๑๘
"...ป้าแก๋น กัลยา" น้ำเสียงคุ้นเคยที่เอ่ยเรียกใครสักคนส่งผลให้คนที่นั่งยองๆ ในสวนผัก จนอาจจะไม่มีใครพบเห็นหันไปมองที่ต้นเสียง พบคนที่พาเธอมาที่นี่ ซึ่งในมือถือตะกร้าหวายเดินเข้าไปผู้หญิงสองคน คนหนึ่งดูมีอายุบ้างแล้ว ส่วนอีกคนก็เหมือนจะรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ
"คะ คุณภาส ยังไม่กลับเหรอคะ"
"ผมพาเมียมาดูสวนผักน่ะ บังเอิญว่าได้ยินในสิ่งที่ป้าแก๋นกับลูกสาวคุยกันพอดี ...น้ำ มาหาพี่หน่อยสิ" เสียงเรียกชื่อเธอส่งผลให้คนตัวเล็กสะดุ้งโหยง เธอลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก พอมองเลยไปที่ผู้หญิงสองคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย พบว่า สองคนนั้นหน้าซีดขึ้นมาทันที
"น้ำเก็บมะเขือเทศอยู่น่ะค่ะ เห็นว่ามันสุกเต็มที่แล้ว"
"พี่ไม่ได้ว่าอะไร เอามาใส่ตะกร้าสิ" คนตัวเล็กยอมเดินเข้าไปหาชายหนุ่มตรงหน้า วางมะเขือเทศในมือใส่ลงไปในตะกร้าอย่างว่าง่าย
"นี่ป้าแก๋น ส่วนนี่กัลยาลูกสาวป้าแก๋น"
"สวัสดีค่ะ" น้ำใจยกมือไหว้ ป้าแก๋น ที่ชายหนุ่มแนะนำให้รู้จัก
"ยะ อย่ายกมือไหว้ป้าเลยค่ะ ป้าเป็นแค่ลูกจ้างของคุณภาสค่ะ"
"น้ำยกมือไหว้เพราะป้าเป็นผู้ใหญ่ค่ะ" ประภาสคลี่ยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ก่อนที่เขาจะขยับตัวไปยืนเคียงข้างผู้ที่เป็นภรรยา
"ระ เรียกหนูว่ากันเฉยๆ ก็ได้นะคะ หนูชื่อกันค่ะ" เจ้าของคำพูดยิ้มแห้งๆ พลางรวบแขนแม่เข้ามากอดเอาไว้แน่น
"เมื่อกี้พี่ได้ยินสิ่งที่ป้าแก๋นและลูกสาวคุยกัน น้ำเองก็ได้ยินใช่ไหม"
"ป้าขอโทษนะคะ ป้าและลูกสาวไม่ได้มีเจตนาที่จะนินทาเจ้านายค่ะ ป้าขอโทษนะคะ"
"พี่ภาสคะ..." ชายหนุ่มข้างกายหยุดคำพูดของเธอด้วยการยกแขนขึ้นมาโอบที่บ่าของเธอเอาไว้หลวมๆ น้ำใจชะงักกึกทันที รู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำมันหมายความว่ายังไง
"สิ่งที่ผมต้องการก็คือคำขอโทษให้เมียผมนั่นแหละครับ กันเองก็ควรขอโทษเมียผมนะ"
"กันขอโทษค่ะคุณภาส ขอโทษคุณน้ำด้วยค่ะ"
"ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องยกมือไหว้น้ำก็ได้"
"เมียผมเธอใจดีนะครับ สิ่งที่ป้าแก๋นและกันคุยกัน ผมมั่นใจว่าเมียผมได้ยินทุกอย่าง แต่เธอเลือกที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่คิดที่จะตอบโต้อะไรเลย"
สองแม่ลูกหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก รู้ว่าการพูดถึงใครสักคน หรือที่เรียกว่านินทาสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพียงแต่ชายหนุ่มรู้สึกไม่ชอบใจ
"ป้าและลูกสาวรู้จักอดีตคนรักของผม รู้กันอยู่แล้วใช่ไหมว่าในกรณีของเธอ หากได้ยินแบบนี้เธอไม่ได้เลือกที่จะอยู่เฉยๆ ซ้ำยังโวยวายและจะเอาเรื่องให้ได้ แต่ป้าและลูกสาวคงเห็นแล้วว่าน้ำกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีอะไรเหมือนกัน ขอร้องว่าอย่าเอาเมียผมไปเปรียบเทียบกับใคร หรือแม้อะไรเก่าๆ ก็ตาม"
"ป้าขอโทษคุณๆ ด้วยนะคะ"
"ผมให้อภัยอยู่แล้วครับ แต่ขอร้องนะครับ คราวหลังอย่าพูดถึงเมียผมแบบนี้อีก เธอไม่ได้ไปทำร้ายใคร ไม่ควรมีใครมาคิดหรือพูดถึงเธอในมุมมองร้ายๆ ที่คิดกันไปเองเช่นกัน"
"น้ำไม่เป็นอะไรเลยนะคะ เขาแค่พูดถึงเพราะกลัวว่าน้ำจะทำร้ายพี่ภาส"
"พี่แค่ปกป้องเมียพี่เท่านั้น พี่ไม่ชอบที่ใครต้องพูดถึงเธอและเอาเธอไปเปรียบเทียบกับใคร เก็บมะม่วงต่อไหม กำลังแก่เต็มที่รสชาติจะดีมาก" คนตัวเล็กพยักหน้าเบาๆ มองคนตัวโตที่เก็บมะม่วงใส่ลงมาในตะกร้าแบบที่พูด
"พี่ภาสเคยมีคนรักมาก่อนเหรอคะ" ประภาสชะงักทันทีที่ถูกถาม บ่อยครั้งที่เขาเคยฝันถึงเรื่องเลวร้ายในอดีต ไม่เคยลืมด้วยว่า เขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกนั้นมานานแค่ไหน
"เขาแค่ทนอยู่กับความลำบากไม่ได้ ไม่ชอบสายลม ไม่ชอบแสงแดด ไม่ชอบความร้อน ไม่ชอบกลิ่นโคลน เขาก็เลยเลือกที่จะทิ้งพี่ไป"
"ถ้าพี่ภาสรักเธอ ทำไมไม่เลือกที่จะไปใช้ชีวิตกับเธอที่กรุงเทพฯ ละคะ"
"เขารู้เหตุผลของพี่ดีว่าทำไมพี่ถึงเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่ คนสุขภาพไม่ดี แค่อยากอยู่ในที่ที่สงบ อยู่ในระแวกที่มีแต่พื้นที่ของตัวเองเท่านั้น นี่คือเรื่องที่สำคัญ แต่เขาไม่แคร์ น้ำว่าพี่ควรแคร์คนที่สนใจตัวเองมากกว่าความเจ็บความตายของตัวพี่เหรอ"
"น้ำขอโทษที่ถามถึงนะคะ น้ำแค่อยากรู้"
"ไม่เป็นไร แค่น้ำรู้ และอย่าทิ้งพี่ไปเหมือนเขาก็พอ" รอยยิ้มที่เหมือนจะอบอุ่น และถูกแฝงไปด้วยคำว่าขอร้องทำให้คนตัวเล็กพยักหน้าเบาๆ มันมีไม่กี่คนที่มองว่าเธอสำคัญ มีไม่กี่คนที่อยากให้เธออยู่ด้วยแบบอยากให้อยู่จริงๆ
"น้ำฟังเรื่องของพี่เยอะเกินไปแล้วนะ ไม่คิดจะเล่าเรื่องของตัวเองให้พี่ฟังบ้างเหรอ"
"...น้ำเล่นกีฬาเก่งค่ะ เป็นมือตบของทีมวอลเลย์บอลของมหา'ลัย" ว่าไปพลางนั่งยองๆ ลงเก็บมะม่วงที่ความเตี้ยของต้นส่งผลให้ลูกโตๆ แนบกับพื้นดิน
"เรื่องเล่นกีฬาเก่งนี่นะที่อยากเล่าให้พี่ฟัง"
