แต่การไม่เข้าร่วมประชุมครั้งใหญ่เพื่อรอพบพี่เลี้ยงที่จะเข้ามารายงานตัววันแรกนั้นช่างน่าแปลก คุณแบรดลีย์แม้จะต้องเลี้ยงลูกสองคน แต่ในด้านการบริหารงานเขาไม่เคยบกพร่อง เมื่อมีการประชุมครั้งสำคัญก็หอบลูกเข้าบริษัทด้วยเสมอ
คิ้วเข้มของแบรดลีย์ขมวดเข้าหากันอย่างไม่ค่อยพอใจเพราะแววตาของไมเคิลยังฉายความสอดรู้สอดเห็นแกมสงสัยอยู่ “นายมีปัญหาอะไรหรือเปล่าวะไมเคิล” ถามออกไปเมื่อเห็นว่าไมเคิลยังไม่ขยับไปไหน ทั้งๆ ที่เขามีคำสั่งให้มันเป็นตัวแทนเข้าประชุมครั้งนี้
“ไม่มีครับ” ที่จริงมี แต่ไมเคิลรู้ดีว่าไม่ควรถามต่อ เป็นคนสนิทต้องรู้ใจ
เจ้านายเขาเป็นคนแปลก มีความเป็นตัวเองสูงปรี๊ด ถ้าอยากให้รู้อะไรก็จะบอกเลย แต่ถ้าไม่อยากให้รู้ไม่มีทางจะหลุดออกจากปาก เขารับใช้ใกล้ชิด เรียกได้ว่าตามติดแทบทุกฝีก้าวมาหลายปีจนรู้ใจนายดี แต่กระนั้นก็มีเรื่องที่พลาด
ใช่มีแต่เพื่อนๆ ของคุณแบรดลีย์เท่านั้นที่สงสัยเรื่องแฝดปริศนาที่ไม่รู้ว่าคุณหนูแฝดทั้งสองเป็นลูกของสาวสวยคนไหน เขาเองยังไม่รู้ เพราะจู่ๆ ในวันฝนตก เจ้านายก็อุ้มคุณหนูแฝดกลับมาแล้วบอกว่า เด็กทั้งคู่คือทายาทของตระกูลอาเชอร์ ท่ามกลางความงุนงงของทุกคน
เวลาผ่านไปสักพัก พรพระพายนั่งอยู่ในห้องรับรองโอ่อ่า ตั้งแต่ก้าวขาลงมาจากรถเธอก็รู้สึกว่าหลุดเข้ามายังโลกแห่งนิยาย คฤหาสน์แห่งนี้ดูเก่าแก่แต่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี การตกแต่งเป็นศิลปะแบบบาโรกซึ่งสืบต่อมาจากสถาปัตยกรรมเรเนสซองส์ บนเพดานสูงเมื่อมองขึ้นไป เห็นแชนเดอเลียร์สวยงามอลังการ จนทำให้พรพระพายจินตนาการไปว่าเจ้านายคนใหม่ของเธอคงเป็นชายวัยกลางคนที่แต่งกายเนี้ยบและเคร่งครัดกฎระเบียบในบ้าน เพราะทุกซอกทุกมุมภายในคฤหาสน์ดูเรียบหรูเป็นระเบียบ และคนงานทุกคนล้วนแต่มียูนิฟอร์มสวมใส่ ซึ่งแตกต่างกันราวกับแบ่งแยกตำแหน่งหน้าที่อย่างชัดเจน
พรพระพายมองไปเรื่อยๆ ระหว่างรอคุยกับเจ้าของบ้าน อยากเห็นหน้าเขาขึ้นมาตงิดๆ ไม่รู้ว่าจะคุยยากหรือไม่
แม้ว่าเช้านี้มีเรื่องสำคัญรอให้เขาจัดการอยู่ แต่ในโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับเรื่องของลูก ในวัยขวบเศษ ฟันของเด็กๆ ต้องได้รับการแปรงอย่างดี เขาจึงเสียเวลาไปมากเพราะมีลูกสองคน จอร์แดนเริ่มก่อน เอาด้ามแปรงสีฟันไปตีด้ามแปรงของน้องเป็นการท้าทาย แน่นอนจัสตินได้เลือดพ่อมาเต็มๆ ยอมใครที่ไหน จึงเกิดศึกในห้องน้ำ กว่าจะจับลูกแปรงฟันเสร็จ เขาที่ตื่นขึ้นมาแต่งตัวจนหล่อก็เปียกปอนไปหมด
“คราวนี้ถ้านายสองคนรบกันอีกที รับรองว่าถูกสั่งงดมื้อเช้า”
“โอ้ โน โน” เสียงฝาแฝดคนพี่ร้องขึ้นเสียงดังลั่น มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญ ไม่มีเด็กคนไหนอยากถูกสั่งงด ในขณะที่แฝดน้องทำตาโต อ้าปากค้างราวกับมันเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่เคยได้ยินมา
“อ๊ะ แอ๊ะ” สองแฝดหันบอกพ่อ
แม้จะทะเลาะกันเมื่อครู่ แต่ตอนนี้เจ้าเด็กรู้งานทั้งสองต่างพร้อมใจกอดคอกันกลม เลิกรบกันชั่วคราว จนแบรดลีย์อดจะสงสัยไม่ได้
“ใครว่าเด็กไม่มีมารยาวะ ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด” มารยาของลูกเป็นเรื่องชินชาในสายตาของพ่ออย่างเขาไปแล้ว เพราะเลี้ยงเองทุกวัน เขารู้ว่านี่มันแค่เศษเสี้ยว ลูกเขาแสบได้มากกว่านี้อีก
แต่จะว่าหลงตัวเองก็ได้ เพราะเมื่อมองๆ ไป เจ้าแฝดนี่มันยิ่งโตยิ่งหล่อ สงสัยเชื้อพ่อมันจะแรง
“เอาล่ะหนุ่มๆ คราวนี้ขึ้นชั่งน้ำหนักทีละคน” เพราะแฝดทั้งสองกินเก่ง น้ำหนักเกิน เขาไม่ต้องการให้น้ำหนักมีผลต่อสุขภาพของเด็ก แบรดลีย์ตั้งกฎว่าถ้าใครน้ำหนักเกินสิบสี่กิโลกรัมจะต้องออกกำลังกาย ซึ่งคนเป็นพ่อเรียนรู้ท่าทางออกกำลังกายง่ายๆ ที่เหมาะกับวัยลูกมาจากคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการของเด็ก
แบรดลีย์โคลงศีรษะ “เอาล่ะ นายก่อนเลยจอร์แดน เพราะนายเป็นพี่” เจ้าหนูตัวกลมแก้มแดงราวกับมะเขือเทศสุกสวมกางเกงผ้าอ้อมสำเร็จรูปตัวเดียวก้าวขาอวบๆ ขึ้นตาชั่ง แล้วอ้าปากร้องดังลั่นเมื่อแด๊ดดี้ยกมือว่าผ่าน
“สิบสามจุดห้า นายผ่านแล้วจอร์แดน ไปได้”
ผิดกับฝาแฝดผู้น้องที่จะต้องขึ้นเครื่องชั่งเป็นรายถัดไป หน้าตาแฝดน้องเหมือนเป็นกังวล จนผู้เป็นพ่อที่ยืนกอดอกพูดขึ้น
“ได้เวลาแล้วจัสติน” เขามองพุงอวบกลมของแฝดน้องด้วยสีหน้าหนักใจเล็กน้อย เจ้านี่แหละตัวจี๊ด
แฝดน้องมีความน่าเป็นห่วง เพราะพอพี่กินอะไรเหลือ จัสตินจะจัดการฟาดที่เหลือต่อ และวันก่อน น้ำหนักของจัสตินทะลุไปถึงสิบสี่จุดสองกิโลกรัมซึ่งเกินเกณฑ์ จึงถูกผู้เป็นพ่อพาวิ่งรอบสนามสามรอบในช่วงเย็น
“มาได้แล้ว อย่าช้า ให้ไวๆ วันนี้แด๊ดดี้มีนัดกับสาว สวยด้วย”
พอได้ยินคำว่าสาวและสวยจัสตินมีท่าทีสนใจขึ้นมาเชียว แววตาคมเข้มกลมโตที่เป็นยีนเด่นฝั่งแม่แวววาวระยับ
“น้อยๆ หน่อยจัสติน พอพูดถึงสาวหูผึ่งเชียว ไปเอามาจากไหนนิสัยแบบนี้” แบรดลีย์ส่ายหน้า “อย่าช้า รีบขึ้นชั่ง”
พอพูดถึงเรื่องนี้ หนุ่มน้อยยังโอ้เอ้ ราวกับรู้ว่าตัวเองน้ำหนักเกิน ถ้าชั่งต้องถูกพาให้ไปวิ่งแน่ แบรดลีย์หัวเราะลั่นเพราะมองอาการออก
“เอาล่ะจัสติน ถ้านายน้ำหนักเกิน แด๊ดก็จะพาไปออกกำลังกายช่วงเย็น ขึ้นชั่งได้แล้ว อย่าถ่วงเวลา”
จัสตินร้องแอ๊ะคำหนึ่งแล้วก้าวขาขึ้นชั่ง เครื่องชั่งดิจิทัลกำลังขยับไปที่สิบสี่จุดสามกิโลกรัม แต่จัสตินกระโดดลงมาก่อนแล้วทำในสิ่งที่แบรดลีย์ไม่คิดว่าลูกของเขาจะทำ นั่นคือการพาแขนป้อมๆ ดึงกางเกงผ้าอ้อมสำเร็จรูปรูดลงสุดปลายเท้า จากนั้นเดินตัวเปล่าล่อนจ้อนขึ้นไปบนเครื่องชั่ง ซึ่งกางเกงผ้าอ้อมที่ถูกถอดทิ้งตรงเป้าชุ่มไปด้วยปัสสาวะ คราวนี้เมื่อไม่มีกางเกงผ้าอ้อม พอเท้าสองข้างเหยียบบนเครื่องชั่ง…
“พระเจ้า! ไอ้แสบ” แบรดลีย์ร้องลั่น ตัวเลขหน้าจอเครื่องชั่งปรากฏว่าสิบสี่กิโลกรัมเป๊ะ “นายรอดไปได้แบบหวุดหวิด ใครสอนให้ทำแบบนี้ บอกแด๊ดมาซิ” ความเจ้าเล่ห์ของจัสตินมาจากไหนกัน
“หัดเจ้าเล่ห์ตั้งแต่เด็ก”
“แอ๊ะ แอ๊ะ” จัสตินหัวเราะ
แบรดลีย์เลิกคิ้วมองหน้าลูกชายทั้งสองสลับกัน ลูกเขาฉลาด แล้วยังแอบเจ้าเล่ห์ เขารักเจ้าสองแสบนี้มาก เมื่อก่อนคิดว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องสร้างเด็กขึ้นมาเพื่อดำรงวงศ์ตระกูลของอาเชอร์เอาไว้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าเด็กแฝดคู่นี้จะเปลี่ยนความคิดเก่าๆ ของเขาไปจนหมด เขาตื่นเต้นกับพัฒนาการของลูกทุกครั้ง ตั้งแต่พลิกตัวคว่ำเองได้ หัดคลาน ยืน เดิน จนตอนนี้วิ่งเก่งจนไล่จับแทบไม่ทัน
และเป็นห่วงทุกครั้งตอนที่ลูกๆ วิ่งหกล้ม แต่พ่ออย่างเขามักจะยืนดูอยู่ห่างๆ ปล่อยให้ลูกช่วยเหลือตัวเองก่อน สิ่งเหล่านี้ที่สะสมทุกๆ วัน ถ้าไม่เรียกว่าความรัก ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว
รักแค่ไหน ไม่มีหน่วยวัดใดในโลกมาวัดค่าระดับความรักที่พ่อมีต่อลูกได้ แต่เขามั่นใจว่าชีวิตของเขามอบให้ลูกทั้งสองได้ แต่การที่เขาต้องขลุกอยู่กับลูกทุกวัน ให้เวลาอย่างเต็มที่ ต้องยอมรับว่ามันก็ยังไม่เพียงพอ และนั่นทำให้เขาต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเพื่อลูกๆ และตัวเอง...