ตอนที่ 6 เจ้าของฟาร์มกับความรู้ทั่วไป

2284 คำ
หลังจากเช้าที่วุ่นวายจบลง ท่านพ่อก็ออกไปทำงานในเมืองเช่นทุกวัน ท่านแม่ก็แยกไปทำงานบ้าน พี่ใหญ่และน้องชายฝาแฝดก็ไปเรียนหนังสือที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ถือว่าหมู่บ้านแห่งนี้โชคดี ผู้ใหญ่บ้านในอดีตเคยเป็นบัณฑิตทำงานรับใช้ราชสำนักมาก่อน แต่ทำอยู่ไม่นานก็อยากหลีกหนีความวุ่นวายจึงย้ายครอบครัวกลับมาอยู่ที่นี่เมื่อห้าปีก่อนและก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้านต่อจากบิดา เมื่อสองปีก่อนจึงเริ่มสอนหนังสือให้เด็กๆ ในหมู่บ้านที่มีอายุตั้งแต่ 5-10ปี โดยไม่คิดเงิน ขอเพียงมาเรียนต่อให้มาแค่ตัวก็ยินดีจะสอนให้ และปีนี้พี่ใหญ่มีอายุสิบปีแล้วจึงเป็นปีสุดท้ายที่จะได้ไปเรียน เรื่องนี้พี่ใหญ่เล่าให้นางฟัง ลี่อินหลังจากกินข้าวเช้าและยาบำรุงเรียบร้อยก็นอนหลับไปอีกครั้ง ตอนนี้ที่รู้สึกตัวตื่นน่าจะเป็นช่วงเที่ยงดูจากแสงอาทิตย์แล้ว และกระเพาะน้อยๆ ก็เริ่มส่งเสียงออกมา "หืม ท้องของลูกตื่นก่อนตัวคนอีกรึนี่" ลี่ถิงที่แวะมาดูบุตรสาว พอเปิดประตูห้องก็ได้ยินเสียงท้องของบุตรสาวร้องก่อนที่ตัวคนจะลุกขึ้นมาเสียอีก "ท่านแม่ลูกตื่นแล้ว และก็หิวมากๆ ด้วยเจ้าค่ะ" ลี่อินอยากลองทำตัวเป็นเด็กน้อยออดอ้อนมารดาเหมือนน้องชายดูบ้าง อะไรที่ตอนเป็นดวงดาวไม่ได้ทำ ตอนนี้เป็นลี่อินนางจะลองทำทั้งหมด และจะไม่ยอมเห็นอะไรสำคัญไปกว่าครอบครัวอีกแล้ว "ได้ๆ รอประเดี๋ยวแม่กำลังอุ่นข้าวต้มเมื่อเช้าให้อยู่ หรือว่าเจ้าเบื่อรอตอนเย็นแล้วกันจะให้พ่อเจ้าไปดูที่ดักปลา เผื่อได้ปลามาทำข้าวต้มให้" ลี่ถิงระหว่างที่พูดคุยก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าและตัวให้บุตรสาวไปด้วย "ลูกไม่กินข้าวต้มแล้วได้หรือไม่เจ้าคะ ลูกอยากกินสามชั้นทอดที่น้องเล็กเล่าให้ฟังบ้าง" ลี่อินที่คิดถึงเมื่อตอนเช้าที่ฟังน้องชายบรรยายถึงความอร่อยของสามชั้นทอดก็ให้น้ำลายไหล "รอให้เจ้าแข็งแรงกว่านี้อีกหน่อยเถอะ เจ้านอนไปหลายวันกระเพาะยังไม่แข็งแรงดี กินข้าวต้มไปก่อนเถอะ ถ้าเจ้าหายดีเมื่อไหร่แม่จะทำให้กินดีไหม" ลี่ถิงเองก็เข้าใจบุตรสาว เจ้าแฝดน้องเล็กตัวแสบเล่นมาพูดให้พี่สาวฟังถึงความอร่อยของสามชั้นทอดคนพี่ก็คงอยากจะกินบ้าง แต่บุตรสาวพึ่งจะฟื้นหลังจากนอนไม่ได้สติไปถึงห้าวัน อาหารอะไรก็ไม่ได้กินนอกจากน้ำข้าวที่นางเป็นคนป้อนให้ จึงยังไม่กล้าให้กินอะไรหนักท้องเกินไป อย่างก้อนขนมเมื่อเช้านางยังให้กินไปนิดเดียวกลัวว่ากระเพาะของบุตรสาวจะย่อยไม่ได้ รอให้หายดีอยากจะกินเท่าไหร่นางก็จะไม่ห้าม ลี่อินไม่รู้ว่ามารดากำลังคิดอะไรอยู่ ถ้ารู้คงได้แต่ตกใจเป็นแน่ ท่านแม่ขืนท่านไม่ห้ามยอมให้กินตามใจ นางคงได้กลายเป็นลูกหมูตัวน้อยแน่ ของพวกนี้มันมีแต่ไขมันทั้งนั้นนะเจ้าคะ "ก็ได้เจ้าค่ะ ว่าแต่อากาศร้อนเหลือเกิน ลูกอยากดื่มน้ำเย็นๆ ได้หรือไม่เจ้าคะ" ลี่อินรู้สึกร้อนเล็กน้อย พอมองไปที่จอเกมข้างๆ เห็นเครื่องทำน้ำผลไม้ก็คิดถึงน้ำส้มเย็นๆ จึงเอ่ยถามมารดาดู ตอนนี้นางสามารถเลื่อนจอไปอยู่ตำแหน่งอื่นนอกจากตรงหน้าตนเองได้แล้ว จึงเลื่อนให้ไปอยู่ด้านข้างพอจะดูก็หันไปจะได้ไม่ต้องมาบังที่ด้านหน้านางมองอะไรลำบาก "น้ำอะไรเย็นๆ อย่างงั้นรึ แม่มีแต่น้ำต้มนะสิ" ลี่ถิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ปรกตินางให้บุตรสาวดื่มแต่น้ำต้มอุ่นๆ เท่านั้น "ท่านแม่ลืมไปแล้วรึเจ้าคะว่าลูกมีอะไร น้ำส้ม 6 ขวดออกมา" ลี่อินยิ้มทะเล้นใส่มารดาแล้วก็เอ่ยเรียกของที่ต้องการออกมา "แม่ไม่ได้ลืมแต่ไม่อยากให้เจ้าใช้มันบ่อยนัก เกิดมีใครอื่นมารู้มาเห็นเข้าเจ้าจะเป็นอันตรายได้" ลี่ถิงไม่ได้ลืมเพียงแต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่ลูกสาวมีมันมีของอะไรอยู่บ้าง และนางก็ยังหวาดระแวงกลัวคนอื่นมารู้เข้าจึงไม่อยากให้บุตรสาวเรียกใช้บ่อยนัก "ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่ทันคิดให้ดี ถ้าอย่างนั้นลูกจะทำแค่เฉพาะเวลาอยู่ในห้องดีไหมเจ้าคะ คงไม่มีใครมาเห็นหรอก" ลี่อินพอได้ฟังก็เข้าใจความกังวลของมารดาแต่ถ้ามีแล้วไม่ได้ใช้ก็รู้สึกเหมือนเจอของเซลล์แล้วไม่ได้ซื้อถึงซื้อไปอาจจะไม่ได้ใช้แต่แค่ได้ซื้อสักชิ้นก็ยังดี "อืมทำเฉพาะเวลาอยู่ในห้อง แล้วก็ต้องมีพ่อหรือแม่อยู่ในบ้านด้วยเข้าใจไหม" ลี่ถิงก็เข้าใจบุตรสาวมีของวิเศษอยู่ในมือก็คงอยากจะใช้ แต่อย่างน้อยตอนที่จะใช้ให้ตัวนางหรือบิดาของบุตรสาวอยู่ในบ้านด้วย เผื่อเกิดอะไรขึ้นยังมีผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือได้ "เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ว่าแต่ลูกลืมไปว่าพี่ใหญ่กับน้องๆ ไม่อยู่ เลยเรียกของออกมาเสียเยอะเลยจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ" ลี่อินมองขวดน้ำส้มหกขวดที่วางอยู่ตรงหน้า ด้วยคิดถึงคนในครอบครัวจึงเรียกออกมาครบจำนวนคนแต่ลืมไปว่าตอนนี้มีนางกับมารดาอยู่กันแค่สองคนเท่านั้น "ไม่เป็นไรประเดี๋ยวแม่จะเอาไปแช่ไว้ที่บ่อน้ำหลังบ้าน เจ้าดื่มเสียแม่จะไปตักข้าวมาให้" ลี่ถิงหยิบขวดน้ำสีส้มขึ้นมาสี่ขวดแล้วเอาไปใส่ในถังน้ำแล้วแขวนลงไปในบ่อน้ำ บ้านนี้ถึงจะเป็นบ้านเก่าของพ่อแม่สามีแต่ก็มีทุกอย่างครบ "อ่า..ชื่นใจจัง ว่าแต่ของพวกนี้เอาไปขายได้ไหมนะ" ลี่อินพึ่งจะพูดจบ จอเกมที่อยู่ด้านข้างก็กะพริบแจ้งเตือน ลี่อินจึงรีบเลื่อนจอเกมขึ้นมาดู [แจ้งเตือน!!! สินค้าในคลังไม่สามารถขายได้ แต่สินค้าที่สั่งผลิตสามารถขายได้ หากฝ่าฝืนจำนวนสินค้าในคลังจะลดลงตามจำนวนที่นำออกไปและจะถูกหักเหรียญทองตามราคาของการสั่งผลิต] "อ่า..ขายได้แต่ของที่เสียทองสั่งผลิต ของในคลังกินได้ใช้ได้อย่างเดียวนี่เอง อืมก็ดีนะอยากขายก็ต้องซื้อจะเอาของฟรีไปขายได้ยังไง ว่าแต่ทองแท่งที่ให้ท่านพ่อไปล่ะ" ลี่อินอ่านจบก็พยักหน้าว่าเข้าใจแต่ก็นึกไปถึงทองคำแท่งที่ให้บิดาไปเมื่อคืนขึ้นมา [เครื่องผลิตแร่เป็นข้อยกเว้น เพราะเสียเพชรขุดแร่มาใช้เป็นวัสดุในการผลิตแล้ว] "อ่อ..นับว่ายุติธรรมดี ขุดแร่แต่ละครั้งเสียเพชรตั้งเยอะ ว่าแต่มีอะไรอีกนะ อ่ะ ตกปลาล่ะทำได้ไหม" ครั้งนี้ไม่มีคำสั่งอะไรขึ้นมาและนางก็มองหาท่าเรือที่จะไปยังแผนที่ตกปลาไม่เจอก็แสดงว่าตกปลาไม่ได้ แต่แค่นี้ที่มีอยู่ก็นับว่ามากพอแล้ว "มากินข้าวก่อน ยาเจ้ายังเหลืออีกชามหมดชามนี้ก็คงต้องรอค่าจ้างของพ่อเจ้ารอบหน้าแล้วล่ะ" ลี่ถิงที่ตักข้าวต้มเข้ามาพร้อมชามยาเอ่ยบอกบุตรสาว ที่กำลังพยักหน้าเหมือนไก่จิกและปากยังพึมพำอะไรสักอย่างอยู่ตลอด ก็ให้ขบขันบุตรสาวนางพยักหน้าให้ใครดูกัน "ท่านแม่ถ้าเราเอาของพวกนี้ไปขายละเจ้าคะ" ลี่อินได้ยินเสียงมารดาพอหันไปมองก็เห็นมารดากำลังยิ้มขำตนอยู่ก็นึกถึงท่าทางเมื่อครู่ที่ตนเองพยักหน้าเข้าใจใส่จอเกมก็ให้อับอายเล็กน้อย จึงรีบเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง "ของพวกนี้มันเอาไปขายได้ด้วยรึ แม่คิดว่าให้กินให้ใช้ได้แค่นั้น" ลี่ถิงเองก็เข้าใจว่าบุตรสาวอายจึงหันไปสนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด "ขายได้เจ้าค่ะ เพียงแต่ท่านแม่อยากเอาไปขายหรือไม่ ลูกว่าคงดีกว่าเอาผักไปขายเพราะใครๆ ก็ปลูกผักขายกัน" ลี่อินพอนึกถึงเรื่องฐานะของที่บ้านนอกจากบิดาที่ไปรับจ้างทำงานในเมือง ก็มีมารดาที่นำผักที่ปลูกไปขายในหมู่บ้าน แต่ในหมู่บ้านทุกบ้านต่างก็ปลูกผักจึงขายไม่ค่อยได้ หรือบางทีบิดาก็นำเข้าเมืองไปขายที่เหลาอาหารที่บิดาทำงานอยู่แต่ก็ไม่บ่อยนักเพราะที่เหลามีเจ้าประจำคอยส่งผักให้อยู่แล้ว "อืมเอาไว้แม่ปรึกษากับพ่อเจ้าก่อน เรื่องนี้เราต้องคิดทบทวนให้ดีถ้าเอาของที่แปลกแตกต่างจากชาวบ้านมากไปขายก็อาจจะถูกสงสัยได้ ยังไม่ต้องกังวลถึงเรื่องนี้หรอกข้าวกับเนื้อหมูที่เจ้าให้มายังกินได้อีกหลายวัน" ลี่ถิงเองก็มีความคิดนี้อยู่เหมือนกัน แต่นางก็ยังเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของบุตรสาวและครอบครัวจึงได้ลองเอ่ยบอกให้สามีไปหาดูช่องทางเอาไว้ก่อนแล้ว "เจ้าค่ะ แต่ลูกก็อยากให้บ้านเราเอาของพวกนี้ออกไปขายนะเจ้าคะ ลูกเห็นหลังคาบ้านแล้วกลัวว่าถ้าฝนตกหนักคงนอนไม่ได้พอดี" ลี่อินเองก็เข้าใจความกังวลของมารดาของแต่ละอย่างดูแล้วมีราคา ถ้าอยู่ๆ เอาออกไปขายคงเรียกความสงสัยจากคนอื่นได้ ก็ครอบครัวของนางยากจนติดอันดับต้นๆ ของหมู่บ้านเลย แล้วอยู่ๆ มีของดูมีราคาไปขายใครจะไม่คิดสงสัยกันล่ะ แต่พอมองหลังคาบ้าน ผนังห้องแล้วถึงจะมีคนสงสัยนางก็อยากให้เอาไปขายอยู่ดี นางไม่อยากนอนท่ามกลางน้ำฝนรอระบายหรอกนะ "อืม รอพ่อเจ้ากลับมาแม่จะลองปรึกษาดูเผื่ออาจจะเอาไปขายในเมืองได้ คงดีกว่าขายในหมู่บ้านหรือในอำเภอ" ลี่ถิงเองก็คิดเรื่องปรับปรุงบ้านเอาไว้แล้วตั้งแต่เห็นทองคำสองแท่งเมื่อคืน เพียงแต่ครอบครัวนางยากจนมาก อยู่ๆ มีเงินมาทำบ้านใหม่คนจะสงสัยเอาได้ รอให้สามีกลับมาค่อยพูดคุยวางแผนเรื่องนี้กัน "จริงสิเจ้าคะ ท่านแม่หมู่บ้านที่เราอยู่นี่คือหมู่บ้านอะไร และอยู่ในเมืองไหนหรือเจ้าคะ แล้วบ้านเราติดภูเขาติดแม่น้ำลำธารอะไรบ้าง" ลี่อินที่นึกถึงเรื่องสำคัญได้ก็รีบเอ่ยถามมารดา "ฮ่าฮ่ะ ใจเย็นๆ ป่วยแค่ไม่กี่วันเจ้าก็ลืมเรื่องราวไปหมดเลยอย่างงั้นรึ" ลี่ถิงหัวเราะขบขันบุตรสาว ก็ดูท่าทางร้อนใจจนตาโตนั้นสิช่างตลกนัก แต่ก็ไม่แปลกที่บุตรสาวจะไม่รู้เพราะนางไม่ได้ออกไปไหนมาไหนหลายปีแล้วออกไปไกลสุดก็แค่ลานหน้าบ้าน และร่างกายที่อ่อนแอนอกจากนอนหลับแล้วเวลาตื่นก็แค่กินข้าวกินยาเท่านั้น ที่ตอนนี้ร่างกายของบุตรสาวสามารถลุกนั่งขยับไปมาเองได้ก็เรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว "สงสัยจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ความทรงจำของลูกจำได้แค่เรื่องครอบครัวเราเท่านั้น อย่างอื่นไม่มีเลยเจ้าค่ะ" ลี่อินก็ยอมรับไปตามตรงร่างนี้มีความทรงจำน้อยนิด นอกจากเรื่องครอบครัวก็ไม่มีอะไรเลย "ไม่เป็นไรมาประเดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟัง.." แล้วท่านแม่ก็เล่าให้นางฟังว่า หมู่บ้านที่อยู่นี่คือหมู่บ้านชุนไห่ ตั้งอยู่ในอำเภอว่านเสีย เมืองไห่หนานซึ่งเป็นเมืองติดทะเลที่สำคัญเพราะมีท่าเรือใหญ่อยู่ที่นี่ และตัวหมู่บ้านก็ห่างจากตัวเมืองแค่สิบลี้ (5กม.) ในตัวเมืองเจริญมากมีการค้าและผู้คนเดินทางผ่านไปมามากมาย ส่วนตัวอำเภอจะถึงก่อนตัวเมืองห่างออกไปสี่ลี้ (2กม.) ส่วนตลาดของหมู่บ้านก็เดินไปเพียงครึ่งลี้ (250ม.) เท่านั้น "แล้วเราอยู่ห่างจากท่าเรือมากหรือไม่เจ้าคะท่านแม่" ลี่อินที่รู้ว่ามีท่าเรือก็รู้สึกสนใจ "ท่าเรือห่างจากตัวเมืองเพียงหนึ่งลี้ (500ม.) พวกตาฟ้า กับพวกมัดจุกถือดาบจึงชอบไปแวะพักที่ในตัวเมืองเวลาเรือมาจอดลงสินค้ากัน" ลี่ถิงเคยไปในเมืองเพื่อส่งผักให้ร้านที่สามีทำงานจึงเคยเจอคนพวกนี้บ่อยๆ ตอนแรกๆ นางก็ทั้งตกใจทั้งหวาดกลัวเพราะพวกตาฟ้าตัวโตมาก พวกมัดจุกก็เอาแต่ถือดาบเดินไปเดินมาตลอด พอนานวันเข้า คนพวกนี้ยิ่งมามากขึ้น นางจึงค่อยๆ ชินและหายตกใจไปเอง ลี่อินฟังที่มารดาเล่าก็คิดตาม พวกตาฟ้าคงเป็นพวกยุโรป แต่พวกมัดจุกถือดาบสงสัยจะเป็นพวกซามูไรเป็นแน่ชักอยากไปเห็นแล้วสิ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม