เยี่ยมบ้านครบสามวันถึงเวลาที่หลี่ช่านเย่ต้องกลับแล้ว ตลอดสามวันหญิงสาวไม่พบหน้าบิดาเลยสักครั้ง งานเลี้ยงภายในครอบครอบเนื่องด้วยบิดาอายุครบหกสิบปีจึงเป็นอันยกเลิก ตลอดทั้งวันจะมีก็แต่บรรดาลูกศิษย์จากทั่วสารทิศและบัณฑิตใกล้ไกลเดินทางมาที่จวนเพื่อมอบของกำนัลไม่ขาดสาย
หลี่หลั่วอินบอกกับหลี่ช่านเย่ว่า ราชสำนักยามนี้กำลังวุ่นวาย เดือนก่อนองค์รัชทายาทได้ออกไปล่าสัตว์ที่อุทยานหลวง แล้วมีมือดีลอบสังหารพระองค์ ตอนนี้ก็ยังไม่แน่ชัดว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แม้จะมีหลักฐานคือร่างไร้ลมหายใจ เหล่าขุนนางต่างถกเถียงกันถึงประเด็นนี้ ต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันวุ่นวาย ฝ่ายหนึ่งก็เร่งรัดให้แต่งตั้งรัชทายาทพระองค์ใหม่ อีกฝ่ายก็คัดค้านเสียงแข็งเพราะศพที่พบนั้นมีสภาพเละจนมองไม่ออกว่าเป็นผู้ใด แม้ชุดที่สวมจะเป็นฉลองพระองค์เอง เรื่องนี้ต้องมีเส้นสนกลใน จึงต้องพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าใช่องค์รัชทายาทตัวจริงหรือไม่
ฮ่องเต้ตอนนี้ก็ทรงประชวร มิอนุญาตให้ผู้ใดเข้าพบ ไม่ออกว่าราชการมาหลายวันแล้ว มีแต่ราชครูหลี่หลางและฉีกงกงเท่านั้นที่รู้ว่าอาการป่วยของพระองค์นั้นหนักหรือเบา
หลี่ช่านเย่ร่ำลามารดาอยู่นาน สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือจากลา
“หากมีเรื่องทุกข์ใจ จำไว้ยังมีข้าคอยรับฟัง เจ้าสามารถเขียนจดหมายหาข้าได้ทุกเมื่อ” เหอรั่วเยี่ยนที่ออกมารอส่งหลี่ช่านเย่ขยับเข้ามาใกล้แล้วกุมมือบางคู่นั้นไว้ กระซิบพูดเสียงเบา นางรู้ว่าหลี่ช่านเย่คงไม่อยากให้มารดารับรู้ว่าบุตรสาวมีความทุกข์
หลี่ช่านเย่พยักหน้า ซาบซึ้งในความห่วงใยของพี่สะใภ้
“รีบไปเถิด เดี๋ยวมืดค่ำ” หลิวซื่อบอกบุตรสาว หากอาลัยอาวรณ์กันเช่นนี้คงไม่ได้เดินทางเสียที
“เช่นนั้นข้าไปก่อน ท่านแม่รักษาสุขภาพด้วย” หญิงสาวคำนับมารดาอย่างนอบน้อม ก่อนจะหันไปทางพี่สะใภ้ “ข้าไปแล้ว พี่รั่วเยี่ยนก็รักษาสุขภาพด้วย คลอดหลานเมื่อไรอย่าลืมแจ้งข่าวข้าด้วย”
“อืม เจ้าก็เช่นกัน ดูแลตัวเองด้วย”
สองสตรีต่างวัยยืนมองรถม้าเคลื่อนห่างออกไปจนลับสายตา เหอรั่วเยี่ยนเห็นว่าข้างนอกแดดแรง จึงชวนแม่สามีรีบกลับเข้าจวน
ผ่านไปอีกหลายวัน ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ที่จวนมีงานมงคล มองไปที่ใดล้วนเห็นแต่สีแดงประดับประดา
หลี่ช่านเย่ตื่นมาช่วยเตรียมงานนี้ด้วยแต่เช้า แม้ว่าไม่เต็มใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ซ่านซ่านที่เห็นคุณหนูก็นึกสงสาร ท่าทางหมดอาลัย ในใจคงเจ็บปวด แต่ก็ต้องฝืนปั้นหน้ายิ้ม
เมื่อขบวนเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงจวน หลี่ช่านเย่ได้แต่ยืนหลบมุมมองเจ้าบ่าวในชุดมงคลกำลังประคองเจ้าสาวลงจากเกี้ยว ใบหน้าเจ้าบ่าวยิ้มแย้ม นัยน์ตาเปล่งประกายไปด้วยความสุขยามก้มมองเจ้าสาว หลี่ช่านเย่หวนนึกคิด ครั้งที่เป็นนาง เขามองนางแบบใดกันนะ ด้วยสายตาเช่นนี้หรือไม่
แต่คำตอบก็รู้ๆ กันอยู่มิใช่หรือ
หลี่ช่านเย่อยู่ด้วยทุกพิธีการ มองภาพเจ็บปวดนั้นด้วยรอยยิ้ม ท่ามกลางผู้คนที่ต่างแสดงความยินดีกับบ่าวสาว มีเพียงนางที่ไม่รู้สึกเช่นนั้น
ใกล้ถึงช่วงส่งตัวเข้าหอ หลี่ช่านเย่รู้สึกว่าตัวเองคล้ายจะไม่ไหว จึงค่อยๆ ปลีกตัวออกมา ตลอดทั้งวันยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง นางกินอะไรไม่ลงต่างหาก
หลี่ช่านเย่รีบเดินกลับเรือนหยกขาวพร้อมหัวใจที่บอบช้ำ สายน้ำอุ่นๆ ไหลอาบสองข้างแก้ม ขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะเดิน หญิงสาวถึงกับทรุดลงพื้นแล้วปล่อยโฮ
คิดเอง...ก็เจ็บเอง
หญิงสาวบอกกับตัวเอง จะร้องไห้ให้กับความรักครั้งนี้ครั้งสุดทาย ความรักข้างเดียวที่มีแต่นางเพ้อถวิลหา ทั้งๆ ที่เขาก็ชัดเจนกับนางมาตั้งแต่ต้น
เสียงสะอื้นดังแว่วไปตามสายลม ร่างสูงที่นั่งเอนหลังพิงต้นไม้จึงลืมตาตื่น ในจวนมีงานมงคลมิใช่หรือ เหตุใดถึงร้องไห้ใครตายกัน
เว่ยซือเฉิน เดินตามเสียงนั้นไป แล้วก็เห็นแผ่นหลังเล็กนั่งกอดเข่า ร่างสั่นโยนดูน่าสงสาร ไม่นานก็มีผู้หญิงอีกคนวิ่งหน้าตั้งเข้ามา
“คุณหนู!”
ในจวนนี้ไม่มีบุตรสาว เช่นนั้นนางคงเป็นสะใภ้ ที่ร้องไห้คงเสียใจที่สามีแต่งหญิงอื่นเข้ามา
อ้อ ฮูหยินน้อยนี่เอง
เว่ยซือเฉินไม่คิดสนใจเรื่องรักใคร่ใคร กำลังจะเดินกลับไปงีบต่อ
“คุณหนู! เป็นอะไรเจ้าคะ!” ซ่านซ่านตกใจร้องเสียงหลง จู่ๆ คณหนูก็ล้มพับไป “ช่วยด้วย มีใครอยู่แถวนี้บ้าง คุณหนูเจ้าคะ! คุณหนู!”
“เฮ้อ…” เว่ยซือเฉินถอนหายใจ ไม่คิดจะยื่นมาเข้าไปยุ่งก็ต้องยุ่งแล้ว เขาจึงเดินออกจากหลังพุ่มไม้ เสนอหน้าถามออกไปว่า “มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่ขอรับ”
ซ่านซ่านเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเป็นชายแปลกหน้าสวมชุดมอซอสีหม่น ใบหน้ามีรอยแผลเป็นค่อนข้างยาวพาดผ่านครึ่งหน้าดูน่ากลัว รู้สึกไม่คุ้นหน้าเลย
“ข้าเป็นคนงานมาใหม่ รับผิดชอบสวนเรือนหยกขาว” เว่ยซือเฉินอ่านสายตาก็เข้าใจ จึงแนะนำตัวอย่างนอบน้อมถ่อมตน
ซ่านซ่านมองไม่เห็นผู้ใดอีกแล้ว ต้องพาคุณกลับเรือนก่อน แต่เรี่ยวแรงนางคงแบกร่างนี้คนเดียวไม่ไหว “อ้อ เช่นนั้นช่วยข้าแบกร่างคุณหนูกลับเรือนหน่อย”
เว่ยซือเฉินช่วยหิ้วแขนคนละข้างกับซ่านซ่าน แต่ก็รู้สึกหงุดหงิดรำคาญที่นางดูไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย ชักช้าไปหมด
ผอมทั้งนายทั้งบ่าว ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิด
เว่ยซือเฉินจึงตัดสินใจตวัดร่างไร้สติของหลี่ช่านเย่ขึ้น เดินลิ่วนำหน้าซ่านซ่านที่ยืนตัวแข็งตาค้างอ้าปากค้าง จะส่งเสียงร้องก็มิกล้า กลัวผู้อื่นเห็นเข้าแล้วคุณหนูจะถูกมองไม่ดี เลยได้แต่วิ่งตามหลังติดๆ อย่างกระวนกระวาย
“วางคุณหนูไว้ตรงนี้” ซ่านซ่านบอกเสียงดุ ชี้ไปที่ตั่งกุ้ยเฟยตัวยาวริมหน้าต่าง
เว่ยซือเฉินวางร่างนั้นลงอย่างเบามือ แผ่นอกเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาจากหญิงสาว นางร้องไห้จนตาแดงจมูกแดงไปหมดแล้ว
เด็กน้อย ช่างน่าสงสารเสียจริง
“ออกไปได้แล้ว!” ซ่านซ่านออกปากไล่เสียงแข็ง แทบแยกเขี้ยวพุ่งกัดคนตรงหน้าแล้ว
“ขอรับ” เว่ยซือเฉินก้มศรีษะน้อยๆ แล้วรีบหมุนตัวแล้วเดินจากไป