สวมรอย/4

2089 คำ
“ตื่นแล้วรึ!” รับสั่งถามกลับไป หญิงสาวมองฮ่องเต้แคว้นฉู่ตั้งแต่พระเศียรจรดปลายพระบาท ซึ่งฉลองพระองค์โทนดำสลับแดงเพราะเสด็จเป็นการส่วนพระองค์ พระเกศาเกล้ามวยขึ้นสูงพร้อมครอบรัดเกล้าเสียบปิ่นหยก “คอสตูมเรื่องนี้เข้าท่าแฮะ ออกแบบเสื้อผ้าตัวละครได้เป็นธรรมชาติและเหมือนจริงมากเลย ท่าทางคงจะมารับบทเป็นตัวละครในซีรีส์ที่ฉันกำลังเล่นอยู่กระมัง” หญิงสาวมัวนั่งคิดอยู่ในใจเพลินๆ จนหลงลืมเอ่ยตอบกลับไป “เจ้าได้ยินที่ข้าถามหรือไม่” ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งถามย้ำกลับไปอีกคราเมื่อสตรีตรงหน้าพระพักตร์ยังคงเงียบงันมิยอมตอบคำถามของพระองค์ และนั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวขึ้นมาทันที “อะ... อือ!” เฉินวาวาส่งเสียงตอบรับอยู่ในลำคอพร้อมพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน ดวงตากลมโตมองฮ่องเต้แคว้นฉู่ด้วยความสงสัยระคนแปลกใจอย่างยิ่งยวด พระพักตร์ยกยิ้มออกมาบางๆ เมื่อทอดพระเนตรกิริยาตอบกลับมาเช่นนั้น “เจ้าหลับไปหนึ่งวันกับอีกสองคืนเลยทีเดียว ดีที่ปลอดภัยมิได้เป็นอะไรนอกจากพิษที่ยังค้างอยู่ในกายของเจ้า คงจะต้องใช้เวลาในการขับพิษนั้นออกไปสักระยะ” รับสั่งถึงรอยไฟอัคคีที่หญิงสาวได้รับตามคำกราบทูลของหมอหลวงที่เข้ามาทำการรักษาและตรวจอาการให้กับหญิงสาว “พิษเหรอ!” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยความงุนงง ไฟอัคคีที่สถิตอยู่ในกายของเฉินวาวาได้พำนักอยู่ในร่างของเธอได้มาระยะหนึ่งแล้ว เส้นเลือดสีแดงเข้มที่กระจายอยู่ทั่วใบหน้าและลำคอเริ่มลดลงและไม่เข้มเหมือนดั่งคราแรก รูปลักษณะดั่งเช่นคนถูกพิษร้ายแรง ชีพจรแปรปรวนเต้นไม่สม่ำเสมอ ไอเย็นในกายแผ่ซ่านความเป็นหยางในกายลดระดับระดับลง ไอมารแฝงเร้นอยู่ในกายและแสดงผลราวกับว่าถูกพิษมานั่นเอง เฉินวาวายกมือขึ้นจับขมับของเธอทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ยิ่งฟังยิ่งงงมากขึ้นเรื่อยๆ “หรือว่าเขากำลังซ้อมบทละครกับเราอยู่ แต่ในบทละครมันไม่มีบทพูดแบบนี้เลยนะ ผู้กำกับเกาปรับบทอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ แล้วจะต่อบทยังไงดีล่ะถ้าเป็นแบบนี้เฉินวาวาเอ๋ยเฉินวาวา แย่แล้วงานนี้” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจพร้อมตัดสินใจต่อบทแบบคิดเอาเองนอกบทตลอดตามลักษณะนิสัยที่เธอชอบทำเสมอ “อะ...เออ... ข้าน้อยโดนพิษมาดั่งเช่นท่านกล่าวจริงแท้คุณชาย...” หญิงสาวยังมิทันกล่าวจบเสียงราชองครักษ์ลู่เหอดังแทรกขึ้นมาทันที “บังอาจ! ใช้ถ้อยคำสามัญชนกับองค์ฮ่องเต้ได้อย่างไรกัน! พูดใหม่!” องครักษ์ลู่เหอตวาดเสียงเอ็ดอึงเล่นเอาเฉินวาวาสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันที หากแต่เพียงครู่ความบ้าเลือดก็วิ่งพล่านขึ้นมาทันใด “แล้วใครจะไปตรัสรู้ได้เล่าว่าเป็นฮ่องเต้! ทำไม... ฮ่องเต้ไม่ใช่คนหรือไง... ตายไม่เป็นหรือไง... ข้าวน่ะกินไหม... หรือกินหญ้าแทนข้าว! ไอ้คนบ้าเอ้ย!” หญิงสาวต่อว่ากลับไปทันทีท่ามกลางความงุนงงของอีกฝ่ายเพราะฟังเธอไม่รู้เรื่องนั่นเองในขณะที่องครักษ์ลู่เหอจะอ้าปากโต้ตอบ พระหัตถ์ขององค์ฮ่องเต้ทรงยกขึ้นเป็นสัญญาณห้ามให้สงบศึกพร้อมทอดสายพระเนตรปรามองครักษ์คนสนิทของพระองค์เขม็ง “อย่าเรื่องมากเดี๋ยวเสียแผนหมด!” รับสั่งลอดไรพระทนต์ และนั่นทำให้ลู่เหอสงบปากสงบคำของตนทันที ชิงอวิ้นฮ่องเต้ทรงยืนทอดพระเนตรใบหน้าที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดแผ่ซ่านเพราะรอยไฟอัคคีกระจายทั่วใบหน้าด้านขวา ในขณะที่ด้านซ้ายปรากฏให้เห็นเลือนราง ถึงกระนั้นยังเลื้อยขึ้นดั่งเถาวัลย์ป่า แต่หากเพ่งพิศนานๆ สตรีตรงหน้าพระพักตร์มีเค้าความงามดั่งเช่นสตรีอื่นอยู่บ้าง “เจ้าจำอะไรได้หรือไม่ เหตุใดจึงไปนอนหมดสติที่เขตชายแดนเช่นนั้น ดีที่ขบวนเจ้าสาวเดินทางมาทางนี้และตั้งค่ายพักแรมอยู่ใกล้ๆ หาไม่แล้วเจ้าคงจะถูกเสือคาบไปเป็นอาหารเสียแล้วกระมัง” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้ หญิงสาวนั่งฟังผู้ชายแปลกหน้าซึ่งเธอเห็นเป็นคนแรกนับตั้งแต่เกิดเรื่อง ไม่นับบุรุษดวงตาสีเลือดเพราะเฉินวาวาไม่นับว่าเป็นคนแต่เธอคิดเสมอว่าคนผู้นั้นมิใช่มนุษย์ “อะ... เออ... ถามแบบนี้จะตอบยังไงดี... เพราะฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เริ่มจะงงแล้วเหมือนกัน... ว่าแต่ที่นี่คือที่ไหน แล้วผู้กำกับเกาไปไหน... ละ... แล้วนี่คือหนึ่งในฉากในโรงถ่ายเหิงเตี้ยนใช่ไหม ถ้ายังไงคุณช่วยตามผู้จัดการส่วนตัวของฉันที่ชื่ออู๋ชิงเหยียนมาให้หน่อยเถอะค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไป เป็นเหตุให้ชิงอวิ้นฮ่องเต้พร้อมองครักษ์ที่ฟังอยู่ในขณะนั้นต่างพากันงุนงงด้วยมิอาจฟังนางรู้เรื่องแม้แต่น้อย “เจ้ากล่าวสิ่งใด เหตุใดจึงฟังมิรู้เรื่องแม้แต่น้อย ตกลงเจ้าเป็นคนแคว้นใดจึงมานอนหมดสติอยู่บริเวณนี้ แล้วถ้อยเจรจาของเจ้าแลดูประหลาดชอบกลนัก แคว้นของเจ้าใช้คำพูดเอ่ยถามกันเช่นนี้หรอกรึ” ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งถามกลับไป และนั่นทำให้เฉินวาวานั่งนิ่งงันไปโดยพลัน ครั้นได้ยินเช่นนั้น “เป็นเรื่องแล้ว ตกลงฉันกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่ ถ้าไม่ใช่ในโรงถ่ายที่เหิงเตี้ยนแล้วเรากำลังอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจก่อนจะเหลือบไปเห็นใบหน้าของตัวเองสะท้อนอยู่ในกระจกที่ทำมาจากสัมฤทธิ์นำมาขัดจนขึ้นมันเงาจนสามารถสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจน “ว้ายยยย! ผี! ผีหลอก! Help me!!!” หญิงสาวร้องตะโกนโวยวายส่งเสียงขอความช่วยเหลือจนเสียงหลงไปหมด พลางยกผ้าห่มคลุมโปงทันทีพร้อมชี้มือไปทางกระจกสัมฤทธิ์ดังกล่าว ฮ่องเต้หนุ่มถึงกับพระขนงขมวดเข้าหากันโดยพลัน เมื่อได้ยินถ้อยคำแปลกประหลาดหลุดออกขากปากสตรีแปลกหน้า พลางหันกลับไปทอดพระเนตรกระจกสัมฤทธิ์ที่วางอยู่ใกล้ๆ เตียงนอนของหญิงสาว ก่อนจะส่งสัญญาณให้องครักษ์จัดการกับเฉินวาวาเพื่อให้นางกลับมาสนทนากับพระองค์ตามเดิม องครักษ์ลู่เหอตรงปรี่เข้าไปดึงผ้าห่มที่หญิงสาวกำลังคลุมโปงอยู่ในเวลานั้นออกจากร่างของเธอทันที “พรึ่บ!” ผ้าห่มถูกดึงออกอย่างรวดเร็วก่อนจะถูกเหวี่ยงไปทิศทางอื่นๆ องครักษ์ลู่เหอหันหลังกลับไปคว้ากระจกสัมฤทธิ์พร้อมยัดใส่มือของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว “แม่นาง เจ้าจงดูรูปโฉมของเจ้าก่อนดีกว่าไหม มาร้องโวยวายเห็นผีกลางวันแสกๆ เช่นนี้จนดังเอ็ดอึงไปทั่ว องค์หญิงชิวหรงทรงประชวรอยู่ เกิดตกพระทัยขึ้นมามีพระอาการทรุดลงเจ้าจะรับผิดชอบไหวกระนั้นรึ” เฉินวาวาที่กำลังนั่งหลับตาปี๋อยู่ในขณะนั้นค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาทันใดเมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวก้มลงมองกระจกสัมฤทธิ์ที่ถูกจับยัดใส่ไว้ในมือเมื่อครู่ที่ผ่านมา ก่อนจะค่อยๆ ยกขึ้นช้าๆ เพื่อส่องใบหน้าของตัวเอง ครั้นกระจกสัมฤทธิ์อยู่ตรงหน้ากำลังสะท้อนรูปโฉมของเธอให้เห็นอย่างชัดเจน ดวงตากลมโตถึงกับเบิกค้างด้วยความตกใจอย่างสุดขีด เมื่อใบหน้าซีกขวาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงเข้มแผ่ขยายเต็มไปหมด ไล่มาจนถึงลำคอ แม้กระทั่งมือเรียวที่กำลังถือกระจกอยู่ก็ไม่เว้น “กรี๊ดดดดดดด!!!” หญิงสาวกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงต่อหน้าพระพักตร์ของชิงอวิ้นฮ่องเต้ “หน้าฉัน! ทำไมถึงเป็นแบบนี้! ที่คอก็มีด้วย... ที่แขนก็มี... มีเต็มไปหมดเล้ยยยย... อร้ายยยยย” หญิงสาวกรีดร้องออกมาอีกเป็นคำรบสอง เสื้อผ้าที่ถูกนำมาเปลี่ยนแทนชุดเจ้าสาวถูกเฉินวาวาปลดออกอย่างรวดเร็วเพื่อดูรอยไฟอัคคีซึ่งลามเลียไปทั่วร่าง ท่ามกลางอาการตกตะลึงของฮ่องเต้หนุ่มที่จู่ๆ ก็มีสตรีมาปลดอาภรณ์ต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้ เล่นเอาพระองค์พร้อมองครักษ์คนสนิทหันหลังกลับแทบไม่ทัน “แม่นางเจ้าจะปลดเสื้อผ้าต่อหน้าบุรุษเช่นนี้มิอายบ้างหรือไร” รับสั่งถามกลับไป “ไม่อาย!” เฉินวาวาตวาดสวนกลับไป “ช่างเป็นหญิงไร้ยางอายสิ้นดี! ฝ่าบาททรงแน่พระทัยอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ว่าจะให้นางทำงานใหญ่แทนองค์หญิง กระหม่อมคิดว่าแลดูไม่เข้าท่าแม้แต่น้อย นางไม่มีอะไรดีสักอย่าง ทั้งรูปโฉมก็มิได้งดงามดั่งปีศาจก็ว่าได้ กิริยาอาการ คำพูดคำจาผิดแปลกไปจากอิสตรีที่ดีทั่วไป ขืนส่งนางไปมีหวังเสียชื่อแคว้นจนหมดสิ้น” ลู่เหอเอ่ยแสดงความคิดเห็น