‘เพชรสีฟ้า!’
อักษราภัคเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้ตื่นเต้นกับความงดงามเล่นประกายไฟของเพชรสีฟ้าเม็ดใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่ามีมูลค่าไม่ต่ำว่าร้อยล้านที่อยู่ตรงหน้าเธอ นั่นก็เป็นเพราะว่า ‘งาน’ ของเธอคือการไปโจรกรรมเพชรเม็ดนี้มาให้กับผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า
ชัยพงศุ์กระตุกยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความโลภ หิวกระหายในการได้ครอบครองเพชรสีฟ้า เพชรล้ำค่าเม็ดใหญ่เม็ดนี้
‘ทำไมต้องให้อักษราไปขโมยเพชรเม็ดนี้ด้วยคะ ในเซฟของคุณพ่อ อักษราเห็นมีเพชรสีฟ้าตั้งมากมาย นับรวมๆ กันแล้วก็เกือบยี่สิบเม็ดแล้วนะคะ’
อักษราภัคเต็มไปด้วยความสงสัย ที่ผู้เป็นบิดาอยากได้เพชรสีฟ้าเม็ดนี้ ใช่ว่าผู้เป็นบิดาจะไม่มีเพชรสีนี้อยู่ในกำมือ อัญมณีตามราศีเกิดทั้งสิบสองราศี ชัยพงศ์มีไว้ในครอบครองทุกสี เพชรเม็ดใหญ่ๆ เกือบเท่าก้อนกรอด ชัยพงศ์ก็มีไม่ต่ำกว่าครึ่งร้อย ซึ่งแน่นอนว่าอัญมณีเหล่านี้ซื้อหามาอย่างถูกต้องตามกฏหมายบ้าง และได้จากการลักขโมยมาบ้าง ซึ่งมือขโมยก็คือตัวหเธอนั่นเอง
‘แกไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผล ว่าทำไมฉันถึงอยากได้เพชรสีฟ้าเม็ดนี้ แกมีหน้าที่ไปขโมยมันมาให้ฉันก็เท่านั้น และต้องขโมยมาให้ได้ด้วย’
‘จากใครคะ อักษราต้องไปขโมยมาจากใคร’
น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่น เมื่อถูกบังคับให้ทำหน้าที่นางโจรครั้งแล้วครั้งเล่า จนแทบนับครั้งไม่ถ้วน
‘เปิดดูภาพต่อไปสิ อักษรา แล้วแกจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของเพชรสีฟ้าเม็ดนี้’
อักษราภัคทำตามคำพูดของบิดาอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นภาพใบหน้าอันหล่อเหลาคมเข้มของบุรุษหนุ่มที่เธอไม่เคยลืมเลยชั่วชีวิต ก็ถึงกับเบิกตากว้าง กัดเม้มริมฝีปากไว้แน่น มือเล็กสั่นเทา แทบทำภาพในมือหลุดลงพื้น
‘เขา...เขาคือเจ้าของเพชรสีฟ้า’
อักษราภัคเอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจ ขณะเอ่ยถามออกไป ดวงตากลมโตคู่สวยจับจ้องมองภาพของบุรุษหนุ่มคนดั่งกล่าวราวกับไม่เคยเห็น ถ้อยคำบางคำที่บุรุษแห่งแผ่นดินทะเลทรายเคยลั่นวาจาไว้กับเธอ ยังฝั่งลึกอยู่ในหัวใจดวงน้อย แม้ว่าวันเวลาจะผันผ่านมานานถึงสี่ปีแล้ว ทว่าเธอยังจดจำถ้อยคำนั้นได้เป็นอย่างดี
ชัยพงศ์แสยะยิ้มเย็น ขณะจ้องมองท่าทีของบุตรสาว ซึ่งเอาแต่ก้มหน้านิ่งมองภาพของชายหนุ่มที่ร่ำรวยมหาศาลติดอันดับโลก แถมยังความหล่อเหลาคมเข้ม ทำให้อิสตรีทั้งหลายหัวใจละลายมานักต่อนัก รวมทั้งคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาในขณะนี้ด้วย
‘ใช่ เขาคือเจ้าของเพชรสีฟ้า’
‘คุณพ่อจะให้อักษราไปขโมยเพชรสีฟ้ามาจาก มา...’
ชื่อของบุรุษแห่งแผ่นดินทะเลทราย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าของหัวใจของเธอ และยังคงเป็นอยู่เช่นเดิมมิมีเสื่อมคลาย ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ ใบหน้างามก้มหน้าลง เพื่อซุกซ่อนริ้วรอยขิงความเจ็บปวดไม่ให้บิดาได้เห็น และนั่นก็ทำให้เธอ ไม่มีโอกาสเห็นการแสยะยิ้มจ้องมองอย่างสมเพชจากผู้เป็นบิดา
‘ถูกต้องแล้ว อักษรา พ่อต้องการให้แกไปขโมยเพชรสีฟ้ามาจากเขา’
‘อักษราไม่รับทำงานนี้ค่ะ’
ให้เธอตายซะยังดีกว่าต้องไปเผชิญหน้ากับเจ้าของนัยน์ตาคมกริบสีนิล ที่จ้องมองเธอด้วยแววชิงชังระคนเคียดแค้นในครั้งสุดท้ายที่พบเจอกัน ก่อนเขาจะเผ่นแนบกลับไปยังแผ่นดินทะเลทรายแทบไม่ทัน
ชัยพงศ์แสยะยิ้ม ขณะมองตามร่างบางระหงที่ผุดขึ้นยืนทำท่าจะเดินออกจากห้อง แต่อักษราภัคก้าวเดินได้ไม่ไกล ก็มีอันต้องหยุดชะงัก กับคำพูดอันเย็นชาของเขา
‘บุญคุณ แกรู้จักคำนี้ไหม อักษราภัค’
อักษราภัคกัดเม้มริมฝีปากจนแทบเป็นเส้นตรง มือเล็กกำเข้าหากันแน่น ทำไมเธอจะไม่รู้จักคำๆ นี้ เพราะคำว่าบุญคุณที่ค้ำคออยู่ไม่ใช่หรือ ที่ทำให้เธอต้องเป็นนางโจรในคราบของนางพยาบาลผู้แสนดี
‘ที่ผ่านๆ มา อักษราทำงานชดใช้หนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงยังไม่หมดอีกหรือคะ เมื่อไรจะให้อักษราหยุดทำงานพวกนี้สักที”
อักษราภัคเอ่ยถามเสียงสั่นติดขมขื่น โดยไม่ได้หันไปมองหน้าบิดา หญิงสาวไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบที่ช่วยปลดปล่อยเธอให้หลุดพ้นจากความผิด จากความเลวเหล่านี้ ซึ่งเป็นความเลวที่เธอไม่ตั้งใจก่อให้เกิดขึ้นในชีวิตแม้แต่นิดเดียว
ชัยพงศ์ยิ้มเยาะตรงมุมปาก เอ่ยตอบให้อักษราภัคต้องลอบถอนสะอื้น
‘คำว่า ‘หยุด’ ไม่มีทางเกิดขึ้นกับชีวิตของแก...แกจะต้องทำงานให้ฉันตลอดไป เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณที่ฉันอุตส่าห์ชุบเลี้ยงพวกแกมา’
‘แต่บุญคุณมันต้องมีวันหมดสิ้นในสักวัน...’
อักษราภัคค้านเสียงแผ่วเบา ทุกข์ระทมกับชีวิตอันน่าอดสูของตนเองจนหยาดน้ำตารื้นขอบตา และหากไม่กะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ออกไป หยาดน้ำตาอุ่นคงหลั่งรินออกมาให้ผู้เป็นบิดาเยาะหยันอีกครั้ง
ชัยพงศ์จ้องมองอักษราภัคเขม็ง ไม่มีแววแห่งรักของความเป็นพ่อมอบให้กับบุตรสาวผู้นี้
‘บุญคุณที่ฉันอุตส่าห์ชุบเลี้ยงแกอย่างดิบดี ให้กินดีอยู่ดี แถมยังส่งให้เรียนในโรงเรียนพยาบาล ให้แกมีอาชีพทำเลี้ยงตัว มันไม่มีวันหมดสิ้นอย่างแน่นอน’
‘แต่ที่ผ่านๆ มา อักษราก็ทำงานให้คุณพ่อมามากแล้วนะคะ สิ่งที่คุณพ่อได้รับจากการทำงานของอักษรา มันควรทดแทนบุญคุณที่เลี้ยงอักษรากับน้องได้บ้าง’
‘นั่นมันเป็นการทดแทนบุญคุณของแกแค่เพียงคนเดียว ยังเหลือการทดแทนบุญคุณจากการชุบเลี้ยงชีวิตของน้องสาวแกด้วย’
ชัยพงศ์หยุดพูดไปชั่วขณะ ไม่มีความสงสารมอบให้กับอักษราภัค เมื่อเค้นเสียงตอกย้ำให้บุตรสาวสำนึกถึงบุญหคุณอันใหญ่หลวงที่เขามอบให้กับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ถูกทิ้งไว้ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทั้งสองคนนี้