กินข้าวกันอิ่มแล้วนางซินดี้กับบีลีฟก็เพิ่งจะมาถึงกัน พวกเราเลยพากันเข้าเรียนเพราะสองคนนั้นกินมาจากที่ห้องแล้ว ดีที่ไม่ได้รอ
ช่วงปีสุดท้ายของการเรียนพวกเราจะต้องทำปริญญานิพนธ์ หรือที่เรียกติดปากกันว่าธีสิส เพราะไม่อย่างนั้นจะเรียนไม่จบ และอาจารย์ก็สั่งให้จับคู่กันทำ ฉันได้คู่กับพลอยใส ส่วนบีลีฟคู่กับซินดี้
และฉันที่ไม่ได้เข้าห้องสมุดมานานมากแล้ว เลยต้องโดนยัยพลอยใสลากไปด้วยหลังจากที่เรียนคาบเช้าเสร็จ และพักกินข้าวกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็อย่างที่เคยบอกว่าถึงจะเที่ยวแต่ว่าการเรียนของฉันก็ยังคงทำได้ดี อันนี้ไม่ได้โกหกนะ จะบอกว่าเป็นคนหัวไวก็ได้หรือว่าโชคแค่ช่วยก็ไม่แน่ใจ เพราะเวลาเรียนฉันมักจะฟังที่อาจารย์สอนแค่ครั้งเดียวก็ทำได้เลย เวลามีงานก็เอากลับไปทำที่ห้อง และผลคะแนนแต่ละครั้งก็เป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก
แต่ธีสิสที่ต้องทำนี่สิ เราจะต้องคิดหัวข้อกันขึ้นมาเอง รวบรวมค้นคว้าด้วยตัวเอง และฉันก็ดันได้คู่กับเด็กเรียนอย่างพลอยใส จะปล่อยให้เธอมานั่งหงอยเหงาหาข้อมูลอยู่คนเดียวก็กระไรอยู่ เพื่อนกันไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว ว่าแล้วก็สลัดคราบยัยคาสโนวีมาเป็นเด็กเรียนสักวัน
ฉันเดินหาหนังสือตามชั้นวางในห้องสมุด เดินเลือกและหยิบมาสองสามเล่มเพื่อนำมาอ่านที่โต๊ะ
ตอนนี้บีลีฟกับซินดี้กำลังทำหน้าเคร่งเครียดค้นหาข้อมูลกันอยู่ เห็นแล้วก็อดหัวเราะชอบใจไม่ได้ อะไรจะขนาดนั้น
“แกขำอะไรยัยเฟย์” บีลีฟเงยหน้าขึ้นมามองค้อนที่โดนฉันหัวเราะใส่
“ขำพวกแกสองคนไง อ่านหนังสือแค่นี้พวกแกต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นเลยเหรอ” ทั้งสองคนหันไปจ้องหน้ากันแล้วก็จ้องมาทางฉัน ยิ่งดูก็ยิ่งตลก
“ฉันไม่ได้ฉลาดเหมือนแกสองคนนี่ยะ”
“เออจริง”
“เอาน่า ยังไงพวกฉันก็ช่วยพวกแกอยู่แล้วปะ ทำเป็นเครียดไปได้”
“จริงอะ”
“อื้ม”
“อร๊าย แม่นางฟ้านางสวรรค์ของซินดี้ ขอบใจนะยะ” ซินดี้ยื่นมือมาบีบพวงแก้มพร้อมกับเอ่ยปากชม
หึ ยัยเพื่อนสอพลอ ยัยขี้ประจบ เห็นแล้วก็นึกหมั่นไส้
“พอเลย แก้มฉันแดงหมดแล้วมั้งเนี่ย แล้วพลอยใสยังไม่มาอีกเหรอ” มองซ้ายทีขวาทีไม่รู้ว่าพลอยใสหายไปไหน ขอไปหาหนังสือตั้งนานแล้วก็ไม่กลับมาที่โต๊ะสักที
“เมื่อกี้เอาหนังสือมาวางไว้แล้วก็ออกไปอีกรอบ แกไม่ต้องกลัวมันหายหรอกน่า พลอยใสมันมาห้องสมุดเป็นประจำ”
“...”
สักพักฉันก็เห็นพลอยใสเดินหอบหนังสือมาแต่ไกล และเธอก็เดินไปคุยไปกับผู้ชายอีกคน มองดูแล้วก็แอบคล้ายนายแว่นคนเมื่อคืนเลย ยิ่งสองคนนั้นเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ และมันก็ใช่จริงๆ ฉันไม่ได้ตาฝาด
ตอนนี้ทั้งคู่แยกย้ายกันแล้ว พลอยใสดูสนิทกับผู้ชายคนนั้นพอสมควร ทั้งคู่ไปรู้จักกันได้อย่างไร และที่สำคัญนายนั่นเรียนที่เดียวกับพวกเราด้วย อยู่มาจนจะจบอยู่แล้วยังไม่เคยเจอหน้ากันแม้แต่ครั้งเดียว หรือเคยเจอแต่ฉันจำไม่ได้ โอ๊ย เลิกคิด รอถามเจ้าตัวดีกว่า
“พลอยใส เมื่อกี้แกคุยกับใครอะ” คนโดนถามหันกลับไปมองทางด้านหลังก่อนจะหันกลับมา
“เมื่อกี้น่ะเหรอ พีทน่ะ เรียนปีเดียวกับเรา” นายนั้นชื่อพีทนี่เอง เป็นอย่างที่คิดไว้ว่านายนั่นน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน
“แล้วไปรู้จักกันได้ไงอะ” ยกมือเท้าคางจ้องไปที่พลอยใสเพื่อรอฟังคำตอบ แต่อีกสามคนกลับหันมาจ้องฉันแทนจนต้องขยับตัวนั่งในท่าปกติ
“พวกแกมองฉันทำไม”
“แกสนใจผู้ชาย” บีลีฟเปิดประเด็นขึ้นมาเป็นคนแรก
“เปล่านี่”
“แต่เมื่อกี้แกถามถึงผู้ชาย” ซินดี้พูดต่อ
“ก็แค่เห็นมากับพลอยใส ปกติไม่เคยเห็นนางเดินคุยกับใครไง” ฉันเริ่มนั่งไม่ติด รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เหมือนคนไปทำอะไรผิดมากอย่างไรอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่มีอะไรเลย
“ไม่ แกดูมีพิรุธ” และนี่ก็เป็นเสียงของยัยพลอยใสที่ถามฉันมา โอ๊ย แต่ละคน
“พิรุธอะไร ไม่มี (เสียงสูง) ”
“แบบนี้ไงพิรุธ”
“ปกติแกไม่เคยสนใจผู้ชาย”
“แล้วตอนที่ถาม แกยิ้ม ฉันเห็น”
“ตอบมาซะดีๆ”
“โอ๊ยพวกแกเนี่ย จะอ่านมั้ยหนังสืออะ ถ้าไม่อ่านจะได้กลับ” ตีมึนต่อว่าพวกมันไปจะได้หยุดคาดคั้นฉันเสียที
“ฉันว่ามีอะไรในกอไผ่”
“ยังไม่หยุดอีกยัยบี”
“บีลีฟค่ะ เรียกใหม่”
“เออๆ ยัยบีลีฟ”
“ทำเป็นหัวเสียกลบเกลื่อน ฉันมองแกออกน่า” ยัยพวกนี้นี่ทำเป็นรู้ดีเสียจริง แต่เมื่อกี้หน้าฉันมันออกอาการว่าสนใจอยากรู้เรื่องของนายนั่นขนาดนั้นเลยเหรอ
หลังจากที่โดนเพื่อนซักไซ้ไปหลายคำถามจนฉันชักจะรำคาญ ขนาดก้มหน้าอ่านหนังสือก็แล้วพวกมันก็ยังจะพากันถามอยู่ได้ จนในที่สุดฉันก็ต้องยอมเปิดปากพูดออกมา
“ก็คนนี้ไงที่บอกว่ามีนัดเจอกันคืนนี้ และคือคนที่ฉันเล่าให้แกฟังนั่นแหละพลอยใส”
“พีทเนี่ยนะคนที่แกจะจ้างมาเป็นแฟน”
“อืม”
“ฮะ”
“ว่าไงนะ” บีลีฟกับซินดี้ทำหน้าตาตื่นไปพร้อมกัน
“พวกแกจะเสียงดังทำไม นี่มันในห้องสมุด ก็แค่แกล้งเป็นแฟนต่อหน้าพี่ปริญแค่นั้นเอง” รีบเอ่ยปรามก่อนที่จะได้ยินเสียงนางซินดี้แหกปาก เดี๋ยวคนคงได้รู้กันทั่วทั้งห้องสมุดว่าพวกเรากำลังคุยกันเรื่องอะไรอยู่
“แกจะลงทุนไปรึเปล่า”
“ลงทุนสิ ฉันเสียเงินจ้างนะยะ ไม่ได้ขอมาฟรีๆ” ตอบกลับนางซินดี้ ภายในใจมันก็แอบคิดอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมฉันถึงยอมเสียเงินเพื่อจ้างใครก็ไม่รู้มาเป็นแฟน
“แล้วพีทว่าไงบ้าง”
“เขาบอกขอคิดดูก่อน คืนนี้ฉันถึงจะไปถามอยู่นี่ไง”
“แต่แกก็คิดได้เนาะ ไปจ้างมาเป็นแฟน คนอย่างแกหาแฟนซักคนยังต้องเสียเงินด้วยเหรอ ผู้ชายรอต่อแถวกันเพียบ ไม่เห็นต้องไปง้อคนอย่างนายนั่นเลย” บีลีฟพูดสิ่งที่คิดออกมายาวเหยียด
ความจริงมันก็ใช่ ฉันออกจะฮอต ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ฉายานี้มา ‘ยัยคาสโนวี’ และด้วยความที่ผู้ชายที่เข้ามาหาพวกนั้น มันก็แค่อยากหลอกกินหลอกดื่ม แล้วทำไมฉันจะต้องเสี่ยงเอาคนพวกนั้นเข้ามาในชีวิตด้วยล่ะ แค่เอาไว้นั่งประดับโต๊ะตอนไปเที่ยวที่คลับก็พอ
“มันไม่เหมือนกัน” ฉันตอบบีลีฟไป และเหมือนพวกนั้นจะยังไม่เข้าใจ ยังคงจ้องหน้าเหมือนรอฟังฉันขยายความ
“ไม่เหมือนยังไง” ซินดี้จ้องหน้าสงสัย
“นายพีทอะไรนั่นน่ะ เคยช่วยฉันไว้ในคลับไง เมื่อคืนพี่ปริญลวนลามฉันน่ะ ดีที่นายนั่นมาช่วยไว้ได้ทัน”
“ฮะ แล้วเมื่อคืนทำไมแกไม่บอกพวกฉันล่ะ”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรไง เลยไม่ได้บอก”
“แล้วแกกับพีทไปคุยกันอีกท่าไหนล่ะ ถึงได้เสนอจ้างให้มาเป็นแฟนของแกได้”
“ก็แค่เห็นเขาเป็นลูกจ้างเงินน่าจะได้น้อย ดูแล้วก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ขนาดอยู่ในห้องกับผู้หญิงสวยๆ แบบฉันสองต่อสอง พวกแกลองคิดดูว่าถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงเข้าหาฉันไปแล้ว แต่นายนั่นไม่จ้า เขานั่งอ่านหนังสือไปคุยกับฉันไป เธอว่าคนอย่างเขาน่าจับมาเป็นแฟนดูมั้ยล่ะ” ฉันสาธยายความดีของนายพีทให้เพื่อนๆ ฟัง
“มันจะมีผู้ชายแบบนี้ในโลกอยู่เหรอยะ ฉันไม่อยากจะเชื่อ ว่าแต่เมื่อกี้มองดูไกลๆ ก็หล่อเหมือนกันนะ” พอพูดถึงผู้ชายแล้วสายตาลุกวาวเชียวนะซินดี้
“คนนี้แกห้ามยุ่งจ้า”
“ทำเป็นหวง”
“ไม่ได้หวงสักหน่อย ว่าแต่นายนั่นเรียนคณะอะไรเหรอ” ตอบซินดี้เสร็จก็หันไปถามพลอยใสต่อ
หลังจากพูดคุยกันไปสักพักฉันก็ได้รู้แล้วว่านายนั่นเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ส่วนพวกเราเรียนคณะบริหารธุรกิจ ถึงว่าฉันไม่เคยเห็นหน้าแต่ก็ถือว่าอยู่ใกล้กันมาก โลกกลมจัง