“ทำไมเพคะ… หม่อมฉันทำสิ่งใดผิด ทำไมพระองค์ถึงได้ทำกับหม่อมฉันถึงเพียงนี้ ทำไมทรงไม่เคยคิดถึงหัวใจของหม่อมฉันบ้างเลย”
“ข้าเคยบอกแล้วว่าไม่ปรารถนาจะแต่งกับเจ้า เป็นเจ้าเองที่ดื้อดึง ยัดเยียดตัวเองเข้ามาในชีวิตข้า”
“หม่อมฉันเนี่ยนะยัดเยียดตัวเองให้พระองค์… ฮ่องเต้ทรงประทานสมรส”
“อย่ายกเสด็จพ่อขึ้นมาอ้างหน่อยเลย เจ้ามันเป็นหญิงมักใหญ่ใฝ่สูง ตีสองหน้า ร้อยเล่ห์กล อยากยกตัวขึ้นเสมอเสด็จแม่ข้า อยากเป็นเหมือนนางมากสินะ!!”
“หม่อมฉันไม่เคยคิดเช่นนั้น จริงอยู่ที่ว่าหม่อมฉันอยากเจริญรอยตามฮองเฮา แต่ไม่ได้หมายถึงว่าจะตีตนเสมอท่าน”
แม้จะมีเหตุผลมากมายมาอธิบาย แต่บุรุษผู้นี้ก็หาได้ฟังความนั้นไม่ สตรีที่ไม่ยอมรับผิด อ้างนั้นนี้ไปเรื่อย ไม่มีคุณสมบัติจะได้รับการยกย่องให้เป็นพระชายา ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้เหยียบเข้ามาในตำหนักของเขาด้วยซ้ำ
“เจ้าออกไปจากตำหนักข้าเดี๋ยวนี้ แล้วอย่าเสนอหน้ามาที่นี่อีก ไป!!!”
อวี้เม่ยสะดุ้งตื่นจากฝัน ฝันที่คล้ายจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้ว อนาคตอันใกล้…
ข้าฝันเห็นอนาคตอีกแล้วสินะ แม้จะเป็นเพียงเหตุการณ์ช่วงหนึ่งก่อนข้าจะได้รับโทษประหาร หากทว่าความรู้สึกนั้น ข้ายังจำได้ดี เศร้าโศก หมดหวัง และว้าเหว่
แม้ยามเช้าจะยังมาไม่ถึง แต่อวี้เม่ยก็ไม่อาจข่มตาให้หลับต่อได้ นางลุกขึ้นจากเตียงนอน หยิบผ้าคลุมที่พาดอยู่ขึ้นมาสวมก่อนเดินออกมาสูดอากาศข้างนอก
“ว่าที่พระชายา ทรงออกมาข้างนอกทำไมพ่ะย่ะค่ะ” หนึ่งในขันทีน้อยทั้งสี่ร้องถามทันทีที่เห็นอวี้เม่ย
“ข้านอนไม่หลับน่ะ อยากจะออกมาเดินเล่นเสียหน่อย”
“ให้ข้าน้อยอยู่เป็นเพื่อนไหมหรือถ้าอยากดื่มชา”
“ไม่ๆ ข้าขออยู่คนเดียวดีกว่า มีอะไรเจ้าก็ไปทำเถิด”
บรรยากาศที่เงียบสงบ ท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้ซึ่งแสงของดวงดาว แม้จะบอกว่าออกมาเดินเล่นแต่ก็อยู่แค่เพียงภายในตำหนัก แม้จะมีสวนเล็กๆ ให้มานั่งพักผ่อนหย่อนใจแต่ก็ไม่เหมือนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่อยู่ภายนอก
คิดถึงท่านพ่อท่านแม่…
ข้าจะมีโอกาสกลับไปพบพวกท่านไหมนะ…
ความสัมพันธ์ของข้ากับไท่จื่อจะเป็นอย่างไรต่อ ครั้งก่อนเหมือนว่ามันจะดี พวกเราต่างพูดคุยและหัวเราะให้แก่กัน แต่พอฝันเห็นแบบนั้น ข้าก็กลัวเหลือเกิน ไม่อยากให้เป็นดั่งในฝัน ไม่อยากผิดใจกับไท่จื่อ
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าปริศนาปลุกอวี้เม่ยให้ตื่นจากภวังค์แห่งความคิด นางหันมองไปทางต้นเสียงที่ดูเหมือนจะดังออกมาจากนอกตำหนัก
ใครกันนะ ดึกดื่นปานนี้
อวี้เม่ยย่องไปทางประตูใหญ่ช้าๆ แงมออกดูและก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นชายในชุดดำเดินผ่านหน้าไป เขามีร่างกายสูงโปร่งคุ้นตา หากแต่ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าสีดำเว้นเพียงดวงตาที่ตวัดเฉียงขึ้นดูลึกลับชวนขนหัวลุก
ขโมย…ไม่สิ ไม่น่าจะมีใครลอบเข้ามาภายในวังหลวงได้ อาจจะเป็นจอมยุทธ์ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาด้วย
“คุณหนู มาทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ”
อวี้เม่ยสะดุ้งโหยง หันมาเห็นฮุยอินยืนอยู่ข้างหลัง
“โธ่ฮุยอิน ข้าตกใจหมด”
“ข้าไม่เห็นคุณหนูอยู่ที่ห้อง จึงมาตามหาเจ้าค่ะ”
อวี้เม่ยส่ายหน้าอย่างหัวเสีย ก่อนหันกลับมาส่องประตูดูอีกครั้ง แต่บุรุษลึกลับกลับหายไปเสียแล้ว เหลือไว้เพียงเสียงลมที่พัดผ่านกับปริศนาชวนฉงน
“เพราะเจ้าเลยฮุยอิน”
“อะไรเจ้าคะ?”
