลูกสาวเป็นยิ่งนัก
“ถ้าอย่างนั้นเกวก็ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะลูกเดี๋ยวเราจะได้มากินข้าวกัน”
“ค่ะพ่อ”
เกวลินรับคำผู้เป็นพ่อเสียงหวาน ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเลี่ยงขึ้นไปยังห้องนอนของตนที่อยู่บนชั้นสองของตัวบ้าน เพียงไม่นานหญิงสาวก็กลับลงมายังโต๊ะอาหารและร่วมกันรับประทานอาหารเย็นซึ่งปฏิบัติกันมาจนเป็นกิจวัตรประจำวัน และบางมื้อก็อาจมีนางพุดกรองผู้เป็นน้าเข้าร่วมวงด้วยเช่นกัน
“วันนี้ที่ผับคนคงจะเยอะนะลูก” พงษ์ศักดิ์ถามลูกสาวขึ้นมากลางวงข้าวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้คือวันสิ้นเดือน
“ค่ะพ่อ วันนี้เป็นวันเงินเดือนออก คนที่ผับเยอะมากกก” หญิงสาวลากเสียงสูง
“พ่อว่าเกวเลิกไปทำงานที่ผับนั่นเถอะ ครอบครัวเราเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่ลูก เกวจะไปทำงานกลางคืนทำไมกัน ลำพังงานที่บริษัทฯ เองก็มากพออยู่แล้วเกวจะหารายได้เพิ่มขึ้นไปอีกทำไมกันลูก อีกอย่างสถานที่แบบนั้นมันดูล่อแหลมไม่ดีเอาเสียเลยนะพ่อว่า...” นายพงษ์ศักดิ์พูดเตือนลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“แต่เกวไปทำบัญชีให้กับทางผับนะคะพ่อ เกวไม่ได้ไปอยู่ในส่วนของงานบริการลูกค้า พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกค่ะ ที่นี่น่ะมีแต่คนรวยๆ เข้าไปเที่ยวทั้งนั้นแหละค่ะ รวยไม่จริงเที่ยวไม่ได้นะคะพ่อ มันแพงมาก แต่ก็มีบ้างที่จะต้องไปคอยรับรองลูกค้าที่เป็นแขกวีไอพีที่เป็นชาวต่างชาติน่ะค่ะเวลาที่ยุ่งมากๆ แล้วก็คนขาด แต่มันก็ไม่บ่อยนักหรอกนะคะพ่อ ที่สำคัญงานที่ผับเนี่ยเงินดีมากๆ เลยค่ะพ่อ”
หญิงสาวพูดย้ำให้ผู้เป็นพ่อฟังอีกครั้งว่างานที่เธอไปทำนั้นไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงเลยแม้แต่นิดเดียว
“ก็ถ้าหากว่าเกวยืนยันว่ามันปลอดภัยพ่อก็คงต้องยอมเกวใช่ไหมลูก” พงษ์ศักดิ์พูดบอกออกไปน้ำเสียงงอน
“แหม...พ่อนี่ทำเป็นงอนลูกไปได้ ก็ลูกบอกแล้วว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเราก็น่าจะไว้ใจลูกบ้าง ไม่มีอะไรหรอกเกว พ่อกับแม่ก็แค่เป็นห่วงเกวเท่านั้นแหละ พ่อกับแม่กลัวว่าเกวจะเหนื่อยเกินไป ยิ่งเห็นเกวหาเงินตัวเป็นเกลียวไม่ยอมพักบ้างเลยแบบนี้พ่อกับแม่ก็กลัวว่าเกวจะไม่สบายเอาน่ะลูก”
นางเกศแก้วพูดบอกพร้อมกับตักแกงจืดวุ้นเส้นหมูสับให้กับลูกสาว ก่อนที่จะตักอาหารอย่างเดียวกันให้กับพงษ์ศักดิ์ผู้เป็นสามีด้วยเช่นกัน
“พ่อกับแม่สบายใจได้ค่ะ เกวจะดูแลรักษาสุขภาพตัวเองอย่างดีค่ะ เพียงแต่เกวอยากจะเก็บเงินเอาไว้ให้ได้มากที่สุดในยามที่เกวยังมีกำลังมีแรงอยู่ก็เท่านั้นแหละค่ะแม่ เกวอยากให้แม่กับพ่อสบาย เงินทองที่มีอยู่ถ้าหากไม่หามาเพิ่มเดี๋ยวมันก็หมดลงได้จริงไหมคะพ่อ” เกวลินยิ้มหวานพูดถามคนเป็นพ่อออกไป
“จ้ะ ลูกสาวคนสวยของพ่อ แล้วนี่ตานภจะมารับเกวเหมือนเดิมหรือเปล่าล่ะ”
“มาค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักคงจะมา”
ออด! ออด! ออด! เสียงออดดังขึ้น
“ใครมากดออดซะรัวที่หน้าประตูบ้านกันแบบนี้เนี่ย หรือว่าตานพจะมาแล้ว” นางเกศแก้วพูดขึ้นพร้อมกับมองหน้าลูกสาว
“ไม่น่าจะใช่นะคะแม่ นี่มันยังไม่ถึงเวลานัดเลยค่ะ แต่เดี๋ยวเกวออกไปดูให้ค่ะ”
เกวลินพูดบอกพร้อมกับทำท่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่ผู้เป็นพ่อพูดขัดขึ้นเสียก่อน
“ไม่เป็นไรเกวเดี๋ยวพ่อออกไปดูเองดีกว่า”
พูดจบนายพงษ์ศักดิ์ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ผละจากโต๊ะอาหารแล้วเดินมาที่ประตูบ้านเพื่อที่จะเปิดออกไปดูที่หน้ารั้วบ้านว่าใครกันที่มากดเรียกคนในบ้านกันแน่
“แม่ไปด้วย”
“เกวก็ไปด้วยค่ะ”
สองคนแม่ลูกรีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตามนายพงษ์ศักดิ์ไปที่ประตูด้วยกันทันที
“อ้าวนั่นตานภนี่ แล้วนั่นพยุงใครมาด้วยกันล่ะเนี่ย”
“ลุงพงษ์ช่วยหน่อยครับ น้าพุดกรองถูกทำร้ายมาครับ” นภดลร้องตะโกนบอกออกไปเสียงดัง
“ว้าย! แม่พุดกรอง!”
“น้าพุดกรอง!”
เสียงร้องอุทานของสองแม่ลูกดังขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกัน ก่อนที่คนในบ้านจะรีบวิ่งมาช่วยกันพยุงร่างของนางพุดกรองเข้าไปไว้ภายในบ้านเป็นการด่วน
ทันทีที่ร่างของนางพุดกรองถูกวางลงที่โซฟาในห้องรับแขก นางเกศแก้วและเกวลินต่างรีบหาหยูกยาและผ้าชุบน้ำมาเช็ดทำความสะอาดใบหน้าที่แตกยับให้กับนางพุดกรองในทันที
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน ตานภไปเจอแม่พุดกรองที่ไหนกันฮึ” นายพงษ์ศักดิ์เปิดฉากซักถามก่อนเลยทันที
“ผมไปเจอน้าพุดกรองที่หน้าปากซอยนี่เองแหละครับ เห็นแกนอนกองอยู่ที่พื้น ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่พอผมเข้าไปใกล้ถึงได้รู้ว่าเป็นน้าพุดกรอง ผมก็เลยพยุงพาแกเดินมาที่บ้านนี่แหละครับ”
นภดลพูดไปตามความจริงที่ตนเองได้ประสบมา ก่อนจะเงยหน้ามองไปที่เกวลินหญิงสาวที่ตนเองแอบชอบอยู่ ถึงแม้หญิงสาวจะคิดกับเธอเพียงแค่พี่ชายเท่านั้นก็เถอะ แต่เค้าก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าสักวันเกวลินอาจจะขยับขั้นให้เค้าเป็นมากกว่าพี่ชายของเธอก็เป็นได้
“เกวว่าคงจะต้องเป็นฝีมือของพวกแก๊งทวงหนี้แน่ๆ เลยค่ะ”
เกวลินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง พลางปรายตามองไปที่ร่างของนางพุดกรองผู้เป็นน้าอย่างนึกสงสาร
“พุดกรอง! พุดกรองเป็นยังไงบ้าง พี่พาไปหาหมอเอาไหม”
นางเกศแก้วพูดถามออกมาเสียงสั่น น้ำตาคลอหน่วยด้วยความสงสารน้องสาว แม้ว่าตั้งแต่ที่พุดกรองมาขออยู่ด้วยกับครอบครัวของนางแล้วจะนำพาแต่ปัญหาและหนี้สินเข้ามาให้ แต่ถึงยังไงนางพุดกรองก็เป็นน้อง ต่อให้เลวร้ายยังไงนางก็ไม่มีวันที่จะตัดขาดน้องสาวที่น่าสงสารคนนี้ไปได้หรอก
“โอ๊ยยย! เจ็บบบ!”เสียงร้องของนางพุดกรองที่ร้องโอดโอยขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด
ก่อนที่จะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วกวาดตามองคนนั้นทีคนนี้ที แล้วค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งโดยมีนางเกศแก้วและนายพงษ์ศักดิ์คอยช่วยพยุงให้ลุกขึ้นนั่งอยู่ไม่ห่าง ก่อนที่นางพุดกรองจะสะบัดแขนพี่สาวและพี่เขยออกอย่างแรง สร้างความตกใจให้กับทุกคนที่อยู่ภายในห้องนั้น จนเกวลินถึงกับต่อว่าน้องสาวแม่ออกมาแทบจะทันที
“อ้าว! น้าพุดกรอง ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ พ่อกับแม่เกวอุตส่าห์หวังดีช่วยพยุงน้าให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ นะเนี่ย!”
