มติมนต์จ้องมองตัวเองผ่านเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้ง เห็นทรงผมที่ถูกตัดจนสั้นเหมือนผู้ชายก็นึกใจหายขึ้นมาเสียทุกทีจนมันทำให้เธอไม่กล้าใส่ชุดเดรสหรือกระโปรงเหมือนแต่ก่อน
“เสร็จหรือยังโม” เสียงพี่ชายเอ่ยเรียกดังขึ้นมาจากชั้นหนึ่งของบ้านทำให้หญิงสาวรีบจัดแต่งทรงผมแล้วนำเสื้อนักศึกษากับกระโปรงพลีทขึ้นมาใส่ ดูแล้วทรงผมมันไม่ค่อยจะเข้ากับกระโปรงเสียเท่าไหร่ เธอจึงหันไปหยิบยางมัดขึ้นมามัดจุกเล็ก ๆ แล้วสวมเสื้อคลุมสีผ้าทับชุดนักศึกษาไว้อีกที
วันนี้เป็นการเปิดเรียนวันแรกในภาคเรียนที่หนึ่ง หลังจากที่สมัครและสอบข้อเขียนผ่าน ในที่สุดเธอก็สามารถเข้าเรียนในคณะที่ฝันเอาไว้ได้โดยมีพี่ชายที่แสนดีอย่างเมธัสคอยซัพพอร์ตและเป็นกำลังใจให้มาโดยตลอด
“ใส่ได้พอดีเลยนะเนี่ย” เมธัสยิ้มกว้างเขาจับร่างบางให้หมุนตัวดูอีกรอบเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย
“โมนายังไม่ชินเลยค่ะ ปกติเรียนที่โน่นไม่ได้ใส่ยูนิฟอร์มแบบนี้”
“เอาเถอะ ใส่ไปเดี๋ยวก็ชิน โมนาของพี่เก่งอยู่แล้ว ขนาดผ่านเรื่องร้าย ๆ มาตั้งมากมายยังยิ้มสู้ได้เลย” พี่ชายกล่าวชื่นชม มือหนาคล้องไหล่เล็กไว้ก่อนที่เขาจะหยิบบางอย่างส่งให้ “อ่ะนี่ ของขวัญเปิดเรียนวันแรก พี่ให้”
“พี่หมอก” ดวงตากลมโตเบิกกว้างทันทีที่เห็นสมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุดเพราะเครื่องเก่าของเธอถูกไมเคิลยึดไว้แล้ว
“เอาไว้โทรหาพี่ พี่ลงทะเบียนใส่ซิมไว้ให้แล้ว รักษาดี ๆ ล่ะ”
“ค่ะพี่หมอก พี่หมอกใจดีที่สุดเลย สายเปย์ซะด้วย” มติมนต์ออดอ้อน รู้สึกอบอุ่นเหมือนว่าเขาเป็นที่พักพิงเดียวที่เธอเหลืออยู่ในยามนี้
“ไปเรียนได้แล้ว เดี๋ยวก็สายตั้งแต่วันแรกหรอก” เมธัสยิ้มให้อย่างอบอุ่น รีบขับรถพามติมนต์ไปส่งถึงหน้าตึกเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ ในมหาวิทยาลัย
“ขอบคุณนะคะพี่หมอก”
“เลิกเรียนเดี๋ยวพี่มารับนะ วันนี้เข้าเวรดึกอาจจะแวะมาได้” เขาขยี้เรือนผมสีดำของมติมนต์ด้วยความรักใคร่ก่อนจะกำชับอีกครั้ง “อย่าออกไปคนเดียวล่ะ เราเพิ่งมาอยู่เดี๋ยวจะหลงเสียเปล่า ๆ ”
“โมนาไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับเองก็ได้ พี่หมอกทำงานเถอะ แค่นี้โมนาก็รบกวนมากไปแล้ว”
“เราเป็นน้องสาวพี่นะ รบกวนอะไรกัน”
“พี่หมอกไปทำงานเถอะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงโมนา ถ้าโมนากลับไม่ถูกเดี๋ยวโมนาโทรหาพี่ก็ได้” เธอรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะเพราะไม่อยากให้เมธัสรู้สึกเป็นห่วง
“โอเค งั้นพี่ไปก่อนนะ”
“ค่ะ”
มติมนต์โบกมือลาพี่ชายก่อนที่เขาจะขับรถออกจากมหาวิทยาลัย เธอจึงหมุนตัวขึ้นไปยังห้องเรียน กวาดสายตาหาที่ว่างจนกระทั่งหันไปสะดุดกับร่างหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง
“สวัสดี...ฉันขอนั่งด้วยคนนะ” เธอเอียงคอถามคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าทำให้อีกฝ่ายละสายตาจากจอมือถือขึ้นมาส่งยิ้มให้เธอ
“นั่งสิ”
“เอ่อ...เราชื่อโมนานะ เธอล่ะ” มติมนต์ทักทายทำความรู้จักทันที
“ฉันชื่อฟ้า เธอเรียนสาขานี้ด้วยเหรอ ทำไมตอนรับน้องฉันไม่เห็นเธอเลยล่ะ”
“ฉันไม่ได้มาร่วมหรอก เพิ่งย้ายมาด้วย ยังไม่ค่อยชินกับการเรียนที่นี่เท่าไหร่” อีกฝ่ายก้มหน้าตอบ เห็นดังนั้นฟ้าลดาก็ขำพรืดออกมาทันที
“เธอไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอกนะ ว่าแต่เธอย้ายมาจากไหนเหรอ”
“ลอนดอนน่ะ” มติมนต์ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่คนฟังถึงกับเบิกตาโตด้วยความตกใจ
“โห...แล้วทำไมย้ายมานี่ล่ะ เรียนที่โน่นดีกว่านะฉันว่า”
“ฉันมีปัญหาครอบครัวน่ะ เลยย้ายกลับมา...”
บทสนทนาสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านั้นเมื่ออาจารย์ผู้สอนในรายวิชาแรกเข้ามาในห้อง มติมนต์จึงรีบนำไอแพดและเครื่องเขียนออกมาเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนในวันแรกซึ่งดูแล้วมันก็ไม่ยากเสียเท่าไหร่ แม้จะต้องปรับตัวกับการใช้ชีวิตในเมืองไทยอีกครั้งก็เถอะ
“เลิกเรียนแล้ว เธอจะไปไหนต่อหรือเปล่า” ฟ้าลดาที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของมติมนต์เอ่ยถามหลังจากการเรียนในวันแรกผ่านไปได้ด้วยดี
“ไม่หรอก ฉันว่าจะกลับเลยน่ะ”
“กลับยังไงล่ะ ให้ฉันไปส่งไหม” อีกฝ่ายขันอาสาแต่มติมนต์กลับรีบปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร วันนี้ฉันว่าจะลองนั่งแท็กซี่กลับเองดูน่ะ วันหลังพี่ชายฉันจะได้ไม่ต้องมารับ”
“แน่ใจนะว่ากลับได้”
“อื้ม...แน่ใจสิ” หญิงสาวยืนยันเสียงหนักแน่นก่อนที่เธอจะบอกลาฟ้าลดาเพื่อออกไปโบกแท็กซี่ที่หน้ามหาวิทยาลัย
มือเรียวกระชับกระเป๋าสะพายไว้แน่นแนบกายในขณะที่เดินเลียบถนนออกไป ไม่ทันสังเกตเลยว่ารถของใครอีกคนกำลังขับบึ่งออกมาในระหว่างที่เธอกำลังจะข้ามถนนพอดี
“เห้ย !”
มติมนต์ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เห็นความเร็วของรถที่ขับพุ่งมาทำให้เธอรีบถอยหลังจนสะดุดเข้ากับขอบฟุตปาธล้มลงไม่เป็นท่าทำให้พื้นคอนกรีตมันบาดลึกลงไปบนเนื้อที่ขา
“บ้าจริง ขับรถแบบนี้ในมหา'ลัยได้ยังไง” หญิงสาวบ่นพึมพำรีบขยับลุก สะบัดกระโปรงก่อนจะพบกับรอยเลือดตรงหน้าขา “อา...เจ็บจัง”
ดวงตากลมโตมองตามรถซูเปอร์คาร์คันนั้นไปด้วยความเจ็บใจ นึกเสียดายที่เธอไม่ได้จำป้ายทะเบียนไว้ ไม่งั้นจะตามเล่นงานเสียให้เข็ด
“บ้าเอ๊ย !มาเรียนวันแรกก็เจ็บตัวซะแล้ว” มติมนต์โอดครวญ รีบออกไปขึ้นรถแท็กซี่ที่หน้ามหาวิทยาลัยเพื่อเดินทางกลับบ้านโดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยว่ารถที่เพิ่งขับเฉี่ยวเมื่อครู่นี้กำลังขับสะกดรอยตามเธอมาจนถึงบ้าน
“นี่ค่ะ” หญิงสาวรีบจ่ายเงินค่ารถแล้วเปิดประตูเข้าไปในบ้านเพื่อจัดการทำแผลเช็ดคราบเลือดที่ขาก่อนจะทิ้งตัวนอนบนโซฟาชั้นล่างอย่างเซ็ง ๆ กะว่าจะหลับสักงีบแต่ความหิวกลับทำให้เธอต้องลุกไปหาอะไรทานในครัวแทน
“โห...ของกินเพียบเลย” มติมนต์อ้าปากเหวอเมื่อเปิดตู้เย็นแล้วพบอาหารมากมายที่เมธัสตุนไว้ เพราะหน้าที่การงานทำให้เขาไม่ค่อยได้กลับบ้านเสียเท่าไหร่จึงต้องเก็บอาหารไว้ให้น้องสาวแทน “พี่หมอกนี่ ยกให้เป็นพี่ชายดีเด่นของปีเลย”
พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงมือถือเครื่องใหม่ก็ดังขึ้นทำให้เธอรีบกดรับสายเพื่อรายงานให้พี่ชายทราบทันทีว่าเธอมาถึงบ้านแล้ว
“โมนากลับถึงบ้านแล้วค่ะพี่หมอก”
(แล้วทำไมไม่โทรบอกพี่ เงียบหายไปเลยพี่ก็คิดว่าเกิดอะไรขึ้น) เมธัสบ่นพึมพำมาจากปลายสาย ทำให้มติมนต์ก้มมองแผลที่ขาแล้วตัดสินใจปิดบังไว้เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นห่วง
“พอดีโมนาหิวน่ะค่ะ ก็เลยแอบแวบไปหาอะไรกินที่ครัวไม่ได้โทรบอกก่อน”
(อืม...งั้นตามสบายนะ อยากกินนอกเหนือจากนั้นก็สั่งได้เลย เดี๋ยวพี่โอนจ่ายให้)
“ครับผม” หญิงสาวรีบดัดเสียงเลียนแบบพี่ชายก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสายไป เธอจึงหันไปเลือกผักในตู้ขึ้นมาทำอาหารแบบง่าย ๆ แทน
สองสัปดาห์แรกของการเรียนผ่านไปได้ด้วยดี ตอนนี้นอกจากฟ้าลดาที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของมติมนต์ก็ยังมีแก้วเจ้าจอมอีกคนที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ไปไหนด้วยกัน จนแทบจะตัวติดกันตลอดเวลา
เสียงเพลงรับน้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงกลองเป็นจังหวะหลังจากที่รุ่นพี่ปีสองนัดให้มารวมตัวกันภายในสาขาหลังเลิกเรียนเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้องให้กระชับยิ่งขึ้น
มติมนต์ขยับโยกตัวเต้นไปตามจังหวะเพลง อย่างสนุกสนาน ใบหน้าหวานละไมถูกแต่งแต้มด้วยดินสอพอง ผมที่เริ่มยาวขึ้นเล็กน้อยก็ถูกรุ่นพี่จับมัดจุกจนเต็มศีรษะแต่ก็ปฏิเสธไม่ลงเลยสักนิดว่าใบหน้านั้นยังน่ารักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“กลับดี ๆ นะโมนา ฟ้าด้วย เจอกันพรุ่งนี้นะ” แก้วเจ้าจอมโบกมือลาหลังจากเสร็จกิจกรรมในตอนเย็นก่อนจะขึ้นรถที่มาจอดรอรับอยู่หน้าตึกแล้วขับจากไป
“คนมีแฟนก็อย่างนี้แหละ มีคนรับส่งทุกวัน น่าอิจฉาจังเลยเนอะ” เสียงฟ้าลดาบ่นพึมพำในขณะที่ควานหากุญแจรถในกระเป๋า “นี่ก็เย็นมากแล้ว ให้ฉันไปส่งนะโมนา”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันกลับเองได้” มติมนต์ยังปฏิเสธด้วยความเกรงใจทำให้ฟ้าลดาต้องเป็นฝ่ายลากเธอไปขึ้นรถ
“ไปเหอะน่า ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น” อีกฝ่ายหันมาค้อนใส่ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วดันร่างมติมนต์เข้าไป เป็นการบังคับทางอ้อมก่อนที่เธอจะขับไปส่งเธอถึงที่บ้าน
“ขอบใจนะฟ้าที่มาส่ง”
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่...นี่โมนาอยู่คนเดียวเหรอ” ฟ้าลดาเอ่ยถามในขณะที่กวาดสายตามองขึ้นไปบนบ้าน
“ฉันอยู่กับพี่ชายน่ะ แต่ว่าเขาเป็นหมอ ไม่ค่อยได้กลับบ้านหรอก...”