ทว่าตรงกันข้ามกับองค์ฮ่องเต้พระองค์ทรงคิดว่ายิ่งสตรีแปลกหน้าเป็นเช่นนี้ ยิ่งเป็นผลดีมากขึ้นไปอีก “นางเป็นเช่นนี้ยิ่งดีลู่เหอ ข้าต้องการสตรีที่ไร้ความยำเกรงและไม่ขลาดกลัว เจ้ามิสังเกตหรือไรนางกล้าต่อว่าข้า แถมกล้าจ้องหน้าข้าอีก ไม่ยอมหลบสายตาและทำอะไรในสิ่งที่สตรีมิเคยทำ เหมาะยิ่งนักที่จะเข้าไปอยู่ในวังหลวงของเทียนโจวเพื่อทำงานใหญ่ให้แก่เรา” “ตะ... แต่ว่า... ฝ่าบาท” ลู่เหอพยายามกราบทูลคัดค้าน ทว่ายังมิทันที่จะเอ่ยกราบทูลกลับไปร่างระหงของเฉินวาวาวิ่งตรงดิ่งก่อนจะผลักพระวรกายสูงโปร่งของบุรุษที่ยืนขวางอยู่หน้ากระโจมให้พ้นทางเดินของเธอออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตะโกนก้องออกมาจนสุดเสียงเมื่อเธอมาหยุดยืนอยู่ด้านนอกกระโจม “ชิงเหยียน! อู๋ชิงเหยียน! อู๋…” [1] สะพานไน่เหอ (สะพานแห่งความจนใจ) เล่ากันว่ามีเส้นทางสายหนึ่งเรียกว่าทางหวงเฉวียน แม่น้ำสายหนึ่งเรียกว่าแม่น้ำวั่งชวน (แม่น้ำลืมเลือน) เหนือแม่น้ำมีสะพานชื่อว่าสะพานไน่เหอ (สะพานแห่งความจนใจ) เดินข้ามสะพานไน่เหอไปจะมีหอดินชื่อว่าหอวั่งเซียง (หอทอดอดีต) ข้างหอวั่งเซียงมีหญิงชรานามยายเมิ่งกำลังขายน้ำแกงยายเมิ่งอยู่ ริมแม่น้ำวั่งชวนมีหินก้อนหนึ่งเรียกว่าหินซานเซิง (หินสามชาติ) น้ำแกงยายเมิ่งจะทำให้เราลืมทุกอย่าง หินซานเซิงจะบันทึกเรื่องราวในชาติก่อนและชาตินี้ของเรา เมื่อเราเดินข้ามสะพานไน่เหอ มองโลกมนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายบนหอวั่งเซียง และดื่มน้ำต้มจากแม่น้ำวั่งชวนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพยายามไล่ตาม “ชาตินี้ที่ได้พานพบแต่ไร้วาสนาได้ครองคู่” อีก สะพานไน่เหอแห่งนี้เป็นพรมแดนเพื่อเริ่มต้นการกลับชาติมาเกิดครั้งใหม่ บนสะพานที่ทำจากหินปูนมีบันไดห้าขั้น ฝั่งตะวันตกเป็นทางสำหรับผู้หญิง ฝั่งตะวันออกเป็นทางสำหรับผู้ชายตามหลักซ้ายหยินขวาหยาง “หากใครตายตอนอายุเก้าสิบเจ็ด ต้องมารอที่สะพานไน่เหอสามปี” (เนื้อเพลงจากละครเพลงเรื่องหลิวซานเจี่ย) การรอคอยนับพันปี คำสัญญานับร้อยปี บางทีบุพเพระหว่างสามีภรรยาในชาตินี้อาจเริ่มต้นที่นี่ และสิ้นสุดลงที่นี่เช่นเดียวกัน ขณะที่เดินอยู่บนสะพานไน่เหอ เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่มีความทรงจำของชาตินี้ ช่วงเวลานี้ผู้คนมากมายยังยึดมั่นถือมั่นกับความปรารถนาที่ยังไม่จบสิ้นในชาติก่อน แล้วก็จะค่อยๆเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสุดท้ายแล้วความปรารถนาเหล่านี้จะไม่มีวันสำเร็จ จึงจะส่งเสียงถอนหายใจยาวๆออกมาทีหนึ่ง นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สะพานที่เชื่อมต่อการกลับชาติมาเกิดแต่ละครั้งแห่งนี้ชื่อว่าสะพานไน่เหอหรือสะพานแห่งความจนใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม