หลายวันต่อมา...
เรื่องที่เกิดขึ้นทำฉันช็อกจนต้องหยุดเรียนไปหลายวัน ความอับอายมันฝังแน่นอยู่ในจิตใจจนไม่กล้ามองหน้าใครเลยด้วยซ้ำ! ไม่มีใครเข้าใจฉันนอกจากเมฆ หมอนั่นรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน เพราะทันทีที่ฉันหนีออกมาจากเงื้อมมือของคิเรย์ได้ฉันก็รีบตั้งสติแล้วโทรหาเมฆ เขาเป็นคนเดียวที่ฉันนึกออกในตอนนั้น
เมฆช่วยฉันโกหกคนที่บ้านเรื่องป่วยเพื่อจะได้หยุดเรียน เวลาว่างหมอนั่นก็จะแวะมาชวนฉันคุยไม่ให้ฉันหงอยอยู่คนเดียวนานๆ เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าพี่น้องจากเมฆ
แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่สามารถหลบซ่อนได้ตลอดไป... โควตาหยุดเรียนของฉันได้สิ้นสุดลงแล้ว
ฉันนั่งมาในรถเงียบๆ พร้อมกับบลายธ์ โดยที่มีเมฆเป็นคนขับ ปกติเราจะแยกกันมาเรียนตอนเช้าแต่เพราะคนที่บ้านเห็นว่าฉันเพิ่งหายจากไม่สบาย (แกล้งป่วย) ก็เลยยัดเหยียดให้ฉันนั่งมาในรถด้วย
“เดี๋ยวก่อนมานา”
เมฆเรียกชื่อฉันก่อนที่ฉันจะเปิดประตูลงจากรถไป หมอนั่นรอกระทั่งบลายธ์ผลักประตูปิดแล้วจึงหันมาพูดกับฉัน
“แน่ใจนะว่าไม่เป็นไรแล้ว”
“อืม” ฉันครางตอบอย่างคนที่เหมือนกับไม่มีวิญญาณ
“ถ้ามีอะไรก็รีบโทรมาทันทีเลยรู้หรือเปล่า?”
“อืม”
ฉันผลักประตูออกแล้วลงจากรถโดยที่มีเมฆคอยมองอยู่ตลอดด้วยความเป็นห่วง ถึงจะซาบซึ้งที่คนเย็นชาอย่างเขาห่วงใยแต่ฉันก็ไม่มีความสุขสักนิดที่ถูกเอาใจใส่เพราะตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้
“แหม ช่วงนี้สนิทกันจังเลยนะ” บลายธ์กระแซะไหล่ฉันทันทีที่ฉันเดินมาสมทบกับเธอที่หน้าประตูโรงเรียน
“ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอก” ฉันไม่สนใจสายตาระริกระรี้ที่แฝงความนัยเอาไว้ของบลายธ์ เดินนำยัยนั่นเข้ามาในโรงเรียนเงียบๆ
“อะ... โกรธเหรอ”
“ไม่ได้โกรธ”
“แล้วทำไมต้องทำหน้าตึงแบบนั้นด้วยล่ะ แหย่เล่นนิดเดียวเอง”
“ไม่ได้โกรธหรอกน่า คนป่วยจะให้ร่าเริงได้ยังไงล่ะ” ฉันใช้ข้ออ้างเรื่องป่วยขึ้นมาแก้ตัว
“อะ... ไม่โกรธจริงเหรอ?”
“จะให้โกรธอะไรล่ะ”
ฉันไม่ถือสาคำพูดของเธอหรอกนะ เพราะยังไงฉันกับเมฆก็ไม่มีทางเป็นอย่างที่เธอคิดได้หรอก
“ก็... แฮะๆ ช่างมันเถอะ”
หลังจากนั้นเราสองคนก็แยกกันเข้าห้องเรียน ชีวิตภายในรั้วโรงเรียนสุขสงบกว่าที่ฉันคิด ไม่มีใครรู้เห็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับฉัน และแม้ว่าฉันจะระวังตัวเวลาไปไหนมาไหนภายในโรงเรียนตลอดเวลาก็ไม่มีแม้แต่เงาของคิเรย์มาให้กวนใจเลยสักนิด
มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลย... นั่นสินะ! ฉันก็แค่กังวลไปเอง กลัวไปเอง ความละอายใจของฉันค่อยๆ มลายไปพร้อมกับสายลมที่เงียบสงบ กระทั่งเวลาเลิกเรียนมาถึงความเศร้าในใจฉันก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นขุ่นแค้นและเกลียดชัง อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาคืนคิเรย์ให้สาสม
ระหว่างที่ฉันกำลังคิดว่าจะเอายังไงดีหลังออดเลิกเรียนดัง จะกลับบ้านหรือว่าอยู่รอบลายธ์ดี เพราะภารกิจในชมรมของฉันตอนนี้มันเท่ากับศูนย์เนื่องจากอุปกรณ์ดนตรีไทยที่เล่นอยู่ทุกวันกำลังจะถูกนำไปบริจาค ฉันก็เดินมาถึงห้องซ้อมของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว แล้วเสียงอันคุ้นหูของจิลก็ดังเล็ดลอดออกมาจากข้างใน
“มานา!”
“จิล!? ทำไรอะ” ฉันเดินเข้ามาในห้องด้วยความสงสัย มีสมาชิกคนอื่นๆ อยู่ด้วยสองสามคน พวกเขากำลังหมกมุ่นอยู่กับถังสีและป้ายผ้าขาวผืนยาวกับลังกระดาษอีกหลายลัง
“ป้ายนิทรรศการดนตรีที่จะมาถึงน่ะ”
“อ้อ!” ฉันเพิ่งนึกได้ ที่โรงเรียนของเราจะมีงานนิทรรศการดนตรีทุกปีเพื่อส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ชมรมดนตรีให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก ทุกปีๆ ฉันจะคอยทำงานอยู่เบื้องหลังตลอด ไม่เคยได้ขึ้นแสดงโชว์เลยสักครั้งจึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก มันก็เหมือนเรื่องลมฟ้าอากาศดีๆ นั่นแหละ
จู่ๆ พู่กันกับถังสีก็สะกิดต่อมความชั่วร้ายของฉันเข้าอย่างจัง! ความคิดแก้แค้นผุดวาบขึ้นมาในหัวฉันทันที ฉันก้าวฉับๆ เข้าไปในห้อง แกล้งทำเป็นมองโน่นมองนี่ หยิบจับช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ จนทุกคนเผลอฉันก็ฉกพู่กันด้ามเล็กๆ กับกระปุกสีขนาดกะทัดรัดสีแดงสดมาหนึ่งกระปุก
ไม่เป็นไรหรอกน่า... ฉันย้ำกับตัวเองขณะที่สำนึกส่วนดีกำลังจะฉุดรั้งหน่วงน้ำหนักขาตัวเองเอาไว้ แต่ละก้าวที่เดินไปข้างหน้าจะเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจแรงขึ้นๆ ทุกขณะ
ฉันหันซ้ายแลขวาระหว่างเดินมาที่ล็อกเกอร์เก็บของเมื่อเห็นว่าทางสะดวกฉันก็ตรงดิ่งมาที่ช่องของห้องหมอนั่นทันที จากนั้นฉันก็รีบกวาดตามองหาชื่อคิเรย์ทันทีก่อนจะรู้สึกเฟลไปชั่วขณะเพราะไม่รู้ชื่อจริงหมอนั่น แต่ว่าฉันก็ไม่ได้อับโชคอย่างที่คิดเพราะชื่อ ‘คิเรย์’ สลักติดกับป้ายตู้ล็อกเกอร์เด่นชัดซะจนฉันอยากจะโห่ร้องออกมาอย่างดีใจ
ก่อนจะละเลงสีใส่ล็อกเกอร์ของหมอนั่นฉันหันซ้ายแลขวาอย่างระแวงอีกรอบ เมื่อไม่เห็นใครก็ไม่มีอะไรมาหยุดฉันได้แล้ว
ฟึบฟับ!
ฉันจุ่มพู่กันลงบนกระปุกสีแล้วตวัดปลายพู่กันเขียนอักษรตัวแดงๆ ใหญ่ๆ บนล็อกเกอร์ของคิเรย์ว่า
‘สารเลว!’
ก่อนจะชิ่งจากมาอย่างรวดเร็ว...
หุๆ ง่ายกว่าที่คิดซะอีก แค่นั้นก็ทำเอาฉันอมยิ้มสะใจเหมือนคนบ้า แต่ยังหรอก! คิดว่าฉันจะพอใจกับเรื่องแค่นี้งั้นเหรอ ฉันจะจองล้างจองผลาญนายให้มากกว่านี้อีกคอยดูสิ!
หึๆ รู้จักมานาน้อยไปซะแล้ว!!
ฉันวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ห้องเรียนของหมอนั่น ก่อนจะผ่อนฝีเท้าลงเมื่อใกล้จะถึง บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ วังเวงสมกับเป็นเวลาเลิกเรียนและท่าทางจะไม่มีใครอยู่ เหอะ! ทางสะดวกอะไรอย่างนี้!!
ฉันกระหยิ่มยิ้มย่องขณะเดินเข้ามาในห้องที่ร้างผู้คน ก่อนจะหยุดกึก กวาดตามองโต๊ะเรียนที่ตั้งเรียงรายอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ฉิบหาย! แล้วโต๊ะคิเรย์มันตัวไหนล่ะเนี่ย! ?
ฮึ่ม!! ฉันพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ถ้าไม่ได้ทำอะไรสักอย่างฉันคงคาใจไปจนถึงภพหน้าแน่!
ทันใดนั้นเองฉันก็มองไปเห็นกระดาน อะฮ้า!! ได้เรื่องแล้วล่ะ กระดานหน้าห้องเหมาะที่สุดที่จะสร้างความอับอายให้กับหมอนั่น หึๆ
ฉันสาดตัวอักษรประจานคิเรย์ใส่บนกระดานอย่างคั่งแค้น เสร็จแล้วก็ยืนเหยียดยิ้มร้ายชื่นชมผลงานตัวเองอย่างพอใจครู่หนึ่งก่อนจะผลุบหายออกมาจากห้องนั้นเพื่อตามหาเป้าหมายต่อไป
อยู่ไหนนะ... ฉันเดินมองหารถของคิเรย์โดยซ่อนกระปุกสีกับพู่กันเอาไว้ด้านหลัง
อ๊ะ! เจอแล้ว
ขวับ! ขวับ!
ฉันมองซ้ายมองขวาอย่างระวังก่อนจะย่องเข้าไปใกล้รถของคิเรย์ที่จอดซ้อนกับรถคันอื่นอยู่หน้าอาคารเรียน
ฉันจดๆ จ้องๆ อยู่นานคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงให้มันสะใจดี ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะมีคนเห็น
เอาวะ!!
มาถึงขนาดนี้แล้วจะถอยไม่ได้ ฉันเดินเข้ามาใกล้ๆ กับประตูรถก่อนจะค่อยๆ วาดหน้าการ์ตูนแลบลิ้นปลิ้นตาลงไป เสร็จแล้วก็ไปวาดอีกข้างหนึ่งให้ดูบาลานซ์กัน โฮะๆ
ฉันฮัมเพลงอย่างมีความสุขขณะละเลงงานศิลปะสีแดงสดลงบนรถคิเรย์ จากประตูด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่งลามไปถึงกระจกหน้าและหลังรถ จากนั้นก็ปิดฉากด้วยการวาดหัวกะโหลกโง่ๆ มีเขางอกออกมาสองเขาไว้ที่ฝากระโปรงหน้ารถอย่างงดงาม
หุๆ ฉันก้าวถอยหลังออกมามองดูผลงานตัวเองอย่างสดชื่น ประหนึ่งว่าได้สร้างสรรค์งานศิลปะชิ้นเลิศเอาไว้ก็ไม่ปาน โฮะๆ อยากรู้ชะมัดว่าคิเรย์จะทำหน้ายังไงที่เห็นรถตัวเองเป็นแบบนี้!! หมอนั่นต้องโกรธจนหน้าดำหน้าแดงแน่ๆ เผลอๆ จะกรี๊ดเป็นตุ๊ดแตกด้วยซ้ำ อุวะฮ่าๆ
“สนุกมากไหม!?”
“หึ! แน่นอน” ฉันยักไหล่พลางแสยะยิ้มสะใจ
เดี๋ยวนะ... เมื่อกี้เสียงใคร!
ฉันค่อยๆ หันไปมองตามเสียงอย่างใจเสีย ก่อนที่หัวใจจะหล่นตุบไปอยู่ตาตุ่ม!
“คิเรย์!!” และคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หมอนั่น “บลายธ์!”
ฉันยืนมองทั้งสองคนอย่างอึ้งๆ แกมตกใจ ทำไมบลายธ์ถึงมาอยู่กับคิเรย์ล่ะแล้วหมอนั่นมาตั้งแต่ตอนไหน! ? ฉันจะถูกฆ่าไหมเนี่ย
ฉันเหลือบมองหน้าบลายธ์กับคิเรย์สลับกันอย่างแตกตื่น ใจสั่นระรัวทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเอาตัวรอดในสถานการณ์แบบนี้ยังไง ก็ในเมื่อหมอนั่นจับฉันได้คาหนังคาเขาซะขนาดนี้!! มันเป็นความผิดฉันเองล่ะที่มัวแต่เพลินจนลืมระวังตัว! (ยังไม่สำนึก!)
“มานา!” บลายธ์มองหน้าฉันด้วยแววตาไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ตาเห็น
ฉันหน้าร้อนวูบวาบรู้สึกละอายจนไม่กล้าสบสายตายัยนั่น บ้าเอ๊ย! ฉันไม่อยากให้เธอมาเห็นด้านชั่วร้ายของฉันเลยสักนิด!
“คิดจะลองดีกับฉันเหรอไง!?” คิเรย์ไม่สนใจความกระอักกระอ่วนใจระหว่างฉันกับบลายธ์ หมอนั่นก้าวเข้ามากระชากแขนฉันไปจับสุดแรง เพ่งสายตาคมกริบลงมาจ้องหน้าฉันราวกับจะประหัตประหารกันให้ตายไปข้างหนึ่ง!
“เจ็บนะ!” ฉันกัดฟันพูดด้วยความเจ็บปวด จ้องตอบนัยน์ตาเลือดเย็นของคิเรย์ด้วยแววตาสั่นระริก
“เจ็บแค่นี้มันเทียบไม่ได้เลยสักนิดกับที่เธอทำกับรถของฉัน! วันก่อนก็ทีหนึ่งแล้วนะกล้ามากที่วิ่งหนีฉันแบบนั้น อยากให้ฉันจับเธอมาชำแหละแล้วโยนเนื้อให้จระเข้กินเหรอห๊ะ!” คิเรย์บีบต้นแขนฉันแน่นจนปวดร้าวเข้าไปถึงกระดูก
ฉันรู้สึกเจ็บจนน้ำตาคลอเบ้า
“โอ๊ยเจ็บนะ!” ฉันนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวดพยายามดึงแขนให้หลุดจากเงื้อมมือของคิเรย์สุดชีวิต น้ำตาซึมด้วยความเจ็บปวด
“ที่ล็อกเกอร์ก็เป็นฝีมือเธอด้วยใช่ไหม!?”
“โอ๊ย!” ฉันร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเพราะแรงบีบที่เพิ่มขึ้นจนกลัวว่าจะได้ยินเสียงกระดูกหักดังออกมา
“มานาทำแบบนี้ทำไม!?” บลายธ์ก้าวเข้ามาถามฉันด้วยแววตาผิดหวัง ยัยนั่นกวาดสายตามองสภาพรถที่ยับเยินไปด้วยงานศิลปะสีแดงทั่วทั้งคันก่อนจะตวัดสายตากลับมาเอาคำตอบจากฉัน
ฉันกัดริมฝีปากแน่น! จะให้พูดเรื่องที่ฉันถูกคิเรย์รังแกมาได้ยังไงล่ะ มันน่าอายจะตายไป! แต่ถ้าฉันไม่พูดอะไรเลยคิเรย์คงไม่ยอมปล่อยฉันไปแน่!
“มันก็เพราะเธอนั่นล่ะบลายธ์ที่ทำให้ฉันต้องทำแบบนี้!”
“เพราะฉัน!?” บลายธ์ชี้หน้าตัวเองด้วยความอึ้ง มองฉันด้วยแววตาสับสน
“พูดบ้าอะไรของเธอห๊ะ!” คิเรย์กระตุกแขนฉันแรงๆ หนึ่งที จนรู้สึกร้าวไปทั้งตัว!
“ใช่! เพราะฉันต้องการจะขัดขวางการเดทของเธอกับคิเรย์” ฉันมองหน้าบลายธ์นิ่ง น้ำตาปริ่มจนจะล้นออกมาอยู่แล้ว
บลายธ์นัยน์ตาไหววูบด้วยความประหลาดใจ ดวงตากลมคู่สวยแข็งกร้าวขึ้นมาทันที
“คิดว่าฉันจะดีใจเหรอที่รู้ว่าเธอทำเรื่องแบบนี้เพราะฉัน น่าขายหน้าที่สุด! แก้ปัญหาด้วยวิธีต่ำๆ แบบนี้เป็นเพราะได้เลือดแม่มาเยอะล่ะสิ!”
หัวใจฉันกระตุกวูบ! คำพูดของบลายธ์เหยียบย่ำความรู้สึกฉันจนไม่เหลือชิ้นดี!
“อย่าก้าวร้าวถึงแม่ฉันนะ!” ฉันตะโกนออกไปเสียงเกรี้ยวกราด บลายธ์สะบัดหน้าเมินสายตาขัดเคืองของฉันไปทางอื่นด้วยท่าทางกรุ่นโกรธ
มันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย! ทำไมเรื่องราวถึงได้แย่ลงราวกับจมดิ่งลงสู่ห้วงเหวลึกที่มืดมนไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ได้ล่ะ
“รีบไปกันเถอะคิเรย์ อย่าไปเสียเวลากับคนแบบนั้นเลย!” บลายธ์พูดขึ้นมาเสียงแข็ง เป็นครั้งแรกที่ฉันถูกยัยนั่นเย็นชาใส่
“หึ! ถือว่าวันนี้เธอโชคดีนะ! แล้วก็อย่าเสนอหน้ามาให้ฉันเห็นอีกไม่อย่างงั้นได้ลงนรกแน่!!”
พลั่ก
ตุบ!
“โอ๊ย!” ฉันถูกเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ไยดีราวกับเป็นขยะเน่าเหม็นชิ้นหนึ่งที่สมควรจะโดนกำจัดทิ้ง! ร่างกายฉันกระแทกกับพื้นสุดแรง จุกไปทั้งตัว นั่งมองรถเฮงซวยนั่นขับออกไปด้วยสายตาเคียดแค้น!
ฉันยกมือขึ้นปราดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวแล้วพยุงร่างกายขะมุกขะมอมของตัวเองลุกขึ้นก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวเข่าด้านซ้าย
“โอ๊ย...” ฉันอุทานออกมาอย่างเจ็บปวด ก่อนจะเอามือไปแตะเบาๆ แล้วก็ต้องหลับตาลงอย่างปวดหนึบเมื่อรู้สึกได้ถึงของเหลวสีแดงสดที่เปื้อนติดมือ
บ้าที่สุด!
ฉันสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามปิดกั้นความอ่อนแอที่เอ่อล้นขึ้นมาจุกแน่นอยู่บริเวณหน้าอก ฉันจะร้องไห้ไม่ได้ จะยอมแพ้แล้วให้คิเรย์หัวเราะเยาะใส่งั้นเหรอ ไม่มีทาง! ฉันจะไม่ปล่อยให้นายมีอิทธิพลต่อชีวิตฉันเด็ดขาด!