สนามบินเช็กแล็บก็อก 13:00 นาฬิกา
แม้ว่าอาคารที่ย่านคอสเวย์เบย์ซึ่งอลินเช่าเพื่อพักอาศัยนั้นจะมีรถบัสขนส่งถึงสนามบินหรือแม้แต่หากจะโดยสารรถใต้ดินต่อเที่ยวที่มาสนามบินนานาชาติของฮ่องกงแต่หญิงสาวก็เลือกที่จะใช้บริการแท็กซี่เพราะหอบหิ้วข้าวของกลับไปเมืองไทยเยอะ เสื้อผ้าข้าวของหญิงสาวเก็บใส่กล่องฝากเจ้าของห้องพักนำไปบริจาคต่อ สิ่งของที่หิ้วกลับในกระเป๋าใบโตล้วนเป็นน้ำหอมและเครื่องประดับที่ผ่านการทำพิธีปลุกเสกที่วัดแชกงหมิวที่หล่อนจะนำไปเริ่มต้นธุรกิจค้าขายที่เมืองไทย
รถแท็กซี่คันเก่าเคลื่อนมาจอดเทียบยังอาคารที่เป็นจุดเช็กอินของสายการบินคาเธ่แปซิฟิคที่หล่อนมักใช้เดินทางเพราะที่นั่งกว้างขวางสบายและราคาเหมาะสมหากเทียบกับสายการบินอื่น ยกกระเป๋าใส่รถเข็นกระเป๋าของสนามบินไปแล้วก็ล้วงโทรศัพท์มาเพื่อเช็กเวลาแต่ก็ชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหล่อนปิดโทรศัพท์ไว้เพราะไม่ต้องการให้ชานป๋อหลินติดต่อมาอีกได้ นึกเสียดายที่ก่อนกลับไม่ได้โทรไปเอ่ยลาเหมยลี่จินและเพื่อนคนอื่นที่อยู่ที่นี่เลย คิดว่ากลับเมืองไทยจะติดต่อเพื่อบอกว่าเดินทางกลับถึงอย่างปลอดภัยแทน
ยังจะไม่ทันได้เข็นกระเป๋าเข้าไปในเขตอาคาร อลินก็ต้องสะดุดเพราะมีคนมายืนขวางรถเข็นของหล่อน กำลังจะเลี้ยวหนีอยู่แล้วหากมือเขาไม่เอื้อมมาจับรถเอาไว้ หญิงสาวเงยหน้ามองเขา... จากนั้นริมฝีปากหล่อนก็อ้าค้าง ดวงตาเบิกโตในบัดดล
ลูกน้องคนสนิทของชานป๋อหลิน เขามักมาอารักขามาเฟียหนุ่มเสมอยามที่ชานป๋อหลินมาหาหล่อน
“มีคนอยากคุยกับคุณ เขารอในรถ” คนที่มองหล่อนหน้านิ่งๆ อ่านไม่ออก ผายมือให้หล่อนมองไปยังรถสีดำมันปลาบที่จอดอยู่ริมทางเดิน
“ฉะ ฉันไม่ว่างค่ะฉันต้องรีบกลับเมืองไทย”
“ผมว่า คุณบอกเขาเองดีกว่านะครับ” เขายังผายมือให้เธอเดินไป ไม่อาจมองลอดกระจกที่ติดฟิล์มหนาทึบเข้าไปยังในรถได้ แต่กระนั้นก็ยังหายใจไม่ทั่วท้องเลย
“ฉันไม่คุย ฉันจะแจ้งตำรวจ จะแจ้งยามที่นี่ ปล่อยมือจากรถเข็นของฉัน” บอกเสียงเข่นเขี้ยวแล้วกระชากรถเข็นจากมือเขา อีกมือหนึ่งล้วงกระเป๋าแอบเปิดโทรศัพท์เพราะคิดว่าจะขอความช่วยเหลือจากตำรวจ...
“คนสนิทที่เปรียบเป็นมือขวาของชานป๋อหลินปล่อยมือจากรถเข็นของหล่อน แต่ยังไม่ทันได้เดินไปพ้นเสียงเยียบเย็นก็เอ่ยบอก
“ผมขอเตือนว่าอย่าพยายามมีปัญหากับป๋อหลินถ้าคุณอยากมีชีวิตที่สงบสุข ถ้าคุณจะกลับก็ไปบอกลาเขาให้จบตรงนี้ แต่ถ้าหนีเขาจะตามล่าคุณไปทั้งชีวิต คุณอาจจะยังไม่รู้จักเขาดีพอ แต่ผมขอเตือนในฐานะคนที่รู้จักเขามาก่อน”
อลินขนอ่อนลุกชันไปทั้งคอ... เป็นอย่างที่เหมยลี่จินว่าไว้จริงๆ ว่าเขาเป็นผู้ชายอันตราย กับหล่อนที่ไม่ได้สำคัญอะไรเขายังไม่ยอมให้ลบเหลี่ยม แต่แน่เหรอว่าเขาจะไม่หักคอหล่อน
“เขาจะฆ่าฉันไหมนั่น” หันกลับไปมองแล้วเผลอพูดสิ่งที่คิดออกไป แล้วก็ปิดปาก
“ไม่หรอก แต่ถ้าให้เขารอนานกว่านี้ ผมจะไม่รับรอง”
ถอนหายใจยาวก่อนจะเข็นกระเป๋าไปยังรถสีดำที่มีคนเปิดประตูรอท่าเพื่อไปคุยกับเขา ยังไม่ทันจะก้าวเข้าไปในรถโทรศัพท์ก็ดังขึ้นหล่อนรีบคว้ามารับทันใดเพราะเป็นหมายเลขของเหมยลี่จิน
“อลิน ฉันว่าตอนนี้เธอควรรีบกลับไปเมืองไทยก่อนที่จะสายไป คนของชานป๋อหลินมาควานหาตัวเธอไปทั่วแล้ว ระวังตัวด้วยนะ ตอนนี้เพิร์ลก็โดนเหวินไท่จือจับตัวไป ฉันให้แฟนของฉันไปต่อรองกับเควินอยู่ เสียดายจริงๆ ที่ไม่รู้ ถ้ารู้จะเตือนพวกเธอก่อนจะไปยุ่งกับพวกเขา...”
“อาเหมย...” ยังไม่ทันจะเอ่ยฟ้อง คนร่างสูงก็ก้าวออกมาจากรถและคว้าโทรศัพท์จากมือหล่อนไปดูหน้าจอแล้วก็คุยต่อให้...
“ตอนนี้อลินอยู่กับฉัน ฝากขอบคุณเด็กในร้านเธอด้วยแล้วกันที่บอกที่อยู่ให้” แล้วเขาก็กดวางสาย
อลินยืนตัวลีบอยู่ตรงหน้าชานป๋อหลิน อยากจะละลายแล้วหายไปจากตรงนี้ หล่อนจะบอกเขาแล้วเดินจากไปได้ง่ายอย่างที่ลูกน้องเขาบอกจริงหรือในเมื่อแม้แต่เวลาที่คุยโทรศัพท์กับเหมยลี่จินเขายังจ้องหล่อนด้วยนัยน์ตาดุอยู่เลย
เขาวางสายแล้วปิดโทรศัพท์ก่อนจะหย่อนลงในช่องด้านในของเสื้อสูทตัวเอง โดยเจ้าของโทรศัพท์ได้แต่มองตามตาละห้อย
“เข้าไปคุยกันข้างใน” เขาถอยออกให้หล่อนก้าวเข้าไปในรถ
บรรยากาศอึมครึมยิ่งนักยามเมื่อคนของเขาปิดประตูรถ หญิงสาวแทบอยากผวากระโดดออกถ้าเขาไม่กระชากแขนหล่อนเอาไว้...
“เธอคิดว่ากำลังเล่นกับใคร... ฉันให้คนไปรับที่คอนโดมิเนียมเธอ แต่เธอกลับมาอยู่ที่สนามบิน”
เสียงเหมือนคำรามทำให้คนที่ก้มมองมืออยู่อย่างขลาดเขลาเงยหน้ามองเขา...
“ฉันฝากเงินคืนแล้ว ฝากไว้ที่อาเหมย ฉันจะขอยกเลิกงานนี้แล้วกลับบ้านน่ะค่ะ ฉันจองตั๋วและบอกที่บ้านไว้แล้วว่าจะกลับ” บอกเสียงสั่น
“ฉันไม่อนุญาตให้กลับ... จนกว่าเธอจะทำงานที่รับปากไว้เสร็จ”
ชานป๋อหลินเอ่ยบอกให้คนขับด้านหน้าออกรถไปหลังจากได้ฟังคำตอบหล่อนไม่จบดีด้วยซ้ำ
แล้วหญิงสาวก็แทบพุ่งหลาวออกนอกรถเมื่อจู่ๆ รถที่จอดสนิทก็เคลื่อนตัวออกไป อ้าปากกว้างหันรีหันขวางที่กระเป๋าหล่อนยังอยู่บนรถเข็นและคนของชานป๋อหลินยกมันขึ้นรถอีกคันที่กำลังจะตามมา
“อย่าพยายามทำในสิ่งที่ฉันไม่ต้องการ ฉันหัวเสียกับเธอมามากพอแล้ว”
บอกแล้วหันไปนั่งพิงพนักพิงของรถหรู ความเร็วเร่งตีขึ้น หากแต่อลินรู้สึกเหมือนเวลาได้หยุดเดินไปแล้ว...
“หยุดอยู่เงียบๆ ทำเหมือนไม่มีตัวตนไปจนกว่าฉันจะพร้อมคุยกับเธอ ฉันไม่อยากเผลอทำอะไรไปเพราะโมโห ไว้ว่างพอที่จะจาระไนโทษเธอได้หมดค่อยคุยกัน”
อ้าว... ให้หล่อนทำเหมือนไม่มีตัวตน แล้วจะลากกลับมาทำไมกัน นอกจากจะอันตรายแล้ว เขาก็เป็นคนที่แปลกประหลาดมากๆ หันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาแล้วหญิงสาวก็หน้าม่อยลง
ในใจเอาแต่ตั้งคำถามว่าทำไมตัวเองต้องมาตกที่นั่งลำบากแบบนี้ด้วย