รถคันสีดำแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านก่อนที่รถบรรทุกอีกคันจะเข้ามาจอดต่อท้ายเพื่อขนย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้ามาเก็บไว้ในบ้านหลังใหม่
“เดี๋ยวเอาวางไว้ข้างล่างได้เลยนะครับ ส่วนพวกตู้ขนขึ้นด้านบน” เมธัสหันไปบอกพนักงานขนของในขณะที่เขาก็ยังตรวจดูความเรียบร้อยด้วยตัวเอง
อีกไม่กี่วันมติมนต์ก็ย้ายเข้ามา เขาจึงเร่งสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์มาเตรียมไว้และจัดแต่งห้องนอนให้น้องสาวเป็นอย่างดี
“อันนี้โมนาน่าจะชอบ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มเมื่อเหลือบไปเห็นชุดผ้าปูที่นอนสีชมพูกับตุ๊กตาหมีตัวโปรดแบบที่มติมนต์เคยเล่าให้ฟัง
ครืด...
เสียงมือถือดังขึ้นทำให้เขารีบวางตุ๊กตาลงบนโซฟาเพื่อกดรับสายแม่เลี้ยงที่โทรเข้ามา
“ครับน้าสาย”
(หมอก...ยัยหม่อนหายไป) เสียงที่ลอดออกมาจากปลายสายดูร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะใบหม่อนมีอาการทางจิตเวชต้องทานยาเป็นประจำต่อเนื่องและต้องอยู่ที่บ้านในความดูแลของสายใจไม่เคยคลาดสายตา
“หายไปได้ยังไงครับ”
(น้าเองก็ไม่รู้ น้าเอาข้าวขึ้นมาให้ก็ไม่เจอใบหม่อนแล้ว หมอกเป็นหมอหมอกรู้หรือเปล่าว่าใบหม่อนเขาจะไปที่ไหน) คำถามนั้นทำให้เมธัสถึงกับจุก ถึงเขาจะเรียนจบหมอมาแต่ก็ใช่ว่าเขาจะรู้ใจคนไข้ทุกคน
“ผมไม่รู้หรอกครับคุณน้า คุณน้าอยู่กับใบหม่อนตลอดเวลา คุณน้าเคยได้ยินเขาบ่นว่าอยากไปที่ไหนบ้างหรือเปล่าครับ”
(ไม่นะ เขาก็เอาแต่เก็บตัวในห้องตลอด)
“แล้วเขาได้กินยาครบตามที่หมอสั่งไหมครับ”
(ครบสิ น้าให้เขาทานเองกับมือ ดูเขาก็ไม่มีอารมณ์รุนแรงเหมือนแต่ก่อนแล้วนะ แต่อยู่ ๆ มาหายไปแบบนี้ น้าไม่สบายใจเลย)
“คุณน้าใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ บางทีใบหม่อนเขาอาจจะนึกถึงเหตุการณ์หรือสถานที่ที่เขาเคยไป คุณน้าลองนึกดู ๆ สิครับว่าใบหม่อนเขาเคยไปที่ไหนบ้างก่อนหน้าที่เขาจะป่วยแบบนี้”
(น้านึกไม่ออกหรอก...เป็นหมอซะเปล่าแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ) สายใจกระแทกเสียงใส่แล้วจึงกดวางสายไปทำให้เมธัสได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คิดว่าการย้ายออกมาอยู่คนเดียวจะทำให้เขาเป็นอิสระจากครอบครัวนี้ แต่ก็เปล่าเลย
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ตัวเองดูลูกไม่ดีเองแล้วมาโทษคนอื่น” ชายหนุ่มเก็บมือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงด้วยอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น แต่อยู่ ๆ มันก็ส่งเสียงร้องดังขึ้นมาอีกครั้งทำให้เขารีบกดรับสายเพราะเข้าใจว่าเป็นแม่เลี้ยงที่โทรเข้ามาอีกครั้ง
