บทที่ 2
“ใช่เหรอ ดูยังไงก็ไม่เหมือนอะ” หลังจากได้ลอบมองผู้ชายหน้าตาดีตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง เธอก็แย้งขึ้นอีก
“สิ่งที่แกเห็นมันเป็นแค่ภาพลวงตา เป็นแค่ฉากหน้าที่เขาสร้างขึ้นมาเท่านั้นแหละ อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น ต้องเชื่อฉันนี่ ฉันนี่แหละเชื่อถือได้มากที่สุด” เห็นแวววิวาห์ยืนยันเสียงแข็งพลางชี้มาที่ตัวเอง พริมรตาก็เริ่มเอนเอียงอีก
“เสียดายของอะ” เธอพึมพำเบาๆ แต่เพื่อนก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน
“ยัยแม่ชีใจแตก เดี๋ยวนี้ริอาจเสียดายผู้ชายกับเขาด้วย เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนฉันเนี่ย” แวววิวาห์ล้อเลียน
“ใจแตกอะไรเล่า ฉันก็แค่…” เธอรีบแก้ต่าง แต่ก็ถูกเพื่อนแทรกขึ้นมาอีก
“แค่หวั่นไหวเพราะผู้ชายหน้าตาดีงี้เหรอ ไอ้พรีมฉันก็อยากจะดีใจอยู่หรอกนะที่เห็นแกใจสั่นกับผู้ชายเหมือนคนอื่นเขาบ้าง แต่นั่นมันเกย์นะแก ต่อให้แกใจสั่นให้ตาย เขาก็ไม่มองชะนีอย่างเราๆ หรอก ฉันควร…” เพราะใส่อารมณ์มากเกินไป เสียงของแวววิวาห์ก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ดังจนผู้ใหญ่ที่ยืนคุยกันอยู่ต้องหันมาเอ็ด
“มัวแต่ซูบซาบกันอยู่ได้ ยะหยังตึงบ่ะเข้ามาตั๊กตายป้อเลี้ยงก๊ะ เด็กสองคนนี้นี่ไปอยู่ในเมืองเมิน บ่ะฮู้จักมารยาทแล้วก๋า (มัวแต่ซุบซิบกันอยู่ได้ ทำไมถึงไม่เข้ามาทักทายพ่อเลี้ยง เด็กสองคนนี้นี่ไปอยู่ในเมืองนาน ไม่รู้จักมารยาทแล้วรึไง)” สองสาวโดนแม่สายใจหันมาดุถึงกับทำหน้าแหย รีบเดินออกมายกมือไหว้เจ้าของไร่ชื่อดังทันที
“สวัสดีป้อเลี้ยงเจ้า (สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยง)” แวววิวาห์ทักทายด้วยคำเมือง ในขณะที่พริมรตาเพียงยกมือไหว้ตามเพื่อน
“ป้อเลี้ยงเจ้าจำน้องได้ก่อ น้องวาเปิ้นไปทำงานอยู่กรุงเทพเมินละ ส่วนนี่กะน้องพรีมเพื่อนน้องวาฮั่นล่ะ ฮู้จักกั๋นไว้เน่อ เผื่อมีเรื่องอะหยังกะจะได้จ้วยกั๋น (พ่อเลี้ยงจำน้องได้ไหม น้องวาเขาไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพนานแล้ว ส่วนนี่ก็น้องพรีมเพื่อนของน้องวา รู้จักกันไว่สิ เผื่อมีเรื่องอะไรจะได้ช่วยกันได้) ” แม่อุ้ยที่ดูจะยิ้มกว้างกว่าใครเพื่อนบอก ด้วยอยากให้หลานสาวได้ดองกับคนดีที่หมายตาไว้
“จะอั้นกะอู้กันไปก่อนเน่อ แม้อุ้ยจะไปผ่องานตางโน้นก่อน (ถ้างั้นก็คุยกันไปก่อนนะ ยายจะไปดูงานทางโน้นก่อน)” แม่อุ้ยพยายามเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้คุยกัน ด้วยการลากแม่สายใจออกไปด้วย
“เชิญป้อเลี้ยงตางนั้นดีกว่าเจ้า (เชิญพ่อเลี้ยงทางนั้นดีกว่าค่ะ)” แวววิวาห์ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี ด้วยการเดินนำอีกฝ่ายไปยังพื้นที่รับรองแขก แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงมันคือแผนการ
“ช่วยฉันหน่อยนะพรีม” พริมรตาหันมาทำหน้างง ยังไม่ทันจะถามว่าเพื่อนจะให้ช่วยอะไร เธอก็ต้องร้องเสียงหลงออกมา
“เฮ้ย!” พริมรตาถูกเพื่อนขัดขาจนเกือบเสียหลัก โชคดีที่คนที่เดินตามมาติดๆ อย่างพ่อเลี้ยงพิมายเข้ามารับไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นเธอคงได้ล้มหงายลงไปจนอายคนทั้งงานเป็นแน่
เธอตกอยู่ในอ้อมกอดเขา ในขณะที่เขาก็เหมือนจะชะงักนิ่งไปเพราะกลิ่นหอมจางๆ ที่ลอยมาเตะจมูก กระทั่ง…
“ขะขอบคุณค่ะ” หลังรู้สึกว่าถูกกอดนานเกินไป เธอจึงพยายามดันตัวออกจากอ้อนแขนแข็งแกร่งนั่น ซึ่งเขาเองก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ก่อนจะเดินห่างออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ไอ้วาแกทำบ้าอะไรของแกเนี่ย เกิดฉันล้มหัวฟาดพื้นขึ้นมาจะทำยังไง” ทันทีที่ได้อยู่กันตามลำพัง พริมรตาก็รีบเข้าไปเอ็ดเพื่อนเสียงเขียว
“โทษทีพรีม คือฉันแค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่างน่ะ” แวววิวาห์บ่นงึมงำ
“พิสูจน์ด้วยการขัดขาฉันเนี่ยนะ เพื่อ?” ถ้าไม่เกรงใจที่วันนี้คนพลุกพล่านเต็มบ้าน พริมรตาคงเสียงดังยิ่งกว่านี้
“ก็เพื่อให้เขาร้องออกมาว่า ว้าย! ตายแล้วนังชะนีน้อย เดินระวังๆ หน่อยสิยะไง เสียดายเจ๊เขาระวังตัวแจเลย คนอะไร keep look เวอร์” แวววิวาห์บ่นงึมงำ ในขณะที่พริมรตากลับเพียงแค่เม้มปากแน่น แล้วเดินหนีไป
“เฮ้ย! นั่นมันมุกคลาสสิคเลยนะ ถึงจะเก่าแต่ก็ยังใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เอาน่าเมื่อวานถือว่าน้ำจิ้ม วันนี้สิของจริง” นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานแล้ว พริมรตาก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาทันใด อีกทั้งหน้าตาเจ้าเล่ห์ของเพื่อนมันก็ไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย
ขณะที่สองสาวกำลังคุยกันเพลิน จู่ๆ เสียงทุ้มๆ ของใครบางคนก็ดึงเอาความสนใจของคนทั้งคู่ให้หันไปมอง
“คุณหื้อคนไปฮ้องผมมา มีอะหยังก่อครับ (คุณให้คนไปตามผมมา มีอะไรรึเปล่าครับ)” พ่อเลี้ยงพิมายเข้ามาคุยด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่นัยน์ตาคมกล้าที่หันมาสบตากับเธอ มันกลับไม่เฉยดังสีหน้า ถึงแม้จะเพียงแค่แวบเดียว แต่มันก็ทำให้ใจเธอเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะได้
“อ้อ! บ่ะได้มีอะหยัง เปิ้นกับเจ้าหมู่มาจากกรุงเทพ ไค่จะไปแอ่วน้ำตกกั๋น แต่บ่ค่อยคุ้นตาง หันแม่บอกว่าคุณไปบ่อย เลยอยากขอจ้วยหื้อคุณพาไป (อ้อ! ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอดีฉันกับเพื่อนมาจากกรุงเทพ แล้วอยากจะไปเที่ยวน้ำตกกัน แต่ไม่ค่อยคุ้นทาง เห็นแม่บอกว่าคุณไปบ่อย เลยอยากขอช่วยให้คุณพาไป)” พริมรตาได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย ว่าตัวเองอยากไปเที่ยวน้ำตกอย่างที่เพื่อนบอกตอนไหน
“ได้สิ ถ้าจะอั้นผมขอไปเตรียมของก่อน แหมสิบนาทีผมจะมาฮับ (ได้สิ ถ้างั้นผมขอไปเตรียมของก่อน อีกสิบนาทีจะมารับ)” สิ้นเสียงพ่อเลี้ยงหนุ่มก็เดินเลี่ยงออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม
“แข็งอย่างกับหินแบบนั้นเนี่ยนะเกย์ ใช่เกย์จริงๆ เหรอวะแก” ลับหลังพ่อเลี้ยงหนุ่ม พริมรตาก็โพล่งออกมา ด้วยอะไรหลายๆ อย่างมันทำให้เธอไม่อยากจะเชื่อตามเพื่อน
“อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นเด็ดขาดพรีม นี่อาจจะเป็นตัวตนที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกเรา แกลองคิดดูนะ ผู้ชายที่เพอร์เฟคทุกกระเบียดนิ้วขนาดนี้ แต่กลับไม่มีข่าวเรื่องผู้หญิงเลย แกว่ามันไม่แปลกเหรอ” พริมรตาคิดตามพลางพยักหน้าให้ พลันอีกเรื่องก็แวบเข้ามาในหัวอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
“ว่าแต่แกมีนัดกับน้องคำแปงว่าจะไปลองชุดกันไม่ใช่เหรอ” ใช่! เธอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเพื่อนต้องพาน้องสาวไปรับชุดแต่งงานในเมือง
“อื้อ! ใช่” แวววิวาห์พยักหน้า
“แล้วแกไปนัดเขาแบบนั้นเพื่อ?”
“เพื่อให้แกกับเขาไปกันสองคนไง”
“ไอ้วา ทำบ้าอะไรของแกเนี่ย เกิดฉันยั่วจนเขาโมโห จับฉันฆ่าปาดคอแล้วหมกป่าจะทำยังไง” เธอโวยลั่น เมื่อเพื่อนรักทำอะไรไม่ปรึกษากันก่อน
“ฉันก็จะหาหมอผีที่ดีที่สุดมาสวดเรียกวิญญาณแกกลับบ้านไง ฮ่าๆๆ ล้อเล่น แกนี่ท่าจะดูหนังเยอะไปนะ ใครเขาจะทำแบบนั้นกันเล่า คนระดับพ่อเลี้ยงพิมายไม่เอาอนาคตมาทิ้งเพราะมีคดีฆ่าหมากระเป๋าหรอกน่า” คนถูกหาว่าเป็นหมากระเป๋าถึงกับหันขวับมามองตาขวางทันที
“โอเคๆ ไม่เล่นแล้วก็ได้ เอานี่ไว้ ในนี้มีทั้งสเปรย์พริกไทย มีด แล้วก็เครื่องช็อตไฟฟ้า ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แกก็หยิบขึ้นมาใช้ทันที ส่วนนี่…เอาไว้เก็บหลักฐาน” แวววิวาห์ยื่นกระเป๋าผ้าใบเล็กมาตรงหน้า ก่อนจะหยิบกล้องตัวเล็กๆ มายื่นให้ด้วย
“แกจะให้ฉันตั้งกล้องแอบถ่ายเขาเนี่ยนะ โอ๊ย! ฉันคิดถูกคิดผิดเนี่ยที่ช่วยแก” เธอได้แต่รับของนั่นมาด้วยสีหน้าทดท้อ แต่เรื่องก็ยังไม่จบแค่นั้น
“ถูกสิ ชีวิตฉันทั้งชีวิตอยู่ในมือแกนะพรีม พยายามหาที่เหมาะๆ วางเจ้ากล้องนี่ไว้ แล้วก็ถ่ายทุกอย่างไว้เป็นหลักฐาน ทีนี้แหละถ้าแม่กับยายเห็น เขาจะได้เลิกบังคับฉันสักที ส่วนตอนนี้ แกต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”