ฮุยอินทำหน้างุนงง ซึ่งอวี้เม่ยเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ นางยังคงหันรีหันขวามองตามทางเดินหินอ่อนที่ถอดยาวออกไปในความมืด เส้นทางที่นำออกไปยังตำหนักต่างๆ ของเหล่าองค์ชายองค์หญิงและหวงไท่จื่อ
ขออย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเลยนะ
“คุณหนู ลมเริ่มแรงเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะเจ้าคะ อีกทั้งเมื่อฟ้าสางยังต้องเตรียมตัวไปเรียนมารยาทกับกุ้ยเฟยด้วย”
อ่า…จริงสินะ
พรุ่งนี้เป็นวันเรียนมารยาท ข้าต้องนั่งคุกเข่าราวสามชั่วยามเพื่อฟังคำสอนที่ไร้แก่นสารของนางแม่มดนั้น แค่คิดก็น่าเบื่อเต็มที
หากแต่ยังเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง เป็นวันประลองธนูระหว่างเหล่าองค์ชาย เพื่อช่วงชิงความเป็นหนึ่งในกองพลทหาร ผู้ชนะจะมีสิทธิ์เป็นแม่ทัพใหญ่ นำทัพหลวงไปยังหน้าด่านทางตอนใต้เพื่อปราบโจรป่ารวมทั้งนำเสบียงไปแจกจ่ายแก่ราษฎรที่ประสบภัยแล้ง
แม้อวี้เม่ยจะรู้ผลแพ้ชนะอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่อยากจะไปดูให้เห็นเป็นขวัญตาสักครั้ง เสียงลือนั่นบอกถึงฝีมือที่โค่นกันไม่ลงระหว่างหวงไท่จื่อกับองค์ชายรอง ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะจนยากที่จะคาดเดาถึงผู้ชนะถาวร
ความปรารถนาอันแรงกล้ายากที่จะปิดบังให้พ้นจากสายตาของผู้สอดรู้ แม่นมจางกระซิบบอกกุ้ยเฟยถึงท่าทีกระสับกระส่ายของอวี้เม่ย
“อวี้เม่ย เจ้าฟังที่ข้าบอกอยู่หรือไม่” กุ้ยเฟยทำเสียงดุ “ดูท่าคงอยากจะไปชมการประลองธนูมากกว่าเรียนมารยาทสินะ”
หากรู้ก็ปล่อยข้าไปเสียสิ
“เห็นทีเจ้าคงต้องผิดหวังเสียแล้ว การละเล่นของบุรุษไม่เหมาะกับสตรีเช่นเราหรอก การวางตัวให้เหมาะ อยู่ในที่ของตัวเองเป็นสิ่งที่เจ้า อนาคตราชวงศ์พึงควรกระทำมากกว่า”
แม้จะขัดใจแต่หญิงสาวก็จำยอมตอบกลับเพียง “เพคะ”
กุ้ยเฟยยิ้มอย่างพอพระทัย เชิดจมูกขึ้นเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “เจ้ารู้ตัวใช่ไหมว่าใครๆ ต่างจับจ้องเจ้า หญิงสาวผู้โชคดี อนาคตของเจ้าต้องสดใส ขอเพียงเชื่อข้า ข้ารับรองว่าเจ้าจะไม่ลำบาก”
“เพคะ ขอบพระทัยที่ทรงชี้แนะ”
แต่ตอนนี้ขอข้าไปดูไท่จื่อแข่งยิงธนูก่อนได้ไหม
“ฉะนั้นสิ่งแรกที่ควรทำ คือเลิกลุกลี้ลุกลนเสียที”
อวี้เม่ยเม้มปากแน่น “คือ…จะเป็นการ…เอ่อ…คือหม่อมฉันอยากจะ”
“นี่ที่ข้าพร่ำสอนไปไม่ได้เข้าหัวเจ้าเลยหรือไง อยากจะเป็นลม แม่นมจาง ข้าควรทำอย่างไรกับนางดี ฝ่าบาทจะต้องทรงผิดหวังมากแน่หากรู้ว่าข้าไม่สามารถขัดเกลาให้นางเป็นกุลสตรีที่ดีได้” เป็นคำกล่าวที่ดูจะเสียดสีมากกว่าตัดพ้อ กุ้ยเฟยยกมือของนางขึ้นทาบอก ก่อนเปลี่ยนมาสัมผัสที่ใบหน้าของอวี้เม่ย ไล่นิ้วมือเรียวไปที่แก้มแดงทั้งสอง
“ทำไมสวรรค์ถึงไม่ยุติธรรมกับข้าบ้างนะ” แววตาที่จับจ้องสะท้อนได้ถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ ในเมื่อคนก็ตายไปแล้ว เหตุใดฝ่าบาทถึงยังเฝ้าเว้าวอน ทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของเมียรักอยู่ได้
หากเกิดสิ่งใดขึ้น ตำแหน่งของข้าขอยกให้กับฉางอวี้เม่ยแต่เพียงผู้เดียว
บัดซบ!!!
มันต้องเป็นของข้าสิ ตำแหน่งฮองเฮาควรเป็นของข้า!!!
“ยังไงก็ตาม วันนี้เราจะฝึกมารยาทพื้นฐานไล่ไปจนถึงการทำความเคารพเหล่าบรรพชนผู้ล่วงลับ เจ้าต้องแสดงให้ข้าเห็นถึงสิ่งที่ฮองเฮาคนก่อนมองเห็นในตัวเจ้า ทำให้ข้าเชื่อ ว่าเจ้าสมควรเคียงคู่องค์รัชทายาท”
ความกดดันนี้…เป็นสิ่งที่อวี้เม่ยต้องทนแบกรับมาโดยตลอด เมื่อก้าวเข้าสู่วัยสาว ใครๆ ต่างบอกถึงหน้าที่อันทรงเกียรติ ความสุขที่สตรีทั่วหล้าต่างเฝ้าฝันหา นำศักดิ์ศรีและเกียรติสู่วงศ์ตระกูล การแต่งงานเป็นสิ่งเดียวที่บุตรสาวจะเชิดชูเกียรติของพ่อแม่ได้
“หากอยากเป็นดั่งเช่นฮองเฮา เจ้าก็จำต้องเรียนรู้ให้หนัก ฝึกให้มาก เข้าใจไหม”
อยากเป็นดั่งฮองเฮา…
จู่ๆ เสียงของหวงไท่จื่อก็ผุดเข้ามาในหัวของอวี้เม่ย อยากยกตัวขึ้นเสมอเสด็จแม่
“อวี้เม่ย เจ้าฟังข้าอยู่หรือเปล่า”
เจ้ารู้รึเปล่าว่าตัวเองเป็นใคร เข้ามาในวังเพราะเหตุผลใด ทำไมต้องให้คนนั้นคนนี้มาชี้นิ้วสั่งด้วย เจ้ามีสิทธิ์ปฏิเสธก็จงทำ อย่าได้เกรงใจใคร…
คำที่หวงไท่จื่อเคยกล่าวกับอวี้เม่ยหลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำ หรือมันจะเป็นคำเตือนอะไรบางอย่างที่ส่งถึงนาง หากไม่ลุกขึ้นต่อต้านดั่งคำบอกของว่าที่สามี เหตุการณ์ที่ฝันเห็นเมื่อคืนก็อาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้
ข้าไม่อยากให้ไท่จื่อเกลียดข้า
“ไม่”
อวี้เม่ยเงยหน้าสบตากับกุ้ยเฟย “หม่อมฉันไม่อยากเรียนมารยาท หม่อมฉันอยากไปดูไท่จื่อประลองธนู หากทรงเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สมควร เชิญท่านทูลฟ้องฮองไทเฮาได้โดยตรง หม่อมฉันจะขอรับโทษโดยไม่มีข้อกังขาเพคะ”
กุ้ยเฟยกับแม่นมจางอึ้งไปชั่วครู่ ครั้นเอ่ยปากจะห้าม อวี้เม่ยก็พลันลุกขึ้นโค้งศีรษะหนึ่งที ก่อนเดินออกมาด้วยความรู้สึกผิดแปลกไปจากเดิม ข้าเปลี่ยนเหตุการณ์อีกแล้ว... แต่กลับรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด
ความกังวลที่เคยเกิดขึ้นทุกครั้งที่นางกระทำบางอย่างให้ต่างไปจากความฝัน มันหายไป เหลือเพียงความรู้สึกโล่งอกเข้ามาแทนที่ รู้สึกโล่งที่ไม่ต้องมานั่งทนกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง โดยมีคนไม่ได้เรื่องอย่างกุ้ยเฟยคอยนำพา
ข้าไม่รู้ว่านางจะมีส่วนเกี่ยวหรือรู้เห็นกับการใส่ความข้าในอนาคตหรือไม่ แต่หากเป็นไปได้ ข้าอยากจะเอาตัวหลีกหนีจากนางให้ได้มากที่สุด และข้ารู้แล้วว่าควรทำเช่นไร