จมดิ่ง

2324 คำ
หลายวันต่อมา... เรื่องที่เกิดขึ้นทำฉันช็อกจนต้องหยุดเรียนไปหลายวัน ความอับอายมันฝังแน่นอยู่ในจิตใจจนไม่กล้ามองหน้าใครเลยด้วยซ้ำ! ไม่มีใครเข้าใจฉันนอกจากเมฆ หมอนั่นรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน เพราะทันทีที่ฉันหนีออกมาจากเงื้อมมือของคิเรย์ได้ฉันก็รีบตั้งสติแล้วโทรหาเมฆ เขาเป็นคนเดียวที่ฉันนึกออกในตอนนั้น เมฆช่วยฉันโกหกคนที่บ้านเรื่องป่วยเพื่อจะได้หยุดเรียน เวลาว่างหมอนั่นก็จะแวะมาชวนฉันคุยไม่ให้ฉันหงอยอยู่คนเดียวนานๆ เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าพี่น้องจากเมฆ แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่สามารถหลบซ่อนได้ตลอดไป... โควตาหยุดเรียนของฉันได้สิ้นสุดลงแล้ว ฉันนั่งมาในรถเงียบๆ พร้อมกับบลายธ์ โดยที่มีเมฆเป็นคนขับ ปกติเราจะแยกกันมาเรียนตอนเช้าแต่เพราะคนที่บ้านเห็นว่าฉันเพิ่งหายจากไม่สบาย (แกล้งป่วย) ก็เลยยัดเหยียดให้ฉันนั่งมาในรถด้วย “เดี๋ยวก่อนมานา” เมฆเรียกชื่อฉันก่อนที่ฉันจะเปิดประตูลงจากรถไป หมอนั่นรอกระทั่งบลายธ์ผลักประตูปิดแล้วจึงหันมาพูดกับฉัน “แน่ใจนะว่าไม่เป็นไรแล้ว” “อืม” ฉันครางตอบอย่างคนที่เหมือนกับไม่มีวิญญาณ “ถ้ามีอะไรก็รีบโทรมาทันทีเลยรู้หรือเปล่า?” “อืม” ฉันผลักประตูออกแล้วลงจากรถโดยที่มีเมฆคอยมองอยู่ตลอดด้วยความเป็นห่วง ถึงจะซาบซึ้งที่คนเย็นชาอย่างเขาห่วงใยแต่ฉันก็ไม่มีความสุขสักนิดที่ถูกเอาใจใส่เพราะตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้ “แหม ช่วงนี้สนิทกันจังเลยนะ” บลายธ์กระแซะไหล่ฉันทันทีที่ฉันเดินมาสมทบกับเธอที่หน้าประตูโรงเรียน “ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอก” ฉันไม่สนใจสายตาระริกระรี้ที่แฝงความนัยเอาไว้ของบลายธ์ เดินนำยัยนั่นเข้ามาในโรงเรียนเงียบๆ “อะ... โกรธเหรอ” “ไม่ได้โกรธ” “แล้วทำไมต้องทำหน้าตึงแบบนั้นด้วยล่ะ แหย่เล่นนิดเดียวเอง” “ไม่ได้โกรธหรอกน่า คนป่วยจะให้ร่าเริงได้ยังไงล่ะ” ฉันใช้ข้ออ้างเรื่องป่วยขึ้นมาแก้ตัว “อะ... ไม่โกรธจริงเหรอ?” “จะให้โกรธอะไรล่ะ” ฉันไม่ถือสาคำพูดของเธอหรอกนะ เพราะยังไงฉันกับเมฆก็ไม่มีทางเป็นอย่างที่เธอคิดได้หรอก “ก็... แฮะๆ ช่างมันเถอะ” หลังจากนั้นเราสองคนก็แยกกันเข้าห้องเรียน ชีวิตภายในรั้วโรงเรียนสุขสงบกว่าที่ฉันคิด ไม่มีใครรู้เห็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับฉัน และแม้ว่าฉันจะระวังตัวเวลาไปไหนมาไหนภายในโรงเรียนตลอดเวลาก็ไม่มีแม้แต่เงาของคิเรย์มาให้กวนใจเลยสักนิด มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลย... นั่นสินะ! ฉันก็แค่กังวลไปเอง กลัวไปเอง ความละอายใจของฉันค่อยๆ มลายไปพร้อมกับสายลมที่เงียบสงบ กระทั่งเวลาเลิกเรียนมาถึงความเศร้าในใจฉันก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นขุ่นแค้นและเกลียดชัง อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาคืนคิเรย์ให้สาสม ระหว่างที่ฉันกำลังคิดว่าจะเอายังไงดีหลังออดเลิกเรียนดัง จะกลับบ้านหรือว่าอยู่รอบลายธ์ดี เพราะภารกิจในชมรมของฉันตอนนี้มันเท่ากับศูนย์เนื่องจากอุปกรณ์ดนตรีไทยที่เล่นอยู่ทุกวันกำลังจะถูกนำไปบริจาค ฉันก็เดินมาถึงห้องซ้อมของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว แล้วเสียงอันคุ้นหูของจิลก็ดังเล็ดลอดออกมาจากข้างใน “มานา!” “จิล!? ทำไรอะ” ฉันเดินเข้ามาในห้องด้วยความสงสัย มีสมาชิกคนอื่นๆ อยู่ด้วยสองสามคน พวกเขากำลังหมกมุ่นอยู่กับถังสีและป้ายผ้าขาวผืนยาวกับลังกระดาษอีกหลายลัง “ป้ายนิทรรศการดนตรีที่จะมาถึงน่ะ” “อ้อ!” ฉันเพิ่งนึกได้ ที่โรงเรียนของเราจะมีงานนิทรรศการดนตรีทุกปีเพื่อส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ชมรมดนตรีให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก ทุกปีๆ ฉันจะคอยทำงานอยู่เบื้องหลังตลอด ไม่เคยได้ขึ้นแสดงโชว์เลยสักครั้งจึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก มันก็เหมือนเรื่องลมฟ้าอากาศดีๆ นั่นแหละ จู่ๆ พู่กันกับถังสีก็สะกิดต่อมความชั่วร้ายของฉันเข้าอย่างจัง! ความคิดแก้แค้นผุดวาบขึ้นมาในหัวฉันทันที ฉันก้าวฉับๆ เข้าไปในห้อง แกล้งทำเป็นมองโน่นมองนี่ หยิบจับช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ จนทุกคนเผลอฉันก็ฉกพู่กันด้ามเล็กๆ กับกระปุกสีขนาดกะทัดรัดสีแดงสดมาหนึ่งกระปุก ไม่เป็นไรหรอกน่า... ฉันย้ำกับตัวเองขณะที่สำนึกส่วนดีกำลังจะฉุดรั้งหน่วงน้ำหนักขาตัวเองเอาไว้ แต่ละก้าวที่เดินไปข้างหน้าจะเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจแรงขึ้นๆ ทุกขณะ ฉันหันซ้ายแลขวาระหว่างเดินมาที่ล็อกเกอร์เก็บของเมื่อเห็นว่าทางสะดวกฉันก็ตรงดิ่งมาที่ช่องของห้องหมอนั่นทันที จากนั้นฉันก็รีบกวาดตามองหาชื่อคิเรย์ทันทีก่อนจะรู้สึกเฟลไปชั่วขณะเพราะไม่รู้ชื่อจริงหมอนั่น แต่ว่าฉันก็ไม่ได้อับโชคอย่างที่คิดเพราะชื่อ ‘คิเรย์’ สลักติดกับป้ายตู้ล็อกเกอร์เด่นชัดซะจนฉันอยากจะโห่ร้องออกมาอย่างดีใจ ก่อนจะละเลงสีใส่ล็อกเกอร์ของหมอนั่นฉันหันซ้ายแลขวาอย่างระแวงอีกรอบ เมื่อไม่เห็นใครก็ไม่มีอะไรมาหยุดฉันได้แล้ว ฟึบฟับ! ฉันจุ่มพู่กันลงบนกระปุกสีแล้วตวัดปลายพู่กันเขียนอักษรตัวแดงๆ ใหญ่ๆ บนล็อกเกอร์ของคิเรย์ว่า ‘สารเลว!’ ก่อนจะชิ่งจากมาอย่างรวดเร็ว... หุๆ ง่ายกว่าที่คิดซะอีก แค่นั้นก็ทำเอาฉันอมยิ้มสะใจเหมือนคนบ้า แต่ยังหรอก! คิดว่าฉันจะพอใจกับเรื่องแค่นี้งั้นเหรอ ฉันจะจองล้างจองผลาญนายให้มากกว่านี้อีกคอยดูสิ! หึๆ รู้จักมานาน้อยไปซะแล้ว!! ฉันวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ห้องเรียนของหมอนั่น ก่อนจะผ่อนฝีเท้าลงเมื่อใกล้จะถึง บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ วังเวงสมกับเป็นเวลาเลิกเรียนและท่าทางจะไม่มีใครอยู่ เหอะ! ทางสะดวกอะไรอย่างนี้!! ฉันกระหยิ่มยิ้มย่องขณะเดินเข้ามาในห้องที่ร้างผู้คน ก่อนจะหยุดกึก กวาดตามองโต๊ะเรียนที่ตั้งเรียงรายอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ฉิบหาย! แล้วโต๊ะคิเรย์มันตัวไหนล่ะเนี่ย! ? ฮึ่ม!! ฉันพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ถ้าไม่ได้ทำอะไรสักอย่างฉันคงคาใจไปจนถึงภพหน้าแน่! ทันใดนั้นเองฉันก็มองไปเห็นกระดาน อะฮ้า!! ได้เรื่องแล้วล่ะ กระดานหน้าห้องเหมาะที่สุดที่จะสร้างความอับอายให้กับหมอนั่น หึๆ ฉันสาดตัวอักษรประจานคิเรย์ใส่บนกระดานอย่างคั่งแค้น เสร็จแล้วก็ยืนเหยียดยิ้มร้ายชื่นชมผลงานตัวเองอย่างพอใจครู่หนึ่งก่อนจะผลุบหายออกมาจากห้องนั้นเพื่อตามหาเป้าหมายต่อไป อยู่ไหนนะ... ฉันเดินมองหารถของคิเรย์โดยซ่อนกระปุกสีกับพู่กันเอาไว้ด้านหลัง อ๊ะ! เจอแล้ว ขวับ! ขวับ! ฉันมองซ้ายมองขวาอย่างระวังก่อนจะย่องเข้าไปใกล้รถของคิเรย์ที่จอดซ้อนกับรถคันอื่นอยู่หน้าอาคารเรียน ฉันจดๆ จ้องๆ อยู่นานคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงให้มันสะใจดี ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะมีคนเห็น เอาวะ!! มาถึงขนาดนี้แล้วจะถอยไม่ได้ ฉันเดินเข้ามาใกล้ๆ กับประตูรถก่อนจะค่อยๆ วาดหน้าการ์ตูนแลบลิ้นปลิ้นตาลงไป เสร็จแล้วก็ไปวาดอีกข้างหนึ่งให้ดูบาลานซ์กัน โฮะๆ ฉันฮัมเพลงอย่างมีความสุขขณะละเลงงานศิลปะสีแดงสดลงบนรถคิเรย์ จากประตูด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่งลามไปถึงกระจกหน้าและหลังรถ จากนั้นก็ปิดฉากด้วยการวาดหัวกะโหลกโง่ๆ มีเขางอกออกมาสองเขาไว้ที่ฝากระโปรงหน้ารถอย่างงดงาม หุๆ ฉันก้าวถอยหลังออกมามองดูผลงานตัวเองอย่างสดชื่น ประหนึ่งว่าได้สร้างสรรค์งานศิลปะชิ้นเลิศเอาไว้ก็ไม่ปาน โฮะๆ อยากรู้ชะมัดว่าคิเรย์จะทำหน้ายังไงที่เห็นรถตัวเองเป็นแบบนี้!! หมอนั่นต้องโกรธจนหน้าดำหน้าแดงแน่ๆ เผลอๆ จะกรี๊ดเป็นตุ๊ดแตกด้วยซ้ำ อุวะฮ่าๆ “สนุกมากไหม!?” “หึ! แน่นอน” ฉันยักไหล่พลางแสยะยิ้มสะใจ เดี๋ยวนะ... เมื่อกี้เสียงใคร! ฉันค่อยๆ หันไปมองตามเสียงอย่างใจเสีย ก่อนที่หัวใจจะหล่นตุบไปอยู่ตาตุ่ม! “คิเรย์!!” และคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หมอนั่น “บลายธ์!” ฉันยืนมองทั้งสองคนอย่างอึ้งๆ แกมตกใจ ทำไมบลายธ์ถึงมาอยู่กับคิเรย์ล่ะแล้วหมอนั่นมาตั้งแต่ตอนไหน! ? ฉันจะถูกฆ่าไหมเนี่ย ฉันเหลือบมองหน้าบลายธ์กับคิเรย์สลับกันอย่างแตกตื่น ใจสั่นระรัวทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเอาตัวรอดในสถานการณ์แบบนี้ยังไง ก็ในเมื่อหมอนั่นจับฉันได้คาหนังคาเขาซะขนาดนี้!! มันเป็นความผิดฉันเองล่ะที่มัวแต่เพลินจนลืมระวังตัว! (ยังไม่สำนึก!) “มานา!” บลายธ์มองหน้าฉันด้วยแววตาไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ตาเห็น ฉันหน้าร้อนวูบวาบรู้สึกละอายจนไม่กล้าสบสายตายัยนั่น บ้าเอ๊ย! ฉันไม่อยากให้เธอมาเห็นด้านชั่วร้ายของฉันเลยสักนิด! “คิดจะลองดีกับฉันเหรอไง!?” คิเรย์ไม่สนใจความกระอักกระอ่วนใจระหว่างฉันกับบลายธ์ หมอนั่นก้าวเข้ามากระชากแขนฉันไปจับสุดแรง เพ่งสายตาคมกริบลงมาจ้องหน้าฉันราวกับจะประหัตประหารกันให้ตายไปข้างหนึ่ง! “เจ็บนะ!” ฉันกัดฟันพูดด้วยความเจ็บปวด จ้องตอบนัยน์ตาเลือดเย็นของคิเรย์ด้วยแววตาสั่นระริก “เจ็บแค่นี้มันเทียบไม่ได้เลยสักนิดกับที่เธอทำกับรถของฉัน! วันก่อนก็ทีหนึ่งแล้วนะกล้ามากที่วิ่งหนีฉันแบบนั้น อยากให้ฉันจับเธอมาชำแหละแล้วโยนเนื้อให้จระเข้กินเหรอห๊ะ!” คิเรย์บีบต้นแขนฉันแน่นจนปวดร้าวเข้าไปถึงกระดูก ฉันรู้สึกเจ็บจนน้ำตาคลอเบ้า “โอ๊ยเจ็บนะ!” ฉันนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวดพยายามดึงแขนให้หลุดจากเงื้อมมือของคิเรย์สุดชีวิต น้ำตาซึมด้วยความเจ็บปวด “ที่ล็อกเกอร์ก็เป็นฝีมือเธอด้วยใช่ไหม!?” “โอ๊ย!” ฉันร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเพราะแรงบีบที่เพิ่มขึ้นจนกลัวว่าจะได้ยินเสียงกระดูกหักดังออกมา “มานาทำแบบนี้ทำไม!?” บลายธ์ก้าวเข้ามาถามฉันด้วยแววตาผิดหวัง ยัยนั่นกวาดสายตามองสภาพรถที่ยับเยินไปด้วยงานศิลปะสีแดงทั่วทั้งคันก่อนจะตวัดสายตากลับมาเอาคำตอบจากฉัน ฉันกัดริมฝีปากแน่น! จะให้พูดเรื่องที่ฉันถูกคิเรย์รังแกมาได้ยังไงล่ะ มันน่าอายจะตายไป! แต่ถ้าฉันไม่พูดอะไรเลยคิเรย์คงไม่ยอมปล่อยฉันไปแน่! “มันก็เพราะเธอนั่นล่ะบลายธ์ที่ทำให้ฉันต้องทำแบบนี้!” “เพราะฉัน!?” บลายธ์ชี้หน้าตัวเองด้วยความอึ้ง มองฉันด้วยแววตาสับสน “พูดบ้าอะไรของเธอห๊ะ!” คิเรย์กระตุกแขนฉันแรงๆ หนึ่งที จนรู้สึกร้าวไปทั้งตัว! “ใช่! เพราะฉันต้องการจะขัดขวางการเดทของเธอกับคิเรย์” ฉันมองหน้าบลายธ์นิ่ง น้ำตาปริ่มจนจะล้นออกมาอยู่แล้ว บลายธ์นัยน์ตาไหววูบด้วยความประหลาดใจ ดวงตากลมคู่สวยแข็งกร้าวขึ้นมาทันที “คิดว่าฉันจะดีใจเหรอที่รู้ว่าเธอทำเรื่องแบบนี้เพราะฉัน น่าขายหน้าที่สุด! แก้ปัญหาด้วยวิธีต่ำๆ แบบนี้เป็นเพราะได้เลือดแม่มาเยอะล่ะสิ!” หัวใจฉันกระตุกวูบ! คำพูดของบลายธ์เหยียบย่ำความรู้สึกฉันจนไม่เหลือชิ้นดี! “อย่าก้าวร้าวถึงแม่ฉันนะ!” ฉันตะโกนออกไปเสียงเกรี้ยวกราด บลายธ์สะบัดหน้าเมินสายตาขัดเคืองของฉันไปทางอื่นด้วยท่าทางกรุ่นโกรธ มันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย! ทำไมเรื่องราวถึงได้แย่ลงราวกับจมดิ่งลงสู่ห้วงเหวลึกที่มืดมนไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ได้ล่ะ “รีบไปกันเถอะคิเรย์ อย่าไปเสียเวลากับคนแบบนั้นเลย!” บลายธ์พูดขึ้นมาเสียงแข็ง เป็นครั้งแรกที่ฉันถูกยัยนั่นเย็นชาใส่ “หึ! ถือว่าวันนี้เธอโชคดีนะ! แล้วก็อย่าเสนอหน้ามาให้ฉันเห็นอีกไม่อย่างงั้นได้ลงนรกแน่!!” พลั่ก ตุบ! “โอ๊ย!” ฉันถูกเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ไยดีราวกับเป็นขยะเน่าเหม็นชิ้นหนึ่งที่สมควรจะโดนกำจัดทิ้ง! ร่างกายฉันกระแทกกับพื้นสุดแรง จุกไปทั้งตัว นั่งมองรถเฮงซวยนั่นขับออกไปด้วยสายตาเคียดแค้น! ฉันยกมือขึ้นปราดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวแล้วพยุงร่างกายขะมุกขะมอมของตัวเองลุกขึ้นก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวเข่าด้านซ้าย “โอ๊ย...” ฉันอุทานออกมาอย่างเจ็บปวด ก่อนจะเอามือไปแตะเบาๆ แล้วก็ต้องหลับตาลงอย่างปวดหนึบเมื่อรู้สึกได้ถึงของเหลวสีแดงสดที่เปื้อนติดมือ บ้าที่สุด! ฉันสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามปิดกั้นความอ่อนแอที่เอ่อล้นขึ้นมาจุกแน่นอยู่บริเวณหน้าอก ฉันจะร้องไห้ไม่ได้ จะยอมแพ้แล้วให้คิเรย์หัวเราะเยาะใส่งั้นเหรอ ไม่มีทาง! ฉันจะไม่ปล่อยให้นายมีอิทธิพลต่อชีวิตฉันเด็ดขาด!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม