02 -ความลับ

1505 คำ
หลังจากที่ได้ล้างหน้าล้างตา เช็ดเนื้อเช็ดตัวเรียบร้อยแล้ว อาหารเช้าก็มาเสิร์ฟพร้อมกับยาที่ต้องทาน หญิงสาวมองดูข้าวต้มในถ้วยด้วยสายตาที่ไม่ถูกใจนัก แม้หน้าตาจะดูน่ากิน แต่เมื่อได้ลองตักชิมไปหนึ่งคำแล้วก็พบว่ารสชาติมันจืดชืดเสียจนตักกินอีกคำไม่ไหว “กินเยอะๆ สิ ไม่รีบกินเดี๋ยวแขกมาเยี่ยมก็ไม่ได้กินกันพอดี” คุณนายหยาดเพชรบอกกับลูกสาว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หยาดฟ้านึกอยากกินข้าวต้มในถ้วยขึ้นมา เธอผลักถาดข้าวออกก่อนจะเอนตัวกลับลงไปนั่งกึ่งนอนพิงหมอนใบใหญ่บนหัวเตียง “จืดชืดขนาดนี้ใครจะไปกินลง” คนบนเตียงพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าผู้เป็นมารดาเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง พร้อมกับจ้องมองเธอกึ่งบังคับให้กินอาหารเช้าต่อ “อาหารคนป่วยก็แบบนี้แหละ แกเป็นหมอก็น่าจะรู้ดีนี่” คนเป็นแม่ย้อนว่าลูกสาว คนถูกว่าถอนหายใจก่อนจะหันมองคนพูด เธอเองก็ไม่รู้หรอก ว่าทำไมคนถึงได้เข้าใจกันแบบนั้น คำว่าอาหารอ่อน อาหารรสไม่จัด ไม่ได้หมายความว่าจะต้องจืดขนาดนี้สักหน่อย “หนูขาหักนะแม่ ไม่ได้ผ่าตัดกระเพาะ หรือทำอะไรที่ต้องกินข้าวจืดขนาดนี้น่ะ มันจืดจนกินไม่ลง” ลูกสาวจอมเถียงก็เถียงอย่างไม่ยอมเช่นเคย แม้ว่าเธอจะเจ็บสักแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยลืมที่จะเถียงคนเป็นแม่เลย “เรื่องมากจริงๆ เลยเด็กคนนี้ ไม่กินก็อย่ามาร่ำร้องว่าหิวทีหลังก็แล้วกัน เดี๋ยวบ้านคุณสิทธราจะมาเยี่ยมนะ เห็นว่าสายๆ จะเข้ามา คงอีกสักพัก” สิทธราคือพ่อของหมอสิบทิศ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และเป็นประธานกรรมการของโรงพยาบาลแห่งนี้ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่หยาดฟ้าถูกส่งเข้ามารักษาตัวเมื่อคืนนี้ เดิมทีนั้นโรงพยาบาลนี้ ถือเป็นคู่แข่งของโรงพยาบาลที่ครอบครัวของหยาดฟ้าเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ แต่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา บ้านของเธอมองครอบครัวของสิทธราเปลี่ยนไป ทั้งยังพยายามยัดเยียดเธอให้แต่งงานกับลูกชายของบ้านนั้นอีก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ได้เกลียดกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดว่าจะอยากเป็นทองแผ่นเดียวกันขนาดนี้ ถึงเวลาเข้าเยี่ยมครอบครัวของสิทธรา ประกอบด้วยเขาและคุณภัครไมยภรรยา ก็เข้ามาในห้องพักผู้ป่วยพร้อมกับกระเช้าผลไม้ ซึ่งถือเป็นภาพเบสิคที่สามารถเห็นได้ทั่วๆ ไปในพาร์ทของการเข้าเยี่ยมคนป่วย “สวัสดีค่ะคุณอา” เมื่อเธอเห็นผู้ใหญ่ทั้งสอง ก็รีบยกมือไหว้ทักทายทันทีแขกผู้มาเยือนทั้งสองคนต่างก็ยกมือรับไหว้เด็กสาว กระเช้าผลไม้ถูกส่งให้กับคุณนายหยาดเพชร ก่อนที่แขกทั้งสองจะพากันมายืนดูคนที่เจ็บข้างเตียง “เป็นยังไงบ้างหนูหยาด แม่ก็เพิ่งรู้เรื่องเมื่อเช้านี้เอง ตาสิบก็จริงๆ เลยแทนที่จะบอกกันสักหน่อย ถ้าไม่รู้เรื่องจากคุณเพชรละก็แม่ไม่รู้เรื่องนี้เลยนะเนี่ย” ภัครไมยต่อว่าลูกชาย หยาดฟ้าคิดว่าสิบทิศไม่บอกพ่อแม่ของเขาก็ถูกแล้ว เพราะเท่าที่จำได้อุบัติเหตุครั้งนี้น่าจะเกิดขึ้นในเวลากลางดึก ซึ่งถึงโทรไปบอกก็คงจะเป็นการรบกวนกันเสียมากกว่า อีกอย่างถ้าแห่กันมาตั้งแต่ตอนนั้น ก็ได้รู้กันทั่วแน่ว่า หมอหยาดทำเรื่องงามหน้า เมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ ถึงจะไม่ได้ชนกับใคร แต่ก็ยังต้องไปเคลียร์เรื่องเสาไฟฟ้าเงียบๆ อยู่ดี “ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ขาหัก เท่าที่สำรวจดูอาการตัวเอง คิดว่าอวัยวะภายในก็ไม่น่าจะได้รับบาดเจ็บอะไรด้วย หยาดคาดเข็มขัดนิรภัย แล้วก็มีเซฟตี้พอสมควรค่ะ” หญิงสาวบอกกับคนถาม ผู้ใหญ่ทั้งคู่ต่างพยักหน้ารับ “แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไปชนเสาไฟฟ้าได้ล่ะ” คำถามที่หยาดฟ้ากังวลมากที่สุดที่จะต้องถูกถามแน่ๆ ถูกเอ่ยออกมาจากปากของสิทธรา แต่หญิงสาวก็เตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว หวังเพียงแต่ว่าสิบทิศจะไม่ปากโป้งก็เท่านั้น “หลับในค่ะ ตอนที่ชนดึกมากแล้ว หยาดยังกลับไม่ถึงบ้าน” เธอพูดพลางเหลือบมองปฏิกิริยาของคนฟัง ว่าจะเชื่อหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครติดใจอะไรในคำแก้ตัวของเธอเลย เพราะมันก็ดูเป็นไปได้ ที่หมอจะเกิดอาการวูบ หรือหลับในระหว่างขับรถกลับดึกๆ ดื่นๆ “ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วล่ะ แล้วนี่ตาสิบมาดูบ้างหรือยัง” ภัครไมยเอ่ยถาม เพราะรู้ว่าลูกชายเข้าเวรอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน “มาตั้งแต่เมื่อคืนค่ะ ตอนนั้นยายหยาดยังไม่ได้สติเลย มาดูตั้งหลายรอบ แต่เช้านี้ยังไม่เห็น สงสัยจะกลับบ้านไปแล้ว” คุณนายหยาดเพชรเสริมขึ้น เพราะตอนที่หมอสิบทิศเข้าๆ ออกๆ ห้องนี้ตอนนั้นลูกสาวตัวดีของเธอยังไม่ฟื้นเลย โชคดีที่กลิ่นแอลกอฮอล์บนตัวมันจางไปเสียก่อนที่คุณนายหยาดเพชรจะมาถึง ไม่อย่างนั้นคงมีซีนปลุกลูกสาวขึ้นมาด่ากลางห้องฉุกเฉินแน่นอน “เช้าก็น่าจะมาดูกันสักหน่อย ตาสิบนี่จริงๆ เลย” ผู้เป็นมารดาว่าตำหนิลูกชาย พูดคุยกันอยู่ไม่นาน ทั้งคู่ก็พากันกลับไป เพราะสิทธราต้องไปทำงานต่อ อันที่จริงเขาก็ตั้งใจมาตามมารยาท เพราะรู้ดีว่าคนเจ็บอยากจะมีเวลาพักผ่อน จึงไม่อยากอยู่รบกวนนานๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณขาเดี้ยง” ขณะที่หยาดฟ้ากำลังไล่อ่านข้อความจากโทรศัพท์ เสียงของใครบางคนก็ทำให้เธอต้องละสายตาจากหน้าจอ นั่นก็เพราะเขาคือคนที่เธอรออยู่ตลอดทั้งเช้าเลยน่ะสิ “ปากเหรอที่พูดน่ะ หมอที่นี่เขาทักทายคนไข้กันแบบนี้หรือไง” หยาดฟ้าสวนกลับเขาอย่างทันที คนตัวสูงในชุดกาวสีขาวยักไหล่ ก่อนจะเดินเข้าไปลากเก้าอี้มานั่งที่ข้างเตียง ตอนนี้คุณนายหยาดเพชรเพิ่งจะออกจากห้องไปได้ไม่นาน สิบทิศรอจังหวะนี้อยู่ก่อนแล้ว จังหวะที่จะได้พูดคุยกับหยาดฟ้าตามลำพัง เรื่องที่เธอเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ขึ้น “เข้าเรื่องเลยนะไม่อ้อมค้อม เพราะไม่อยากจะคุยตอนคุณน้าอยู่” พอเขาพูดขึ้นมาแบบนี้ หยาดฟ้าก็เข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องอะไร “ว่ามาสิ” เธอขยับตัวนั่งในท่าที่สบายขึ้น พร้อมกับตั้งใจฟังอีกฝ่าย “ปกติแล้วฉันไม่ใช่คนชอบพูดโกหก แต่เรื่องนี้จะยอมโกหกทุกคนให้” หมอสิบทิศเกริ่นตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม เขารู้ว่าหยาดฟ้าต้องการอะไร “อืม...แกจะบอกใครก็ได้ ฉันขอแค่คนในครอบครัวฉัน แล้วก็ใครที่อาจจะเอาเรื่องไปบอกกับครอบครัวฉันแค่นั้นแหละ” หญิงสาวไม่อยากติดค้างบุญคุณกับเขาให้มันมากนัก จึงเสนอไปอย่างนั้น “ฉันจะไม่บอกกับใครทั้งนั้น ว่าแกเมาแล้วขับ จนชนเสาไฟฟ้า” สิบทิศพูดเน้นน้ำเสียง จนคนฟังนิ่งไป “แต่ขอให้มันเป็นครั้งสุดท้ายที่จะทำแบบนี้ คนเรามันไม่โชคดีไปหมดทุกครั้งหรอกนะ ครั้งนี้ถือว่าแกโชคดีมากที่ไม่ได้ชนใคร ไม่มีคู่กรณี แล้วก็ไม่ได้เจ็บหนัก และฉันจะช่วยแกปิดเรื่องนี้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว” พูดจบเขาก็หิ้วถุงข้าวต้มที่ออกไปซื้อจากร้านอาหารตามสั่งหน้าโรงพยาบาลเอาไปใส่ถ้วย แล้วเลื่อนโต๊ะสำหรับทานอาหารมาวางให้กับคนเจ็บ “กินซะ ฉันรู้ว่าอาหารคนป่วยจืด คนอย่างแกคงไม่ยอมกินหรอก บ่ายนี้ก็น่าจะได้ออกแล้ว แต่กว่าจะทำเรื่องเสร็จ ถ้าไม่กินอะไรเลยเดี๋ยวจะหิวแย่” พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้หยาดฟ้าก้มมองถ้วยข้าวต้มด้วยความงุนงง ‘โอกาสดีดีแบบนี้ ทำไมไอ้สิบมันไม่แกล้งเรานะ ถ้ามันบอกเรื่องนี้กับแม่ แม่จะต้องด่าเรายับแน่เลย ไหนจะข้าวต้มนี่อีก รู้ได้ยังไงว่าเราไม่กินของโรงพยาบาล’ เธอคิดอยู่สักพักก็เริ่มตักข้าวต้มใส่ปาก รสชาติมันต่างจากของโรงพยาบาลจริงๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม