“พี่หมอก” มติมนต์เดินกลับมาถึงบ้านเห็นรถพยาบาลกำลังจอดรออยู่พร้อมกับเจ้าหน้าที่อีกสองคนกำลังหิ้วปีกใบหม่อนออกมาจากบ้าน
“โมนา เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เมธัสเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ได้ยินเสียงใบหม่อนอาละวาดขึ้นมาอีกครั้งที่เห็นโมนากลับมาถึงจนเขาต้องดันน้องสาวไปหลบซ่อนตัวข้างหลัง
“ยัยโมนา ฉันจะฆ่าแก ฉันจะฆ่าแก!”
“นี่มันอะไรกันคะพี่หมอก ทำไมใบหม่อนถึงเป็นแบบนั้นล่ะคะ”
“ใบหม่อนเขาถูกทำร้ายจิตใจจนทำร้ายตัวเองน่ะ สมองได้รับการกระทบกระเทือนก็เลยเป็นแบบที่เห็นนี่แหละ” เมธัสตอบคำถามพลางสวมกอดมติมนต์ไว้เมื่อเหลือบไปเห็นรถของสายใจที่เพิ่งจะกลับมาถึง
“นี่มันอะไรกัน ตาหมอก แกจะพาใบหม่อนไปไหน”
“ผมจะส่งใบหม่อนกลับไปที่โรงพยาบาลจิตเวชน่ะ คุณน้าก็รู้ว่าใบหม่อนไม่ปกติ ทำไมถึงปล่อยให้อยู่กับน้องสาวผมตามลำพังล่ะครับ” เขาหันไปเอ่ยถามสายใจด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมรับผิด
“อะไรกัน ใบหม่อนเขาก็ทานยาครบอยู่ เขาไม่ทำแบบนั้นหรอก”
“ไม่ทำได้ยังไงคะ เขายังถือมีดไล่ฟันหนูอยู่เลย นั่นไงคะมีด ยังปักอยู่ตรงนั้น” มติมนต์เถียงคอเป็นเอ็นพลางชี้ให้ดูมีดที่ยังตกอยู่ในสนาม
“แล้วไหนล่ะ ไม่เห็นจะบาดเจ็บนี่”
“เพื่อนหนูมาช่วยไว้พอดี ถ้าช้ากว่านี้หนูอาจจะไม่รอด”
“อย่ามาใส่ร้ายลูกสาวฉันนะ” สายใจชี้หน้าตวาดกร้าวจนเมธัสต้องรีบห้ามเอาไว้
“คุณน้ารีบตามไปดูใบหม่อนก่อนเถอะครับ”
“ฝากไว้ก่อนเถอะนังตัวดี” คนสูงวัยกว่ายังส่งสายตาพิฆาตมาให้ก่อนที่เธอจะรีบขับตามรถพยาบาลออกไป เมธัสจึงหันมาเอ่ยถามอาการน้องสาวอีกรอบ
“โมนาไม่เจ็บตรงไหนแน่ใช่ไหม”
“ค่ะพี่หมอก” มติมนต์ก้มหน้าปฏิเสธ ถ้าจะให้เจ็บคงจะเจ็บที่หัวเพราะกระแทกกับคอนโซลรถของคิมหันต์เมื่อกี้ต่างหาก
“แล้วเพื่อนโมนาล่ะ ไปไหนแล้ว”
“กลับไปแล้วค่ะ” เป็นอีกครั้งที่เธอโป้ปดเพราะความเป็นจริงคิมหันต์กำลังรถคว่ำอยู่ข้างทางต่างหาก
“พี่ต้องไปทำงานต่อแล้ว เราอยู่ได้ใช่ไหม”
“อยู่ได้ค่ะ” เธอรับปากแต่โดยดีเพราะไม่อยากให้เมธัสเสียเวลางาน คิดเอาไว้ว่าตอนนี้รถของคิมหันต์พังขนาดนั้นเขาคงไม่ตามมารังควานเธออีกหลายวันแน่ ๆ
วันเปิดเรียนมาถึงอีกครั้งโดยที่แก้วเจ้าจอมก็ยังนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาเพราะยังคงเฮิร์ตหนักจากความรักที่เพิ่งจะสิ้นสุดลง
“แกอย่าเจ็บนานนักสิ พวกฉันสองคนเหงามากรู้ไหมตอนที่ไม่ได้ยินเสียงแกอ่ะ” มติมนต์พยายามปลอบใจ ฟ้าลาดจึงช่วยเสริมด้วยอีกคน
“นั่นน่ะสิ สวย ๆ อย่างแก้วน่ะไม่นานก็หาใหม่ได้เชื่อสิ”
“แต่ฉันจริงจังกับพี่อิฐมากเลยนะ เราสองคนคบกันตั้งแต่ฉันยังเรียนมัธยมอยู่ คิดว่าคนนี้จะเป็นคนสุดท้ายแล้วด้วย” แก้วเจ้าจอมโอดครวญด้วยสีหน้าที่เจียนจะร้องไห้ทุกครั้งในตอนที่นึกถึงแฟนเก่า
“เธอเพิ่งอายุแค่นี้เอง ยังเจอผู้ชายดี ๆ อีกเยอะ เชื่อฉันสิ”
“อันนี้ฉันเห็นด้วยกับฟ้านะแก้ว สมัยนี้ไม่มีผู้หญิงที่ไหนเขาวิ่งตามผู้ชายกันแล้ว เราสวยซะอย่างเชิดเข้าไว้ อย่าเสียใจนาน เดี๋ยวเขายิ่งได้ใจ” มติมนต์ยกนิ้วมือขึ้นสองข้างเป็นสัญลักษณ์บอกให้สู้ต่อจนฟ้าลดาอดเอ่ยแซวเสียไม่ได้
“แหม โมนา ไหนบอกไม่เคยมีแฟน แต่ให้คำแนะนำเหมือนกูรูความรักเลยนะ”
“ฉันก็พูดไปแบบนั้นแหละ เคยอ่านในนิยายมา”
“เอางี้ไหมแก้ว ฉันว่าเราไปห้างกันดีกว่า ไปช็อปให้หนำใจ ได้ข่าวว่ากระเป๋ารุ่นใหม่เพิ่งออกวันนี้ บางทีการได้ไปเดินตากแอร์เย็น ๆ เธออาจจะรู้สึกดีขึ้นมาก็ได้” ฟ้าลดาเสนอ บทสนทนานั้นทำให้มติมนต์ได้แต่นั่งนิ่งเพราะเธอไม่มีเงินมากพอจะไปซื้อของอย่างนั้น
“น่าสนใจดีนะ ไปด้วยกันสิโมนา ตั้งแต่เรารู้จักกัน พวกเราสองคนยังไม่เคยพาเธอไปเที่ยวที่ไหนเลย”
“เอ่อ...พวกเธอไปเถอะ ฉันคงไปไม่ได้หรอก” มติมนต์รีบปฏิเสธ ถึงเธอจะมีเมธัสคอยซัพพอร์ตแต่ก็ใช่ว่าจะใช้เงินได้ตามอำเภอใจ
“ทำไมล่ะ”
“คือฉัน...” ยังไม่ทันได้หาเหตุผลมาอ้าง เสียงเตือนจากมือถือก็เด้งขึ้นมาพร้อมกับข้อความที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ
คิมหันต์ : เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันนะโมนา
ค่าเสียหายรถฉันสองแสน
เธอต้องรับผิดชอบ
เสียงข้อความดังต่อกันรัว ๆ โดยที่เธอเองก็ไล่สายตาอ่านทุกประโยคถึงบรรทัดสุดท้ายจนเผลออุทานลั่นออกมา
“เชี่ย!”
“เป็นอะไรโมนา” แก้วเจ้าจอมเอ่ยถามขึ้นทำให้เธอรีบหยิบมือถือใส่กระเป๋าแล้วรีบหาทางรอดจากน้ำมือของคิมหันต์ทันที
“ฉันดีใจน่ะ พี่ฉันเพิ่งส่งข้อความมาบอกว่าไม่กลับบ้าน”
“งั้นฟ้าไปได้แล้วสิ” ฟ้าลดายิ้มร่าด้วยความดีใจ
“อื้ม”
“งั้นเรารีบไปกันเถอะ ฉันเริ่มจะหิวแล้วด้วยเนี่ย” แก้วเจ้าจอมลูบท้องตัวเองป้อย ๆ เพราะเธอยังเจ็บหนักกับความรัก ตรอมใจ กินอะไรไม่ลงมาหลายวัน พอได้กำลังใจดี ๆ จากเพื่อนจึงเริ่มมีแรงกลับมาใช้ชีวิตต่อได้อีกครั้ง
เมื่อตกลงกันได้ ทั้งสามคนจึงรีบขึ้นรถฟ้าลดาก่อนที่เธอจะขับออกจากมหาวิทยาลัยมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าทันที
เสียงเตือนข้อความของมติมนต์ยังดังขึ้นมารัว ๆ โดยที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะเปิดอ่าน ถ้าจะให้เดาตอนนี้คิมหันต์คงกำลังเลิกเรียนและมารอพบเธอที่หน้าตึกแล้ว ยิ่งโทรไม่รับ ข้อความไม่อ่านแบบนี้ เขาต้องหัวร้อนจนเลือดขึ้นหน้าแล้วแน่ ๆ
“เสื้อตัวนี้สวยดีนะ มีสามสีด้วยเราน่าจะซื้อกันคนละตัวเอาไว้ใส่ไปเที่ยวกันดีไหม” ฟ้าลดาเอ่ยถามในขณะที่หยิบเสื้อจากราวขึ้นมาวางทาบไว้บนตัว แก้วเจ้าจอมจึงมาหยุดดูด้วยอีกคน
“สวยจริง ๆ ด้วย ราคาก็ลดตั้งสามสิบเปอร์เซ็นต์แน่ะ เอาไหมโมนา”
“เอ่อ...” คนถูกถามได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ พลางเลื่อนมือไปพลิกป้ายราคาขึ้นมาดู พอเห็นตัวเลขที่เรียงต่อกันถึงห้าหลักเธอก็ผงะทันที “โห เป็นหมื่นเลยเหรอ”
“เสื้อแบรนด์นี้ มันก็ราคานี้อยู่แล้ว สวยดีนะ ลองทาบดูสิ”
“พวกเธอซื้อเถอะ ฉันไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก” มติมนต์ให้เหตุผลไปตามความจริง เธอผายมือให้ทั้งสองเลือกต่อ “ตามสบายเลยนะ ฉันออกไปรอข้างนอกละกัน”
พูดจบ หญิงสาวก็เดินออกจากร้านไปนั่งรอข้างนอกแทน มาถึงตอนนี้เธอเริ่มตระหนักได้แล้วว่าตัวเองกับเพื่อนทั้งสองนั้นต่างกันลิบลับเหมือนฟ้ากับเหว
ทั้งแก้วเจ้าจอม ทั้งฟ้าลดา ต่างก็ดูมีฐานะเป็นลูกคุณหนูกันทั้งนั้น แต่เธอกลับไม่มีอะไรเลย
“อ่ะนี่ พวกฉันสองคนซื้อให้” ในขณะที่กำลังนั่งเครียดถึงค่าเสียหายของคิมหันต์อยู่นั้น ถุงกระดาษใบหนึ่งก็ถูกวางไว้ลงบนตักของเธอแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“อะไรเหรอ”
“ก็ชุดที่ฉันว่าไง เราจะได้ใส่พร้อมกันสามคน โมนารับไว้เถอะนะ” ฟ้าลดายิ้มตอบอย่างอารมณ์ดีเหมือนเช่นทุกครั้ง
“แต่ราคา...”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกโมนา พวกเราซื้อให้ ตอนนี้ฉันหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” แก้วเจ้าจอมรวบรัดตัดบท รีบจูงมือไปยังร้านอาหารโปรดทันทีโดยที่มติมนต์เองก็ต้องติดสอยห้อยตามไปด้วย
“ตามสบายเลยนะโมนา เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
“ไม่ต้องหรอกฟ้า แค่ซื้อเสื้อนี่ให้ฉันก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว” มติมนต์รับปฏิเสธ “ดูแล้วร้านนี้ราคาไม่ค่อยแรง เดี๋ยวฉันช่วยจ่ายดีกว่านะ”
“ไม่ต้องมีใครเลี้ยงทั้งนั้นแหละ เดี๋ยววันนี้ฉันเป็นเจ้ามือเอง ถือซะว่าเลี้ยงต้อนรับชีวิตโสดอีกครั้งก็แล้วกัน” แก้วเจ้าจอมหยุดบทสนทนานั้นด้วยการหันไปสั่งอาหารกับพนักงาน
เห็นอาหารมากมายถูกนำมาเสิร์ฟไว้ตรงหน้า มติมนต์ก็ยิ่งอึดอัดลำบากใจ ถึงแม้ว่าทั้งสองจะไม่เคยคิดว่าเธอแตกต่าง แต่ถึงยังไงเธอก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี