บทที่ 3
“ทำไมต้องเปลี่ยน ชุดนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่” เธอก้มมองชุดทะมัดทะแมงที่ตัวเองใส่อยู่
“มันจะดีได้ยังไง ในเมื่อมันยังไม่ใช่ชุดพร้อมรบ ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ไปเปลี่ยนซะ นี่แหละชุดพร้อมรบ” แวววิวาห์ว่าพลางหยิบชุดออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้
“เฮ้ย! แกเอาชุดอะไรมาให้ฉันใส่เนี่ย แกจะบ้าเหรอวา” เธอโวยลั่น เมื่อชุดที่แวววิวาห์ยื่นให้ มันทั้งวาบหวิวแล้วก็ไม่เหมะกับการไปเล่นน้ำเลยสักนิด กางเกงขาสั้นแค่คืบกับเสื้อรัดรูปบางเบา ใช่! มันทั้งบางแล้วเบาเลยแหละ อา…จริงๆ มันก็เหมาะแหละกับการใส่เล่นน้ำ ถ้าจะมีอะไรไม่เหมาะ ก็คงเป็นเธอกระมัง ให้ตายสิ! เธอรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับตัวเองเลยสักนิด
“ใส่ไปเหอะน่าเชื่อฉัน ปังแน่ ปังเดียวอยู่เลย ใส่ชุดนี้ยั่วจนเขาร้องกรี๊ดๆ ออกมา แล้วก็ตะโกนว่า…นังชะนีอย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ” แวววิวาห์บอกพลางชี้มือชี้ไม้ทำท่าทางประกอบ
“ปังปินาศน่ะสิไม่ว่า แล้วแกจะให้ฉันเดินไปทั้งชุดนี้เนี่ยนะ” เธอหยิบชุดที่ว่านั่นขึ้นมามองอีกครั้ง
“ใครจะบ้าให้แกแต่งตัวแบบนี้ออกไปเดินโทงๆ เล่า แกก็แค่ใส่เอาไว้ข้างใน พอถึงเวลาแล้วก็ค่อยถอดออกไง ตกลงตามนี้นะ นี่ก็ใกล้ถึงเวลานัดกับคำแปงแล้วด้วย เอาเป็นว่าฉันไปก่อน ฝากด้วยนะพรีม แกคือความหวังของหมู่บ้าน ชีวิตฉันอยู่ในมือแกนะ” สิ้นเสียงแวววิวาห์ก็รีบเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป คนที่ถูกยัดเยียดหน้าที่อันหนักอึ้งจึงได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เมื่อไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ทักท้วงใดๆ
“อะเอ่อ…พอดีวาเขาติดธุระค่ะ ถ้าคุณจะ…” ทันทีที่เห็นพ่อเลี้ยงเดินมา พริมรตาก็รีบเดินเข้าไปบอก ด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะยกเลิกโปรแกรมวันนี้ แต่พูดยังไม่ทันจบ รายนั้นก็แทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์
“เชิญ!” เขาบอกพลางเดินอ้อมมาเปิดประตูรถข้างคนขับ ทำให้เธอจำต้องเดินมาหาแบบงงๆ แต่พอจะก้าวขาขึ้นรถ จำต้องมาชะงักเพราะความสูงของรถโฟวิลที่ถูกยกให้สูงกว่าโฟวิลทั่วไปอีก เธอหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ครั้นพอเห็นสายตาดุๆ ของพ่อคุณ ขามันก็ยกขึ้นไปเหยียบบันไดข้างรถโดยอัตโนมัติ แต่เพราะความสูงของรถกับความสูงของเธอมันไม่ค่อยสมดุลกันเท่าไหร่ มันก็เลยกลายเป็นความทุลักทุเล ประหนึ่งเด็กน้อยพยายามปีนขึ้นรถคันใหญ่เกินตัว
“เฮ้ย!” เธอร้องเสียงหลง เมื่อคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง จู่ๆ ก็เข้ามายกอุ้มเธอจนตัวลอยหวือ กระทั่งเธอก็ถูกวางแหมะลงบนรถในที่สุด
“ขะขอบคุณค่ะ” ทันทีที่เขาขึ้นมานั่งอยู่ข้างๆ เธอก็พูดออกไปเบาๆ จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งเงียบกันมาตลอดทาง และไอ้ความเงียบนี่แหละที่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดแทบบ้า กระทั่งรถคันใหญ่เคลื่อนมาหยุดอยู่ที่ชายป่า ความน่าอึดอัดนั้นก็พลันมลายหายไป ครั้นพอเปิดประตู ความอึดอัดนั้นก็กลับมาเยือนอีกครั้ง
“บ้าจริง! รู้งี้ตอนเด็กกินนมเยอะๆ ก็ดีหรอก” เธอบ่นกระปอดกระแปดก่อนคว่ำตัวเข้าหาเบาะหวังไถลตัวลงไป แต่แล้วจู่ๆ ตัวเธอก็ลอยหวืออีกครั้ง
“เฮ้ย!” อีกครั้งที่เธอร้องเสียงหลง หลังถูกคนตัวโตรวบขึ้นมาอุ้มเอาไว้ ครั้นจะดิ้นก็ไม่กล้า ก็ไม่รู้ว่ากลัวความสูงหรือกลัวหน้าดุๆ ของเขากันแน่
