การประลองธนู เป็นหนึ่งในเกมกีฬาที่จัดขึ้นในทุกๆ สองถึงสามเดือน เปิดโอกาสให้พี่น้องได้มาพบปะผู้คุย สังสรรค์และทำกิจกรรมร่วมกัน โดยมีของรางวัลสำหรับผู้ชนะเป็นเหรียญตราที่ถูกสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษตามพระประสงค์ฮ่องเต้
แม้จะเป็นแค่การประลองเล็กๆ แต่ใครจะไปรู้ มันอาจนำมาซึ่งอนาคตที่สดใสในภายภาคหน้า บุตรคนใดทำผลงานได้ดีเป็นที่เข้าตาของฝ่าบาท หากไม่ได้รับการอวยยศเป็นท่านอ๋อง ก็ไม่แคล้วเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ หรือกระทั่งเป็นที่ถูกใจของบรรดาขุนนาง อยากจะเกี่ยวดองผูกสัมพันธ์ยกทั้งลูกสาวและสมบัติของตระกูลตัวเองให้ครอบครอง
แต่กลับกัน หากทำผลงานออกมาไม่ดี ก็เตรียมตัวม้วนหาง กลายเป็นสุนัขที่ถูกลืมได้เลย
อวี้เม่ยเดินวนไปมาอยู่บริเวณนั้นหลายรอบ ไม่กล้าก้าวขาเข้าไปภายใน หนึ่งเพราะตัวเองไม่ได้รับเชิญ สองนางยังไม่ได้เกี่ยวดองอะไรกับราชวงศ์อย่างเป็นทางการ เกรงว่าจะเป็นการกระทำที่ไม่สมควรและสร้างความอับอายต่อตระกูลฉาง
“อวี้เม่ย!!!”
แต่เหมือนสวรรค์เป็นใจ ส่งวีรบุรุษชุดขาวมาช่วยนาง เขาบังคับให้อาชาคู่ใจหยุดวิ่ง ก่อนกระโดดลงมายืนต่อหน้าสตรีอย่างชำนาญ
“ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะมา” องค์ชายห้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า
“ข้าก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าจะมา”
เดิมทีแเล้วอวี้เม่ยนั้นไม่แม้แต่จะกล้าเอ่ยขอกุ้ยเฟย ซ้ำยังทนนั่งฟังนางตินั้นบ่นนี้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทุกครั้งที่มีนางกำนัลเดินผ่านบริเวณนั้น เสียงพูดคุยบอกว่าการประลองครานี้ตื่นเต้นเพียงได้ ก็ทำอวี้เม่ยรู้สึกเสียดายเป็นหนักหนา
กระทั่งมีเสียงบอกที่ว่าหวงไท่จื่อสามารถเอาชนะองค์ชายรองได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ก็ทำอวี้เม่ยใจเต้นระรัว ครั้นจะไปแสดงความยินดี หวงไท่จื่อก็ถูกฮ่องเต้เรียกให้เข้าเฝ้า ได้รับพระบัญชานำกองทัพลงใต้ซะอย่างงั้น
ไม่ได้พบหน้ากันนานเป็นแรมเดือน ความสัมพันธ์ไม่คืบหน้าไม่พอ หวงไท่จื่อยังมีท่าทีเย็นชาหนักกว่าเดิมเสียอีก
“แล้วมายืนทำอะไรตรงนี้ รีบเข้ามาสิ”
“คือ…ข้าเข้าไปได้เหรอ ข้าไม่ได้ถูกเชิญ อีกทั้งนี่ยังเป็นงานที่ฝ่าบาทจัดขึ้นเพื่อลูกหลานของพระองค์ ข้า…”
“งั้นยิ่งต้องรีบเข้ามาเลย” องค์ชายห้าคะยั้นคะยอ “เจ้าเป็นว่าที่พระชายาของไท่จื่อ เท่ากับเป็นลูกสาวเสด็จพ่อ เป็นพี่สะใภ้ข้า ไยต้องทำเหมือนตัวเองห่างเหินด้วยเล่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวี้เม่ยก็เริ่มคลายความกังวลลง พร้อมเดินตามองค์ชายห้าเข้าไปภายใน สายตากวาดมองเหล่าบุรุษที่เกาะกลุ่มเสวนากันตามลานกว้าง บ้างดูเป็นหนุ่มใหญ่ท่าทางอาจหาญ ดวงตาเปล่งประกายกระหายในชัยชนะ บ้างก็ดูละม้ายคล้ายเด็กหนุ่มที่เพิ่งหัดจับดาบ แต่ลวดลายการแสดงออกนับว่ามีฝีมือ รอยยิ้มเล่ห์เหลี่ยม เป็นจอมวางแผนที่จะเอาชนะเหล่าพี่ชายด้วยสติปัญญาหาใช่กำลัง
“อวี้เม่ย เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ข้าอยู่ตรงนู้น ข้าจะพาเจ้าไปเข้าเฝ้านะ”
ขยับกายเพียงไม่กี่ก้าว อวี้เม่ยก็สังเกตเห็นบุรุษในชุดสีเหลืองทองเด่นสง่ามาแต่ไกล ทรงประทับอยู่ ณ ปะรำพิธีที่ถูกจัดเตรียมไว้ตรงตำแหน่งที่เหมาะแก่การชมการประลอง มีสายลมพัดผ่านและไม่ร้อนอบอ้าวจนเกินไป ประดับตกแต่งด้วยลวดลายสวยสะอาดตา ข้างๆ กันนั้น เต๋อเฟยในชุดขาวดูเรียบง่ายก็กำลังรินชาพลางชวนฮ่องเต้พูดคุย
“หม่อมฉันฉางอวี้เม่ย ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรเต๋อเฟยเพคะ” อวี้เม่ยคุกเข่าพร้อมคำนับ
“อ้าว อวี้เม่ย ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ ไหนกุ้ยเฟยบอกข้าว่าวันนี้เจ้ามีเรียนทั้งวัน ข้าก็กลัวจะเป็นการรบกวน ก็เลยไม่ได้ส่งคนไปเชิญเจ้า” ฮ่องเต้กล่าวบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย ต่างจากอวี้เม่ยที่แทบจะสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่
ที่แท้ก็เป็นท่านอีกแล้วหรือกุ้ยเฟย จงใจขัดขวางไม่ให้ข้ามาร่วมงานสินะ แล้วข้าก็โง่ยอมนั่งฟังนางพล่ามตั้งครึ่งค่อนวัน โธ่ ฉางอวี้เม่ยสมองน้อยเอ๋ย
“มาก็ดีแล้ว มานั่งด้วยกันสิ อีกเดี๋ยวเหล่าองค์หญิงก็จะออกมาร่ายรำให้ได้ชมกันแล้ว” เต๋อเฟยเชื้อเชิญอวี้เม่ยให้นั่งลงข้างนาง ซึ่งตอนนั้นเองก็ทำให้อวี้เม่ยตระหนักรู้แล้วว่าทำไมบทลงโทษขององค์หญิงหลิงเซียงถึงได้เบานัก แต่แท้จริงมันคือบทลงโทษที่สาสมซะเหลือเกิน
การถูกเนรเทศไปอยู่นอกวังชั่วคราว ทำให้องค์หญิงหลิงเซียงพลาดโอกาสในการแสดงความสามารถต่อพระพักตร์ พลาดที่จะได้โดดเด่นและเป็นที่โปรดดังใจปรารถนา
เต๋อเฟย ช่างเป็นสตรีที่มีความคิดล้ำลึกนัก
“เห็นจะไม่ได้เสด็จแม่ อวี้เม่ยมีนัดกับไท่จื่อแล้ว” องค์ชายห้าตอบพลางสะกิดให้อวี้เม่ยลุกขึ้น “ฉะนั้นแล้วพวกลูกขอตัว”
“เดี๋ยวเถอะนะองค์ชายห้า เสียมารยาทใหญ่แล้วนะ” เต๋อเฟยเอ็ดบุตรชายของตนเสียงดัง ก่อนเหลือบมองฮ่องเต้พร้อมกล่าวขออภัยแทนองค์ชายห้าที่พูดจาซุกซนไม่รู้กาลเทศะ
“เอาเถอะ วันนี้เป็นวันดีนะ องค์ชายห้าก็คงจะตื่นเต้น เว้นเรื่องมารยาทสักวันเถิด”
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เข้าข้างตัวเอง บุตรชายก็ดูจะได้ใจ ยิ้มหน้าบานอวดฟันเรียงสวยของตน “เสด็จพ่อกล่าวถูกต้อง ฉะนั้นพวกลูกขอตัว” ว่าแล้วก็ใช้ศอกสะกิดอีกครา ให้สตรีที่นั่งนิ่งลุกขึ้นเดินโดยไว
เสียงโหวกเหวกดังมาจากทั่วสารทิศ ต่างคนต่างเตรียมพร้อมและอวดร่างกายข่มขวัญคู่ต่อสู้ของตน กระทั่งเดินมาเรื่อยๆ อวี้เม่ยก็พบว่าไม่ได้มีแค่องค์ชายเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้เข้าแข่งขัน หากแต่ยังมีลูกหลานขุนนางอีกจำนวนหนึ่งที่ฮ่องเต้พระราชานุญาตให้เข้าร่วมได้
จะเรียกว่างานสังสรรค์ระหว่างครอบครัวคงจะไม่ถูกซะทีเดียว ในเมื่อคนที่ถูกเชิญมาไม่มีแค่คนในราชวงศ์ ขุนนางมากมายเดินกันให้ควั่ก จุดประสงค์ถ้าไม่อวดลูกชาย ก็มาตามหาลูกเขย
พูดถึงครอบครัว ก็ยังมีคนที่ขาดไปอยู่ ฮองไทเฮานั้นเกลียดการละเล่นรุนแรงจึงขอปฏิเสธ ส่วนซูเฟย ไม่น่าแปลกใจเพราะฮ่องเต้คงไม่โปรดหากเห็นนางป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ส่วนเสียนเฟย ได้ยินว่านางล้มป่วยจึงไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่แท้จริงคงแค่ขี้เกียจ ไม่อยากออกมาตากแดดตากลมเสียมากกว่า
จะเหลือแต่กุ้ยเฟย…ทำไมนางถึงไม่ได้รับเชิญ อีกทั้งยังลากข้าให้ไปนั่งหน้าเจื่อนกับนางด้วยเสียอีก นางต้องการอะไรกันแน่ ริษยาเลยต้องกีดกันข้าจากราชวงศ์งั้นหรือ
“ที่เจ้ามานี่ ไม่ใช่แค่อยากมาดูพวกข้าประลองเฉยๆ ใช่ไหม”
“หือ เอ่อ…ก็ ข้าเหมือนจะเคยฝันเห็นเหตุการณ์คล้ายวันนี้ ซึ่งในฝันนั้น ข้าได้แต่นั่งฟังผู้คนพูดกัน ก็เลยอยากมาดูให้เห็นกับตาบ้าง”
“เดี๋ยวนะ เจ้าบอกว่า เจ้าฝันเห็น…ความฝันเจ้าคืออนาคต งั้นหมายความว่า เจ้าก็ต้องรู้น่ะสิว่าใครจะเป็นที่หนึ่ง!!!” องค์ชายห้าทำตาโต เอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “บอกข้าหน่อยสิ”
“นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ที่ข้ามาวันนี้”
“นี่ละประสงค์ใหญ่เลย เจ้ารู้ไหมว่ามีคนเดิมพันข้างพี่รองเท่าไหร่” องค์ชายห้ากระซิบ “แต่ข้าว่าข้าจะลงข้างไท่จื่อ พี่ชายสุดที่รักของข้า เจ้าว่าไง”
อวี้เม่ยนิ่งงัน ก่อนกล่าวกลับสั้นๆ “มาถามข้าแบบนี้ขี้โกงนะ”
องค์ชายห้าร้องโอดครวญ “โธ่ ข้าเปล่าโกงเสียหน่อย แค่หาทางหนีทีไล่”
ขณะทั้งคู่กำลังขบขันให้กับคำพูดของอีกฝ่ายอยู่นั่นเอง อวี้เม่ยก็หันไปเห็นใครคนหนึ่งกำลังหยิบคันศรขึ้นมาพลิกดูพลางทำท่าง้างออก
บุรุษผู้เป็นเจ้าของใบหน้างดงามราวรูปสลักเทพเซียนจากสวรรค์ ท่าทีที่ดูเข้มขรึมชวนมอง ผมที่รวบขึ้นเสริมให้ดูแข็งแกร่งคล้ายแม่ทัพชั้นแนวหน้า ชุดแดงที่สวมใส่ดูเด่นสะกด รู้สึกได้ถึงพลังที่ถูกปล่อยออกมา ยากนักที่ใครอยากจะกล้าเข้าไปต่อกรด้วย
อวี้เม่ยไม่แม้แต่จะวางตาจากชายที่ตนหมายปอง ไท่จื่อ…ช่างงามสง่า ไม่เสียแรงที่ข้างัดความกล้าขึ้นมาเพื่อวันนี้
หวงไท่จื่อเองที่เริ่มรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาที่ตน เขาเงยหน้ามองดู กระทั่งสบตาเข้ากับอวี้เม่ย ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาคือ แปลกใจ ทำไมสตรีที่ตามติดกุ้ยเฟยถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้
เมื่อเห็นนางหลบสายตา หวงไท่จื่อก็ไม่รอช้าเดินเข้ามาหาทันที โดยที่หารู้ไม่ว่าการกระทำเช่นนี้เกือบทำหญิงสาวหัวใจหยุดเต้นไปชั่วครู่ ครั้นโน้มตัวจนสบตากันอีกครา ก่อนเอื้อนเอ่ย “เจ้ามาทำ…”
“อยู่ที่นี่กันเองเหรอเนี่ย ข้าตามหาแทบแย่ พี่ห้าไหนล่ะเงินวางเดิมพันของท่าน ข้ารอท่านอยู่คนเดียวนะเนี่ย” องค์ชายแปดที่อยู่ๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ มือหนึ่งถือถุงเงิน อีกมือถือพู่กัน บ่งบอกเลยว่าการพนันในครั้งนี้ เขานี่แหละตัวตั้งตัวตี
“อวี้เม่ย…” องค์ชายห้ากะพริบตาปริบ จนสุดท้ายอวี้เม่ยก็จำใจชี้นิ้วไปยังหวงไท่จื่อที่ยืนอยู่ข้างนาง “หมดหน้าตักเลยสหาย”