อักษราภัคหลุบสายตาลงมองมือเล็กขาวซีดของตนเอง ขณะคำพูดของคนที่ตนเองเรียกว่า ‘พ่อ’ มาตลอดเท่ากับชีวิต ได้เค้นเสียงลำเลิกบุญคุณอันยิ่งใหญ่จากเธอ
‘แกรู้ไหมอักษรา ว่าการชุบเลี้ยงฝาแฝดสองคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งฝาแฝดอีกคนหนึ่งเป็นลูคีเมีย ต้องถ่ายเลือดเป็นประจำยิ่งไม่ง่าย ต้องให้ฉันบวกลบคูณหารให้ดูไหม ว่าในหนึ่งๆ ปี ฉันต้องเสียค่าหมอ จ่ายค่ายาให้กับน้องสาวของแกปีละกี่ล้าน’
‘ไม่...ไม่ต้องค่ะ...อักษราไม่อยากรู้...’
อักษราภัคเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา พยายามกักเก็บหยาดน้ำตาไม่ให้หลั่งรินออกมา
ในขณะอักษราภัคไม่อยากได้ยิน แต่ผู้เป็นพ่อซึ่งไม่เคยรักลูกสาวฝาแฝดทั้งสองไปมากกว่าการรักตัวเอง กลับต้องการตอกย้ำความเจ็บปวด ตอกย้ำให้อักษราภัคสำนึกในบุญคุณที่เขาชุบเลี้ยงพวกเธอมา
‘แกไม่อยากรู้ ไม่เป็นไร แต่ฉันก็ยังอยากบอกอยู่ดี ปีละเจ็ดแสน คือค่ายา ค่าใช้จ่ายที่ฉันต้องจ่ายสำหรับการยื้อชีวิตของน้องสาวแกไว้’
‘แต่เครื่องเพชร และสิ่งของอื่นๆ ที่คุณพ่อให้อักษราขโมยมาให้ในแต่ละครั้ง มันมีราคามากกว่านั้นหลายสิบเท่านะคะ’
อักษราภัคร้องค้านอยู่ในใจ บิดาของเธอไม่ได้เป็นมหาเศรษฐีเพราะการขยันทำงาน แต่เขาเป็นมหาเศรษฐี นั่งกินนอนกิน มีทรัพย์สมบัติอยู่ในเซฟมากมาย นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาฉลาดใช้สมองในการยกมือเชิดให้หุ่นอย่างเธอต้องทำตามเขาทุกอย่าง
‘เจ็ดแสนบาทต่อปี มันเป็นแค่เศษเงินที่คุณพ่อต้องจ่ายค่ายาให้กับน้องพิม แต่อักษราทำเงินให้กับคุณพ่อในแต่ละปีได้มากกว่านั้นอีก’
‘ฉันไม่เถียงแกว่าเงินเจ็ดแสนเป็นแค่เพียงเศษเงินของฉัน แต่เจ็ดแสนสำหรับคนที่กำลังจะตกงาน และไม่มีที่ซุกหัวนอน มันคงมากโขเอาการ ต่อให้ทำงานขายตัวทั้งปีทั้งชาติเหมือนแม่ของแก ก็คงไม่มีปัญญาหาเงินมาจากค่ายาให้กับน้องสาวแกได้’
หยาดน้ำตาอุ่นกำลังจะร่วงรินในทุกที อักษราภัครู้ดีว่าคนที่เธอเรียกว่าพ่อ ไม่ได้ขู่แต่ปากเท่านั้น
แต่เขาสามารถทำให้เธอตกงานและไล่เธอกับน้องออกจากบ้านของเขาได้ในทุกนาที เมื่อไม่มีงาน ก็ไม่มีเงิน อย่าว่าแต่เจ็ดแสนสำหรับจ่ายค่ายาให้กับอักษราพิมเลย แค่เจ็ดพันเธอก็ไม่มีไว้สำหรับจ่ายค่าห้องเช่า แต่ทั้งๆ ที่รู้ว่าผู้เป็นบิดาสามารถทำดั่งที่ขู่ได้เสมอ กระนั้น อักษราภัคก็ยังปฏิเสธไม่ทำงานนี้
‘อักษราขอปฏิเสธงานนี้ค่ะ’
ผู้ที่รับเด็กกำพร้าฝาแฝดสองคนนี้มาชุบเลี้ยง ไม่ได้หนักใจกับคำปฏิเสธของอักษราภัค เพราะเขามีไพ่เด็ดที่จะทิ้งลงบนกระดานให้อักษราภัคเปลี่ยนใจมาตอบคำว่า ‘ตกลง’
‘แกเป็นคนเลือกความตายให้กับน้องสาวของแกเองนะ อักษราภัค’
เค้นเสียงบอกเป็นนัยๆ ไปแล้ว ชัยพงศ์ก็หยิบโทรศัพท์โทรหานายแพทย์ที่สนิทชิดเชื้อ และเป็นนายแพทย์ที่รักษาดูแลอาการเจ็บป่วยของอักษราพิมโดยเฉพาะ
‘คุณหมอ ยกเลิกการรักษาอักษราพิมทุกอย่าง’
‘อย่านะ!’
อักษราภัคร้องห้ามเสียงหลง ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ร่างเล็กแทบถลาเข้าไปแย่งโทรศัพท์ออกมาจากมือของผู้เป็นบิดา หลังจากได้ยินอีกฝ่ายออกคำสั่งเช่นนั้น
ชัยพงศ์ยกมือข้างหนึ่งปิดโทรศัพท์ แล้วเค้นถามเสียงห้วน
‘แกจะทำหรือไม่ทำ’
เมื่อมีความตายของน้องสาวเป็นตัวประกัน อักษราภัคจึงไม่อาจปฏิเสธได้ หญิงสาวกลืนก้อนสะอื้นลงคอ หลับตาลงชั่วครู่ เพื่อไล่ภาพใบหน้าอันคมเข้มหล่อเหลาของบุรุษแห่งทะเลทรายออกไปจากหัวใจ พอลืมตาขึ้น ดวงตากลมโตทั้งคู่มีแค่เพียงความว่างเปล่า เย็นชา ขณะเอ่ยตอบรับเสียงราบเรียบ
‘ตกลงค่ะ อักษราจะทำงานนี้ และขอเป็นงานสุดท้ายด้วย’
ชัยพงศ์ไม่รับปากว่าจะยอมให้เป็นดั่งที่อักษราภัคต้องการหรือไม่ เขาหันไปคุยโทรศัพท์กับนายแพทย์ต่อ ให้รักษาอักษราพิมเหมือนเดิม พอวางโทรศัพท์แล้ว ก็ยิ้มเยาะตรงมุมปากเอ่ยชมบุตรสาวไม่ได้หยุดปาก
‘ดีมาก อักษรา ฉันรู้ว่าแกรักน้องสาวมาก รักมากจนยอมตายแทนได้ทุกเมื่อ น่ามอบรางวัลพี่สาวดีเด่นแห่งปีให้กับแกจริงๆ’
‘ใช่ค่ะ อักษรารักน้องพิมมาก และหากเป็นไปได้ อักษราขอเป็นลูคีเมีย นอนซมอยู่ในโรงพยาบาล แทนการต้องมาเป็นโจร ปล้นทุกอย่างเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับคุณพ่อ’
อักษราภัคตอกกลับเสียงเย็นชา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวกล้าพูดเหน็บแนมผู้เป็นบิดา
ชัยพงศ์หัวเราะน่าสะพรึงกลัวอยู่ในลำคอ ไม่ได้สนใจกับคำประชดประชันของคนตรงหน้า จากนั้นก็เค้นเสียงออกคำสั่งกับบุตรสาว ที่ยืนจ้องมองเขาเขม็ง
‘สำหรับการปล้นในครั้งนี้ ฉันคงไม่ต้องบอกรายละเอียดของเหยื่อมาก เพราะแกรู้จักเหยื่อดีอยู่แล้ว แกต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาเพชรสีฟ้ามาให้ฉันให้ได้’
‘แล้วถ้าเกิดผิดพลาด ไม่มีเพชรสีฟ้าอยู่ในมือ’
อักษราภัคเอ่ยถามต่อ อยากรู้ผลลัพธ์ของการทำงานผิดพลาด และเมื่อได้ยินคำตอบ ก็ถึงกับนิ่งงันตัวชา ใบหน้างามขาวซีดไร้สีเลือดในฉับพลัน
‘ไม่มีเพชรสีฟ้า ก็ไม่มีลมหายใจอยู่กับนังอักษราพิม’
อักษราภัครับรู้ได้ถึงมัจจุราชที่เฝ้ารอกระชากวิญญาณของอักษราพิมออกจากร่าง ทว่ามัจจุราชตนนี้หาได้ออกมาจากนรกขุมไหนไม่! แต่เป็นคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้ ที่พร้อมสำหรับการฆ่าน้องสาวของเธอในทุกวินาที หากเธอไม่ได้เพชรสีฟ้าอยู่ในมือ
‘ถ้ายังงั้น ก็สั่งซื้อตู้เซฟรอเก็บเพชรสีฟ้าได้เลยค่ะ’
อักษราภัคกระชากเอกสารทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะทำงาน รวมทั้งภาพถ่ายของคนที่เธออยากลืม ทว่าลืมไม่ลงแม้วินาทีเดียวมาถือไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูห้องทำงาน และก่อนจะก้าวออกพ้นจากช่องประตู ร่างบางก็หยุดชะงักอยู่กับที่ ก่อนจะหันมาเอ่ยถามบิดาในคำถามที่ค้างคารบกวนจิตใจเธอตลอดสี่ปีเต็ม
‘อักษรามีเรื่องจะถามคุณพ่อ’