“ครับคุณน้า ตกลงหายไปไหนล่ะครับ”
(ใครหายไปไหนคะพี่หมอก) เสียงที่ตอบกลับมาทำให้เขาชะงักต้องจ้องเบอร์มือถือดูอีกที
“โมนาเหรอ”
(ค่ะพี่หมอก โมนาเอง ไม่ได้คุยตั้งนานลืมกันแล้วเหรอคะ)
“แล้วไปเอาเบอร์...หืม...” เมธัสเบิกตาโตด้วยความตกใจเมื่อสังเกตว่าเบอร์มือถือที่โทรเข้ามามันขึ้นรหัสของประเทศไทย “โมนากลับมาแล้วเหรอเนี่ย”
(ค่ะพี่หมอก เพิ่งถึงนี่เอง นี่ยืมมือถือจากป้าข้าง ๆ มาโทรหา พี่หมอกสะดวกหรือเปล่าคะ มารับโมนาหน่อยได้ไหม)
“ได้ ๆ รอพี่แป๊บนึงนะ รออยู่ที่นั่นแหละ” เมธัสกล่าวกำชับ เขารู้ดีว่าน้องสาวคุ้นชินกับการใช้ชีวิตเมืองนอก การกลับมาเมืองไทยในรอบหลายสิบปี เธอจึงไม่คุ้นชินเส้นทางเท่าไหร่นัก
หลังจากจัดการช่วยขนเฟอร์นิเจอร์เข้าไปเก็บไว้ในบ้านแล้ว เขาก็รีบบึ่งรถไปรับมติมนต์ที่สนามบินทันที
“พี่หมอก” เสียงที่แสนคุ้นหูดังขึ้น แต่เจ้าของเสียงกลับดูไม่คุ้นตาทำให้เขาต้องขยับเข้าไปดูใกล้ ๆ จนอีกฝ่ายต้องเอ่ยเรียกอีกครั้ง “พี่หมอกนี่โมนาเอง”
“โมนา!” เมธัสเบิกตาโตด้วยความตกใจ เขาแทบไม่เชื่อสายตาเลยสักนิดไม่คิดว่าน้องสาวจะเปลี่ยนไปมากถึงขนาดนี้
ใบหน้าที่เคยจิ้มลิ้มหวานละไมกลับเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ผมที่เคยดกดำก็ถูกตัดจนเหลือแค่รากไทร ดวงตาที่เคยมีความสุขทุกครั้งในตอนที่เขาโทรหากลับมีแต่ความเศร้าจนมองเห็นน้ำหยดใสไหลคลอคลึงออกมา
“ใครทำโมนาแบบนี้...” อีกฝ่ายโอดครวญ เขาประคองกอดน้องสาวเอาไว้แนบอกด้วยความสงสารที่จุกล้นออกมา
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่หมอก”
“ไม่มีได้ไง ดูสิ หน้าช้ำไปหมดแล้ว บอกพี่มานะโมนา” เขาพยายามคาดคั้นจนในที่สุดมติมนต์ก็ยอมเล่าความจริงออกไป
“ไมเคิลเป็นคนตัดผมโมนาค่ะ เขาโกรธที่โมนาอวดเก่งอยากจะกลับมาประเทศไทยให้ได้”
“แล้วเห็นบอกย้ายออกจากบ้านมาแล้วไม่ใช่เหรอ” เมธัสถามย้ำ
“ค่ะ โมนาย้ายออกมาเช่าอพาร์ตเมนต์จนถึงวันที่โมนาเก็บเงินได้ โมนาจึงตัดสินใจกลับไปขอเอกสารที่บ้านเพื่อทำหนังสือเดินทาง เขาก็เลยโมโหทำกับโมนาแบบที่พี่หมอกเห็นนี่แหละค่ะ” มติมนต์ก้มหน้าตอบ พยายามกระชับหมวกใบใหญ่ให้ปิดบังใบหน้าไว้
“แล้วแม่ล่ะโมนา ทำไมแม่ไม่ช่วย”
“แม่เขากลัวลำบากน่ะค่ะ ถ้าเขาเข้าข้างโมนา ไมเคิลก็จะทิ้งเขา”
“บ้าจริง หลงผัวใหม่จนปล่อยลูกมาแบบนี้นี่อ่านะ แบบนี้ไม่ใช่แม่คนแล้ว” เมธัสขบกรามแน่น เขาคล้องไหล่เล็กสวมกอดน้องสาวไว้แล้วช่วยพากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกไปจากสนามบิน “ต่อไปนี้โมนาไม่ต้องกลัวอะไรแล้วนะ พี่จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายน้องพี่อีกเด็ดขาด พี่จะดูแลโมนาเอง”
“ค่ะพี่หมอก” เจ้าของใบหน้าที่มีแต่รอยฟกช้ำคลี่ยิ้มทั้งน้ำตา รู้สึกเหมือนตัวเองได้เจอที่พักพิงในที่สุด ดวงตาคู่เศร้าปิดลงเพื่อไล่หยาดน้ำตาก่อนจะเดินตามพี่ชายออกไปเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
“เชี่ย...ใครวะ” เข็มทิศอุทานลั่นเมื่อเห็นร่างอวบอ้วนของคนตรงหน้า ตอนแรกเขาคิดว่าคงเป็นเรื่องบังเอิญที่เสียงมือถือจะดังขึ้นตรงจังหวะที่เขาโทรหาพอดี เขาจึงรีบกดวางสายแล้วโทรเข้าไปใหม่แต่มือถือของอีกฝ่ายก็ยังดังเหมือนเดิม “อะไรวะเนี่ย”
“เข็ม นี่เราเอง โมนาไง” ใบหม่อนยิ้มกว้างขยับเข้ามาใกล้ทำให้เข็มทิศรีบขยับหนี
“โมนาบ้าอะไร ทำไมไม่ตรงปกวะ”
“ถึงเราไม่ตรงปกแต่การที่เข็มทิศยอมมาหาเราถึงที่นี่ มันก็หมายความว่าเข็มทิศมีใจให้เราแล้วไม่ใช่เหรอ” ใบหม่อนโมเมเข้าข้างตัวเองพลางเอื้อมไปจับมืออีกฝ่ายไว้ทำให้เข็มทิศต้องสะบัดหนี
“นี่เธอแอบอ้างเอารูปคนอื่นมาหลอกฉันสินะ”
“แต่ที่เราทำแบบนั้นเพราะเราชอบเข็มทิศจริง ๆ นะ ชอบมาตั้งนานแล้วด้วย” เจ้าของร่างอวบอ้วนกะพริบตาถี่พยายามทำใบหน้าให้ดูน่ารัก “เข็มจำเราไม่ได้เหรอ”
“หือ...ใครวะ” เข็มทิศผงะ จ้องมองใบหน้านั้นอยู่เนิ่นนานจนในที่สุดก็จำได้ “เชี่ย...ยัยแมมหม่อนนี่หว่า”
เมื่อจำใบหน้าของเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมปลายได้ เขาก็อุทานลั่นออกมาสุดเสียง ถึงเวลาจะผ่านมานานหลายปีแต่เขาก็ยังจำได้เป็นอย่างดีว่าใบหม่อนแอบชอบเขามานานจนถึงขั้นสารภาพรัก
ทว่าเหตุการณ์วันนั้นมันกลับจบไม่สวยเท่าไหร่ เพราะใบหม่อนถูกเพื่อนร่วมห้องล้อเลียนอย่างหนักทำให้เธอคิดสั้นกระโดดตึกเรียนลงมา ถึงจะไม่เสียชีวิตแต่มันก็ทำให้เธอมีอาการทางจิตจนต้องลาออกจากโรงเรียนไปตั้งแต่วันนั้น
“ผ่านมากี่ปี เธอก็ยังเรียกเราแบบนั้นไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเข็ม” ใบหม่อนโอดครวญ เพราะฉายาที่เข็มทิศเรียกเธอมันพ้องมาจากคำว่าแมมมอธที่หมายถึงสัตว์รูปร่างใหญ่โตในสมัยดึกดำบรรพ์ เธอจำมันได้ดีจนฝังลึกลงไปในจิตใจมาหลายปี
“นี่มันอะไรกันยัยแมมหม่อน เธอทำแบบนี้ทำไม”
“เราแค่อยากให้เธอมองเห็นเราบ้าง อยากให้เธอรู้ว่าเรารู้สึกแบบนั้นกับเธอจริง ๆ ”
“โหย...อยากจะร้อง” เข็มทิศทำหน้าเจียนจะร้องไห้ “ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเธอแบบนั้นเลยนะแมมหม่อน”
“ทำไมล่ะเข็ม เปิดใจให้เราบ้างไม่ได้เหรอ”
“ไม่โว้ย!” เขาตอบกลับไปในทันที “เรื่องวันนี้ฉันจะถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน ลืม ๆ มันไปเถอะนะ ถ้ารู้ถึงหูเพื่อนสมัยเรียน ฉันถูกล้อตายแน่ ๆ ”
เข็มทิศส่ายหน้าอย่างเซ็ง ๆ เขารีบหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อบล็อกการติดต่อจากมติมนต์ตัวปลอม ลบทุกอย่างทิ้งไปอย่างถาวร