"มันเป็นความภูมิใจไงคะ เวลาที่ทีมเราลงแข่ง เสียงเชียร์น้ำจะดังมากเลยแหละ มันทำให้น้ำรู้สึกว่าน้ำสำคัญ และความรู้สึกนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เลย"
"ถ้าเล่นวอลเลย์บอลเก่ง หมายความว่าต้องเคยซ้อมและฝึกมานานมากน่ะสิ"
"ประมาณนั้นเลยค่ะ"
"แล้วเคยรับบอลไม่ทันจนบอลกระแทกมาโดนหัวเล็กๆ นี่หรือเปล่า" ว่าไปพลางขยับนิ้วมาจิ้มเบาๆ ที่ศีรษะทุยเล็ก
"ไม่มีหรอกค่ะ รู้ว่ารับไม่ทันเราก็ต้องหลีกเลี่ยง ปล่อยให้บอลตกดีกว่ายอมเจ็บค่ะ"
"ทฤษฎีนี้เจ๋งมาก น้ำควรนำไปใช้กับทุกเรื่องนะ อะไรที่หนักจนรับไม่ไหวก็ห้ามรับ รู้ว่าถ้าพยายามแบกมันหนักก็อย่าแบก พี่อยากเห็นความสดใสของเรา อยากเห็นเรามีความสุขจริงๆ สักที" จากคำพูดที่เหมือนพูดกันเล่นพอกลับกลายเป็นจริงจังดวงตากลมๆ ที่จ้องมองที่ลูกมะม่วงหันมองเสี้ยวใบหน้าคมคาย เป็นจังหวะที่เขาหันมามองที่เธอเช่นกัน
"เรื่องครอบครัวของน้ำ พี่รู้ทุกอย่างหมดแล้วนะ สาเหตุที่พี่ไม่เคยเห็นน้ำจับโทรศัพท์เลย ความจริงแล้วน้ำอาจจะหวังที่จะปิดตายเลือกที่จะไม่รับรู้อะไรจากฝั่งนั้น น้ำอาจจะน้อยใจที่มารู้ในตอนหลังแล้วคิดว่าตัวเองไร้ค่า พอคิดถึงมารดาที่ให้กำเนิด ก็ไม่รู้ว่าหน้าตาหรือแม้กระทั่งว่าตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน ยังอยู่บนโลกแบบที่คิดไหม หรือแม้กระทั่งคิดไปว่าพ่อของน้ำเป็นใคร หากแม้ในตอนนี้น้ำกำลังรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีใคร พี่อยากให้น้ำจำไว้ น้ำยังมีพี่นะ ถึงแม้เราจะเพิ่งรู้จักกัน แต่ให้มั่นใจว่าพี่ไม่มีวันทำร้ายคนตัวเล็กๆ แบบเธอ" น้ำตาเม็ดโตปริ่มออกมาจากดวงตากลมโตอย่างห้ามไม่ได้ น้ำใจพยายามที่จะฝืนยิ้ม บอกตรงๆ ว่าเธอรู้สึกดีกับคำพูดแบบนี้มาก ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจากคนแปลกหน้าที่รู้จักกัน แต่ทันทีที่เขาปัดมือของตัวเอง เสมือนเป็นการทำความสะอาดก่อนจะวางหมับบนศีรษะเธอพลางโยกไปมาเบาๆ ความอ่อนโยนของเขามันยิ่งช่วยให้เธอรู้สึกดี
"ขี้แยเหมือนกันนะเรา แต่พี่หวังนะว่าสักวัน หากในวันที่น้ำอ่อนแอ พี่จะสามารถโอบกอดเราได้ โดยที่เราเต็มใจให้พี่กอด หวังว่าพี่จะเช็ดน้ำตาให้เราได้ โดยที่เราไม่ปัดมือพี่ออก หวังว่าสักวันน้ำจะมองเห็นความจริงใจ และเปิดใจให้พี่อย่างเต็มใจ" รอยยิ้มอบอุ่นส่งต่อมาให้ ส่งผลให้คนตัวเล็กที่ความจริงแล้วกำลังเก็บกักความรู้สึกของอะไรต่อมิอะไรมาหลายอย่าง เลือกที่พยักหน้าตอบรับและยิ้มกว้างออกมา