นางพุดกรองมองหน้าพี่สาวทีพี่เขยทีสลับกันไปมาก่อนจะเชิดหน้าขึ้นอย่างคนถือดีแล้วพูดขึ้นว่า
“ฉันไม่ได้ร้องขอให้มาช่วยพยุงฉันสักหน่อย!”
“อ้าวแม่พุดกรอง! ถ้าหากเธอพูดอย่างนี้ต่อไปฉันกับแม่แก้วก็จะไม่เข้าไปช่วยเหลืออะไรเธออีกแล้ว”
นายพงษ์ศักดิ์พูดบอกน้ำเสียงดุ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเอื้อมมือไปคว้าแขนนางเกศแก้วเมียรักให้ลุกออกมาจากโซฟาที่นั่งตรงนั้นเหมือนกัน
นางพุดกรองเมื่อเห็นปฏิกิริยาของพี่เขยที่แสดงออกมาเช่นนั้นก็รีบเปลี่ยนท่าทีทันที ก่อนที่จะร้องไห้ออกมา ยกมือลูบไล้ไปทั่วใบหน้าที่แตกยับและพร่ำรำพันถึงโชคชะตาของตนเองไม่หยุดปาก
“ฉัน...ฉันขอโทษก็แล้วกัน...ฉันเพิ่งถูกทำร้ายมานะพวกพี่ยังจะมาหาเรื่องฉันอีกเหรอ...ฉันยังกลัวอยู่เลย พวกมันมาจากไหนก็ไม่รู้ มันเอากระสอบมาคลุมหัวฉัน แล้วพวกมันก็ตบก็ต่อยแล้วก็เตะ พวกมันซ้อมฉันอย่างกับหมูกับหมา ก่อนที่มันจะเอากระสอบออกจากหัวฉันแล้วก็ทิ้งฉันไว้ข้างทาง ฉันเจ็บจนทนไม่ไหวก็เลยสลบไป พอตื่นขึ้นมาเห็นคนมามุงอยู่เยอะก็เลยตกใจ ฉันไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย โอ๊ยยย เจ็บบบ”
เกวลินยืนฟังน้องสาวของแม่พร่ำรำพันบอกออกมาอย่างสังเวช อารมณ์ปรวนแปรเปลี่ยนง่ายเสียจริงๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายพูดถามออกมาทำลายความเงียบ
“แล้วน้ากรองรู้หรือเปล่าว่าพวกไหนกันที่มันมาทำร้ายน้าน่ะ”
พุดกรองหันไปมองหน้าหลานสาวที่เปรียบเสมือนบ่อเงินบ่อทองของตนเองก็ไม่ปาน เพราะเงินใช้หนี้ส่วนใหญ่ก็มาจากหลานสาวคนสวยคนนี้แหละ
“ก็พวกที่น้าติดหนี้พวกมันน่ะสิ มันมาทวงหนี้แล้วน้าไม่มีให้มัน มันก็เลยเก็บดอกเบี้ย”
“ผมว่าเราไปแจ้งความกันดีกว่านะครับ เดี๋ยวนี้รัฐบาลเค้ามีวิธีเจรจาและก็ยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเราด้วย ให้ทางตำรวจช่วยเราอีกแรงนะครับ ทำแบบนี้มันเหมือนกับพวกทำตัวเหนือกฎหมาย ต้องให้กฎหมายไปจัดการ”
นภดลพูดบอกออกมาอย่างเสนอความคิดเห็น และดูเหมือนว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ชายหนุ่มเสนอยกเว้นนางพุดกรองเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ไม่เอา! ไม่ได้นะ! บอกตำรวจไม่ได้!”
“ทำไมล่ะน้าพุดกรอง ในเมื่อพวกมันทำกับน้าถึงขนาดนี้แล้วจะเก็บพวกมันเอาไว้บูชาอีกเหรอคะ”
“ยัยเกวลูก ทำไมพูดจาแบบนั้น” นางเกศแก้วเอ็ดลูกสาวเสียงดัง
“โธ่แม่อ่ะ เกวพูดความจริงนี่คะ”
“พอๆ ทั้งแม่ทั้งลูกนั่นแหละ แต่เรื่องนี้พ่อเห็นด้วยกับเกวนะ ทำไมล่ะแม่พุดกรอง ทำไมเธอถึงไม่ให้พวกเราไปแจ้งความ ให้ตำรวจเข้ามาช่วยเหลือน่ะดีแล้ว ให้เค้าช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องนี้เธอก็จะได้หมดหนี้ พวกเราเองก็จะได้ไม่ต้องคอยหวาดผวาด้วย”
นายพงษ์ศักดิ์พูดบอกออกมาตามที่ตนเองคิดเอาไว้ และเค้าเองก็คิดว่าวิธีที่นภดลเสนอมาถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“ไม่! ไม่! วิธีที่ตานภเสนอมามันเหมือนกับเป็นการทำให้ฉันตายเร็วขึ้นน่ะสิไม่ว่า พวกมันขู่ว่าถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูตำรวจขึ้นมาละก็ฉันต้องตายสถานเดียวเท่านั้น ยังไงฉันก็ไม่ยอมตายหรอกนะจะบอกให้”
พูดจบนางพุดกรองก็หยันกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินกะเผลกๆ พาร่างสะบักสะบอมของตนเองเดินขึ้นไปบนห้องของตนเองทันที โดยไม่หันมามองสายตาของคนในบ้านที่มองตามอย่างเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนางเต็มทน
“ดูสิคะแม่ น้าพุดกรองไม่ฟังพวกเราเลย ทั้งๆ ที่วิธีนี้มันเป็นวิธีที่น่าจะโอเคแล้วนะคะ กลัวซะขนาดนี้แล้วยังจะสร้างหนี้ขึ้นมาอีกทำไมก็ไม่รู้”
เกวลินพูดออกมาอย่างหัวเสีย ไม่เข้าใจน้องสาวของแม่คนนี้เลยว่าเมื่อมีทางออกที่ดีรออยู่ตรงหน้าแล้วทำไมนางจึงไม่เลือก
“ยังไงน้าแก้วลองไปพูดกับน้าพุดกรองดูอีกทีนะครับ ผมว่าเรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเขาอาจจะช่วยเราได้นะครับ” นภดลพูดบอกออกมาอย่างมั่นใจ
“จ้ะ...แล้วยังไงน้าจะลองพูดกับพุดกรองเค้าอีกครั้ง เอ้อ... แล้วนี้ทานข้าวมาหรือยังล่ะนี่ พวกน้ากำลังทานข้าวกันอยู่เลย ยังไงทานข้าวด้วยกันก่อนสิแล้วค่อยไปส่งยัยเกวที่ผับ”
“เดี๋ยวเกวเอาแกงจืดไปอุ่นใหม่ก่อนนะคะ ป่านนี้เย็นหมดแล้ว”
พูดจบเกวลินก็เดินไปที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง แล้วจัดแจงยกชามแกงจืดเข้าครัวเพื่อไปอุ่นให้ร้อนจัดก่อนที่จะเดินกลับมาพร้อมกับแกงจืดที่นำไปอุ่นใหม่กลับมาด้วย
แล้วทั้งสี่ก็ลงมือทานอาหารกันใหม่อีกครั้ง โดยมีสายตาของนางพุดกรองที่มองลงมาด้วยความเคียดแค้นกับความอบอุ่นของครอบครัวของพี่สาว ซึ่งแตกต่างกับครอบครัวของนางที่พังพินาศลงอย่างสิ้นเชิง