“ขะขอบคุณค่ะ” ให้ตายสิ! วันนี้เธอจะพูดแค่คำนี้รึไงนะ แต่ก็นะมันไม่มีคำไหนที่ดีกว่านี้แล้วนี่สำหรับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดตอนนี้
“เอ่อ…คะคือ…ฉะฉันเดินเองได้ค่ะ” เธออึกอักกระอักกระอ่วน ก็พ่อคุณเล่นอุ้มเธอไว้แล้วไม่ยอมปล่อย
“ทางข้างหน้าค่อนข้างลำบาก คุณเดินไม่สะดวกหรอก” สีหน้าเขายังคงเรียบเฉยดังเดิม อีกทั้งเสียงดุๆ ของเขามันก็ทำให้ยิ่งดูน่ากลัว
“สะดวกค่ะ” ให้ตายสิ! เธอแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ
“งั้นก็ตามใจ” สิ้นเสียงเขาก็วางเธอลง จากนั้นก็เดินนำไป โดยไม่พูดอะไรอีก
“ทำไมต้องทำหน้านิ่งตลอดเวลาด้วย คนอะไรทำเป็นอยู่หน้าเดียว บ้าจริง! แล้วทำไมฉันต้องใจสั่นเพราะเกย์ด้วยเนี่ย ว้าย!” เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินบ่นงึมงำจนลืมมองทาง เธอจึงสะดุดรากไม้จนเกือบล้มหน้าคะมำ โชคดีที่เขาเข้ามารับไว้ได้ทัน
‘บ้าจริง! อย่างกับฉากสวีทของพระนางในละครหลังข่าว ติดก็แค่ฉากนี้ดันมีแต่นางเอกกับนางเอก หืม! หรือว่าเราเป็นตัวร้ายวะ’ เธออดคิดไม่ได้ กระทั่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังอยู่ในอ้อมกอดเขา
“ขะขอบคุณค่ะ” เธอพยายามดันตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่น แต่นอกจากเขาจะไม่ยอมปล่อย ยังเปลี่ยนมาย่อตัวอุ้มเธอไว้แทนอีก
“อุ๊ย!” หน้าเธอเหลอหลา หลังถูกอุ้มแบบไม่บอกไม่กล่าว
“ก็บอกแล้วว่าทางมันลำบาก ถ้าขืนยังเดินแบบนี้ พรุ่งนี้ก็คงไม่ถึง เอาเป็นว่าผมอุ้มไปเอง จะได้ไม่เสียเวลา”
“ตะแต่ว่าฉันเกรงใจ คุณอาจจะหนักแล้วก็เหนื่อย” เธอทำหน้าแหยพลางบอกเสียงอ่อยขณะถูกเขาพาอุ้มเดินไปตามทาง
“จะไปหนักอะไร ตัวคุณใหญ่กว่าหมากระเป๋าแค่นิดเดียว” พริมรตาถึงกับเม้มปากแน่น ใครจะคิดว่าผู้ชายมาดนิ่งหน้าดุๆ อย่างเขาจะปากร้ายขนาดนี้ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้โต้เถียงอะไร จู่ๆ เท้าทั้งคู่ของเขาก็หยุดกึกจนเธอแปลกใจ
“ถึงแล้วเหรอคะ”
“อยู่นิ่งๆ ข้างหน้าเรามีงูขวางอยู่” เธอได้ฟังถึงกับตาโต ก่อนจะค่อยๆ เหลือบไปมองตามสายตาเขา งูตัวใหญ่ที่กำลังยกตัวแผ่แม่เบี้ยอยู่ตรงหน้าทำให้เธอชะงักตัวแข็งทื่อ
“อยู่เฉยๆ อย่าโวยวาย ถ้าเราไม่ทำอะไรมัน เดี๋ยวมันก็ไป แค่อย่าทำให้มันตกใจก็พอ” เขากระซิบบอก ในขณะที่เธอยังตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
“ไม่ต้องกลัว ผมไม่ปล่อยให้มันทำอะไรคุณหรอก” เขาก้มลงไปปลอบ แต่เธอกลับโผตวัดแขนโอบรอบคอพลางซุกหน้ากับซอกคอเขาแน่น อา…ดูเหมือนสัมผัสจากจมูกและริมฝีปากที่ปัดป่ายลงมาด้วยความไม่ตั้งใจของเธอจะมีอิทธิพลมากกว่างูตัวโตที่ประจันหน้ากันอยู่ตอนนี้ซะอีก เพราะมันทำให้เขาชะงักตัวแข็งทื่อได้
“มันไปรึยัง” เสียงเธออู้อี้จากการซุกหน้าอยู่กับซอกคอเขาด้วยความกลัว โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้มันอันตรายยิ่งกว่างูตัวนั้นซะอีก โดยเฉพาะกลิ่นหอมจางๆ จากกายสาวที่ลอยมาเตะจมูก และมันกำลังริดรอนการควบคุมตัวเองของเขา กระทั่งใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ ก้มลงไปหา ราวกับจะพิสูจน์ว่าที่ได้กลิ่นอยู่ตอนนี้ มันใช่อย่างที่คิดหรือไม่ เป็นเวลาเดียวกับที่คนถามถามไปแล้วแต่ยังไม่ได้คำตอบ จึงเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะถามอีกครั้ง เมื่อคนหนึ่งก้มในขณะที่อีกคนหนึ่งเงย มันจึงประจวบเหมาะกันพอดี
“…” เธอผงะตาโต เมื่อจมูกเขาชนเข้ากับแก้มเธอจังๆ ทั้งคู่ต่างชะงักนิ่ง เธอที่กำลังวางหน้าไม่ถูก หาเสียงตัวเองก็ไม่เจอ เขาเอก็กำลังสับสน เมื่อยังไม่ได้คำตอบจากกลิ่นที่อยากพิสูจน์ กระทั่งเป็นเธอที่นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีบางอย่างที่น่ากลัวกว่าสายตาของเขาตอนนี้