“ดีเลย งั้นวันหลังฉันขอมานอนค้างด้วยนะ” อีกฝ่ายสวนขึ้นทันทีพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“อื้ม...ได้สิ”
“ฉันกลับก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้” ฟ้าลาดาโบกมือลาก่อนจะขับรถออกไป มติมนต์จึงรีบหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านเพื่อสะสางงานที่ค้างคาเตรียมส่งอาจารย์ในวันพรุ่งนี้
ครืด... เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นพร้อมกับข้อความจากไลน์ของแก้วเจ้าจอมที่ส่งเข้ามาเตือนให้เธอสร้างเฟซบุ๊กขึ้นมาใหม่
“โมนา สร้างเฟซใหม่แล้วอย่าลืมแอดฉันมาด้วยล่ะ”
“จริงด้วย” มติมนต์นิ่งเงียบไปชั่วครู่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่มีเฟซบุ๊กใหม่เพราะอันเก่ามันถูกแฮ็กไปตั้งแต่ทำงานที่อังกฤษ จนมือถือถูกยึดคืนไปก็ยังไม่ได้สร้างมันขึ้นมาเสียที
มือเรียวเก็บงานที่วางอยู่เต็มโต๊ะไว้แล้วหันมาจัดการสร้างโปรไฟล์ขึ้นมาใหม่ในชื่อภาษาอังกฤษแทนอันเก่าที่ถูกแฮ็กไป
Mona Matimont
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อกำลังเลือกรูปที่ดูดีที่สุดเพื่อใช้เป็นรูปโปรไฟล์จากนั้นจึงส่งคำขอไปยังเพื่อนร่วมชั้นทุกคนรวมถึงฟ้าลดาและแก้วเจ้าจอมด้วย
“ในที่สุด ยัยโมนาก็มีเฟซสักที”
แก้วเจ้าจอมพิมพ์ตอบกลับมาก่อนจะดึงเธอเข้าแชตกลุ่มที่มีกันแค่สามคนเท่านั้น
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” เสียงสุนัขจรจัดภายในซอยดังขึ้นทำให้มติมนต์รีบวางมือถือลงแล้วแง้มผ้าม่านเปิดออกไปดูด้วยความสงสัยเพราะปกติหมาเจ้าถิ่นพวกนี้จะไม่ส่งเสียงรบกวนอยู่แล้วถ้าไม่มีคนแปลกหน้าเข้ามา
“เห่าอะไรกัน” ดวงตากลมโตกวาดสายตามองออกไปในความมืดจนเห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนที่กำลังแอบมองเธอจากที่ไกล ๆ พอเห็นว่าเธอรู้ตัวก็เหมือนว่าร่างนั้นจะค่อย ๆ แฝงกายหลบซ่อนตัวในความมืดแล้วหายลับไป
“น่ากลัวจัง” หญิงสาวรีบปิดผ้าม่านลง ใจนึงก็อยากโทรบอกเมธัส แต่พอคิดว่าพี่ชายคงจะยุ่งกับงานมากพอแล้วเธอจึงต้องทิ้งความคิดนั้นไปแล้วจัดการตรวจดูประตูบ้านทุกบาน ล็อกมันให้แน่นหนาเพื่อเป็นการป้องกันแทน
เขาเป็นใคร ? แอบตามมาถึงบ้านเลยแฮะ