เวลาผ่านไปพักใหญ่จนเกือบ 5 โมงเย็น หญิงสาวไม่ได้แค่ดูแต่ยังคอยซักถามรายละเอียดของงานต่าง ๆ ที่ทำค้างไว้เพื่อที่เธอจะสามารถทำงานต่อได้โดยไม่สะดุดและให้งานที่ออกแบบมานั้นสามารถลงมือทำได้จริงภายในระยะเวลาที่จำกัด
“ว่าแต่สถาปนิกคนเก่าเขาออกแบบภายในไว้แบบไหนเหรอคะ?
“ยังไม่ทันได้ออกแบบภายในหรือออกแบบสวนเลยค่ะ ก็มีเหตุ...” ภัสสรมีอาการอึกอักเหมือนไม่อยากจะพูดต่อ
“เหตุ...เหตุอะไรเหรอคะ?” จันทราทักด้วยความสงสัย
“คืออย่างนี้ค่ะ ช่วงที่สถาปนิกกำลังออกแบบนั้นตัวอาคารภายนอกเรียบร้อยแล้วสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ แต่พอจะออกแบบภายใน ขณะกำลังทำงานอยู่นั้นก็จะเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน สถาปนิกบางคนก็โดนรถชนบ้าง บางคนก็เดินคุยกันอยู่ดี ๆ ก็ล้มหัวฟาดพื้นจนต้องหามเข้า ICU บางคนก็โดนงูกัด หนักสุดก็ใหลตายค่ะ” คำตอบของภัสสรทำให้มณีธารารู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งตัว
“ใหลตายเหรอคะ?” เสียงสั่นของจันทราถามออกไปราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง
“ค่ะ ใหลตายค่ะ” อีกครั้งที่ภัสสรยืนยันในคำตอบนั้น
“หรือว่าที่จะมีอา...” คำว่าอาถรรพ์ยังไม่ทันหลุดจากปาก จู่ๆ ก็มีเสียงสวบสาบดังขึ้นที่พื้น ทำให้ทั้งสามสะดุ้งมองตากันเลิ่กลั่ก แต่ก็มองไม่เห็นอะไร
“เอ่อ...นี่ก็เย็นมากแล้ว คุณสองคนพักที่ไหนกันคะ?” ภัสสรรีบตัดบทพยายามเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาที่ไม่ทำให้ทั้งสองคนหวาดหวั่นไปมากกว่าเดิม
“พวกเราพักในตัวเมืองเชียงแสนค่ะ”
“ดีเลยค่ะ วันนี้วันเสาร์มีถนนคนเดินด้วย อย่าลืมไปเดินเล่นนะคะ” ภัสสรพูดทิ้งท้ายก่อนจะแยกจากกัน เพราะตัวเองต้องขอตัวไปเตรียมอาหารเย็นให้ลูกน้อยทั้งสองคนที่รออยู่บ้าน
“เอ๊ะ! นั่นอะไร?”
มณีธาราขมวดคิ้วด้วยความสงสัยขณะที่กำลังจะก้าวขาขึ้นไปบนรถตู้เพื่อเดินทางไปยังที่พัก ทว่าหญิงสาวกลับเดินวนไปดูด้านท้ายของรถตู้อีกครั้ง เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรแปลกไปเธอจึงรีบขึ้นมานั่งบนรถตู้และปิดประตู
“มีอะไรเหรอคะพี่น้ำ?”
“เหมือนเห็นอะไรแว๊บ ๆ สีฟ้า ๆ ผ่านหลังรถไปเมื่อกี้”
“งูหรือเปล่าพี่”
“ไม่ใช่งูนะจันทร์ มันลอยผ่านไปไม่ได้เลื้อย พี่เห็นแวบเดียวเองสงสัยจะตาฝาดอีกน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ประโยคสุดท้ายเหมือนจะบอกตัวเองมากกว่า
ทั้งสองใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาทีจึงถึงโรงแรมที่พัก โรงแรมที่มณีธาราและจันทราพักนั้นเป็นโรงแรมขนาดเล็กอยู่ติดริมน้ำโขง ความใจดีของหัวหน้าในครั้งนี้ก็คือ แทนที่จะให้ทั้งสองคนพักด้วยกันเพื่อประหยัดงบประมาณของบริษัท เขากลับยอมให้นอนพักกันคนละห้องเพื่อชดเชยกับการที่ส่งหญิงสาวทั้งสองไปทำงานในที่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ
ห้องพักของทั้งสองนั้นอยู่ติดกัน แม้ไม่ได้หรูหราเหมือนกับโรงแรมใหญ่ในเมือง แต่มณีธารากลับรู้สึกชอบ เพราะเมื่อเธอเปิดประตูกระจกระเบียงห้องออกมาก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ของสายน้ำโขง มองไกลออกไปจะเห็นผืนดินของประเทศลาวอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้
“พี่น้ำ เราไปหาอะไรกินกันไหมคะ” จันทราเคาะประตูห้องเรียกเธอ ดูจากอาการแล้วจันทราน่าจะหิวมาก ส่วนเธอตอนนี้ก็หิวมากไม่แพ้กัน
“ไปสิ”
จากโรงแรมที่พักนั้นเดินข้ามถนนมาเจอแม่น้ำโขง ทางเท้าริมถนนมีร้านอาหารตั้งยาวเหยียด สามารถนั่งทานที่ร้านได้ โดยมีโต๊ะญี่ปุ่นตั้งเรียงรายลงไปบริเวณขั้นบันไดทอดลงไปยังแม่น้ำ
เมื่อเดินไปอีกไม่ไกลนักก็เห็นถนนคนเดินที่มีร้านค้ามากมายตั้งแผงขายของสองข้างฝั่งถนน ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาหาซื้อของกินจับจ่ายใช้สอย พร้อมเสียงบรรเลงเพลงพื้นเมืองแว่วมาจากในงาน
ทันทีที่จันทราเห็นถนนคนเดินตรงหน้าก็รีบเดินไปด้วยความตื่นเต้นอยากจะลิ้มลองอาหารเหนือสักครั้ง พลางวิ่งไปหาซื้อของกินมาถือเต็มมือ
“พี่น้ำ แล้วเราจะไปนั่งกินกันตรงไหนล่ะ”
“นั่นสินะ”
“แม่หนู ตรงโน้นก็มีที่นั่ง ซื้อแล้วก็ไปนั่งกินตรงนั้นได้เจ้า” แม่ค้าขายขนมจีนน้ำเงี้ยวที่เธอเพิ่งซื้อมาบอกด้วยภาษาไทยกลางแปร่ง ๆ
“ขอบคุณค่ะ” ทั้งสองสาวรีบเดินไปหาที่นั่งเมื่อมองเห็นว่ามีที่นั่งเหลือเป็นที่สุดท้ายแล้ว
“จันทร์ เดี๋ยวพี่มานะ เห็นมีไส้อั่วทางนั้น เห็นแล้วก็อยากกิน” ยังไม่ทันที่จันทราจะตอบ มณีธาราก็รีบเดินปราดออกไปยังถนนคนเดินอีกครั้ง