ตอนที่ 8 กุนซือคนใหม่
กว่าจะข่มตาลงเวลาก็ล่วงเลยจนเกือบเช้า เมื่อฟ้าเริ่มสว่างนางจึงวางใจที่จะนอนหลับพักผ่อน ลู่เหลียนไม่อาจประมาท ลำพังตัวนางหาได้กลัวตายไม่ แต่ยามนี้นางมีชีวิตน้อยๆที่นางต้องปกป้อง สัญชาตญาณของผู้เป็นมารดาย่อมไม่ยอมให้บุตรต้องตกอยู่ในอันตราย
หญิงสาวหลับไปนานจนเวลาล่วงเลยเข้ายามบ่ายถึงได้ตื่นขึ้นมา นางดันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบากเพราะยามนี้หน้าท้องเริ่มใหญ่ขึ้นมาก ทั้งเจ้าก้อนแป้งก็เริ่มดิ้นส่งสัญญาณให้ผู้เป็นมารดารับรู้ถึงการมีตัวตน หญิงสาวบิดร่างกายไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบทั่วร่าง ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห้นกลีบดอกไม้สีชมพูบนหมอนใบโตข้างกาย
กลีบดอกไม้ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
หญิงสาวแคลงใจนัก นางกวาดตามองไปทั่วห้อง ในนี้ไม่มีดอกไม้ประดับแม้แต่ดอกเดียว ครั้งจะว่าปลิวเข้ามาก็ไม่มีทางเป็นไปได้
หน้าต่างไม่ได้เปิดอยู่
ลู่เหลียนชักเริ่มไม่สบายใจกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระยะนี้ นางเริ่มคิดมากอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้ปริปากเล่าให้ผู้ใดฟัง อีกไม่กี่วันถานเอ๋อร์ก็จะเดินทางกลับมา ถึงเวลานั้นนางก็คงเบาใจลงได้บ้าง อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็มีวรยุทธสูงส่งเกินสตรีทั่วไป ทั้งยังเคยปะทะฝีมือกับกลุ่มโจรเพียงลำพังมาแล้ว
หากมีภัยเกิดขึ้น ถานเอ๋อร์นี่แหละจะเป็นคนถ่วงเวลายามที่นางหาทางสู้กับคนเหล่านั้น
นางไม่ถนัดเรื่องการใช้กำลัง แต่หากเป็นเรื่องพิษแล้วล่ะก็ นางเชื่อว่านางนั้นเชี่ยวชาญไม่แพ้อาจารย์เช่นกัน ทั้งยังนางยังรู้ลึกเรื่องวิธีการใช้พาแต่ละชนิดเป็นอย่างดี เพียงแต่ช่วงเวลาที่กะทันหัน อาจทำให้นางเกิดความสับสนจนไม่มีสติ ในยามนี้จึงต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลาแม้ยามนอน
ตราบใดที่คนผู้นั้นยังกำจัดนางไม่ได้ นางก็ไม่อาจประมาท
คนผู้นั้นคงรู้ดีว่าในภายภาคหน้านางจะต้องนำภัยไปสู่พวกมัน ในระยะนี้ถึงได้คอยจับตาดูนางอยู่ นางรู้แต่สิ่งที่ยังไม่เข้าใจนัก เหตุใดพวกมันถึงไม่บุกเข้ามาเสียเลยเล่า
ที่แห่งนี้มีเพียงบ่าวไร้วรยุทธ ยิ่งถานเอ๋อร์ไม่อยู่แบบนี้แล้ว ย่อมเป็นโอกาสที่พวกมันจะปลิดชีพนางได้อย่างง่ายดาย
“นายหญิงเจ้าขา ท่านอ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ”
บ่าวตัวน้อยวัยสิบสี่ยืนร้องเรียกอยู่หน้าห้อง ลู่เหลียนรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งกายใหม่ให้ดูเหมาะสมที่พบเชื้อพระวงศ์หนุ่ม อาภรณ์สีส้มสดใสถูกสวมบนเรือนร่างบอบบางที่มีสัดส่วนอวบอิ่มเย้ายวน ยามนางย่างกายนั้นช่างน่ามองยิ่งนัก
ลู่เหลียนเตรียมขวดยาจำนวนมากใส่ถุงผ้ามิดชิด ก่อนจะถือติดมือไปด้วย หลายวันมานี้นางใช้ช่วงเวลาส่วนใหญ่ในการสกัดยาให้แก่อ๋องแปด ทำให้นางรู้สึกว่าละอองพิษเพียงเล็กน้อยนั้นส่งผลต่อร่างกายนางไม่น้อย นางจึงจำต้องรีบเร่งทุกอย่างให้เสร็จสิ้น ด้วยกลัวว่าลูกน้อยในครรภ์จะได้รับอันตรายไปด้วย
นางห่วงลูกเสียยิ่งกว่าชีวิตของนาง
แต่ทว่าหน้าที่เพื่อบ้านเมืองก็ไม่อาจละได้
“เจ้าดูไม่สดใสเลยนะลู่เหลียน”
อ๋องหนุ่มกล่าวไปจิบชาร้อนไป จวนนี้อากาศดีร่มเย็น ทั้งยังมีลมพัดผ่านตลอดเวลา ทำให้เขาอยากจะมาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อยครั้ง แต่ติดตรงที่เขานั้นมีภารกิจมากมายให้ต้องทำและสะสาง ไม่อาจเที่ยวเล่นอามอำเภอใจเช่นดังแต่ก่อนได้
เป็นโอรสที่ไร้ความโปรดปราน ก็จะมีชีวิตน่าอดสูเช่นนี้
แต่เขาหาได้เคยใส่ใจ ดีเสียอีก ตัวเขาหาได้อยากอยู่ในวังวนการแย่งชิงอำนาจของเหล่าอ๋องและองค์ชายไม่ บัลลังก์มังกรนั่นก็ไม่ต่างอะไรจากชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ ที่พวกสุนัขพากันจดจ้องเพื่อแย่งชิง เขาไม่อยากเป็นสุนัขจึงขอใช้ชีวิตเช่นมนุษย์ทั่วไปจะดีเสียกว่า
“อาจเพราะละอองจากพิษกระมัง ข้าถึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก”
ได้ยินเช่นนั้นอ๋องหนุ่มก็พลันไม่สบายใจ ยามที่ได้พบนางในรอบสามปีนั้น เขาหารู้ไม่ว่านางกำลังตั้งครรภ์กับแม่ทัพจ้าวเยว่ฉิน จนกระทั่งยามนี้เขาถึงได้เห็นหน้าท้องนูนของนางอย่างชัดเจน แววตารู้สึกผิดมองตรงไปยังหญิงสาว เขาใช้งานงานนางโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของนางและบุตรได้อย่างไรกัน
“ข้าต้องอภัยเจ้าด้วย ข้าไม่ทันคิดว่ายามนี้เจ้ากำลัง…”
ให้ตายเถิด! เขารู้สึกผิดต่อนางจนทำตัวไม่ถูก ลู่เหลียนเมื่อเห็นสีหน้ากังวลใจของชายหนุ่มนางก็หัวเราะออกมาเบาๆและกล่าวขึ้น
“ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก ท่านอย่าได้กังวล”
นางคงต้องวางมือจากพืชพิษทั้งหลายสักพักจนกว่านางจะคลอดเจ้าก้อนแป้งออกมาเสียก่อน นางไม่วางใจให้ผู้ใดได้เห็นตำราลับที่อาจารย์ของนางเขียนขึ้น เว้นแต่เพียงอ๋องแปดที่เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน น่าเสียดายที่ความรู้ยังไม่ทันแตกฉาน ท่านอ๋องก็ถูกสั่งห้ามเรียนเรื่องพืชพิษและสมุนไพรอีก ด้วยหลายฝ่ายเกรงว่าท่านอ๋องจะนำความรู้นั้นมาประทุษร้ายต่อฮ่องเต้และราชวงศ์
ช่างไร้สาระยิ่งนัก!
ฮ่องเต้ไม่ใช่ว่าเป็นพระบิดาเขาหรอกหรือ
ทั้งเชื้อพระวงศ์ก็เครือญาติทั้งสิ้น
มีเหตุผลใดที่อ๋องแปดจะต้องคิดชั่วเช่นนั้น ในเมื่อเขาหาได้หมายปองบัลลังก์และอำนาจไม่ ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องทำเรื่องน่าอดสูเพื่อแย่งชิงสิ่งที่ไม่ใช่ของตน
นางรู้จักนิสัยเขาดี นางกับเขาเติบโตมาด้วยกัน สนิทสนมเป็นสหายร่วมสาบานที่ไม่มีวันทรยศต่อกัน
และไม่มีวันแปรเปลี่ยนสถานะเป็นอย่างอื่น นอกจากสหายที่ดีต่อกัน
“ของที่เจ้าให้มาคงใช้ได้นานทีเดียว เช่นนั้นช่วงนี้เจ้าควรเลี่ยงสัมผัสพืชพิษเหล่านั้นไปก่อน”
ช่วงเวลาที่ลู่เหลียนรอวันคลอดบุตร ห้าเดือนนับจากนี้ เขาจะไม่ขอรบกวนนางสักระยะ การมาของเขาอาจทำให้นางเดือดร้อนได้ ตัวเขามีศัตรูรอบด้าน ทั้งบิดาที่หวาดระแวงเขาตลอดเวลา ทั้งพี่น้องที่ไม่ไว้วางใจเขา ทั้งยังพวกเผ่าเถื่อนที่พยายามรุกรานแผ่นดิน
ศัตรูนอกแคว้นนั้น นับว่าน่ากลัวน้อยกว่าศัตรูในแคว้นเสียอีก
ฮ่องเต้ไม่เพียงแค่ระหวาดระแวงเขา แต่ยังหวาดระแวงทุกคนรอบกาย ไม่เว้นแม้แต่องค์รัชทายาทที่พระองค์โปรดปรานที่สุดในบรรดาองค์หญิงองค์ชาย
บ้านเมืองยามนี้ไม่ได้สุขสงบนัก กองทัพต้องพร้อมเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทั้งยามนี้ยังไม่อาจไว้ใจคนในด้วยกันได้ เพราะฝ่ายที่ต้องการรุกรานแผ่นดินใหญ่นั้นช่างแข็งแกร่งจนไม่อาจปะทะซึ่งหน้าให้เสียกำลังพล ในแต่ละครั้งที่ออกรบ ฝ่ายนั้นถูกกำจัดได้เพียงหนึ่งต่อสามส่วนของกองทัพหลวง ด้วยร่างกายที่สูงใหญ่กว่า พละกำลังที่มากกว่า ทั้งยังเลี้ยงสัตว์ร้ายเพื่อเป็นอาวุธ
กองทัพฝั่งเหนือยามนี้กำลังพลเหลือน้อยเต็มทน
เขาจึงจำต้องหาวิธีลดทอนกำลังคนของฝ่ายบุกรุกด้วยการลอบวางยาพิษ แต่การจะลักลอบเข้าไปที่นั่นหาใช่เรื่องง่าย หากถูกจับได้เท่ากับตายสถานเดียว
“ท่านอ๋อง ท่านกังวลเรื่องใดอยู่”
หญิงสาวเอ่ยถามเพราะไม่บ่อยนักที่จะเห็นเขาดูเคร่งเครียดเช่นนี้
“ข้าบอกเจ้าตามตรงนะลู่เหลียน ข้ากังวลหลายเรื่องนัก”
ยามนี้เขาเป็นห่วงพระสนมกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดายิ่งนัก แม้จะมีองค์ชายและองค์หญิงร่วมสายโลหิตคอยดูแลพระมารดาอยู่ แต่เขาก็ไม่อาจวางใจด้วยรู้ว่าอย่างไรหากเขาพ่ายแพ้ต่อพวกเผ่าเถื่อน พระมารดาจะต้องรับโทษแทนเป็นแน่
“ท่านอ๋อง เดิมทีข้าไม่เห็นด้วยนักเรื่องสังหารหมู่”
นางคิดว่ามันโหดร้ายป่าเถื่อนและไร้ศักดิ์ศรีเกินกว่าที่จะใช้วิธีนี้ แต่ทว่าเมื่อยามจนมุม ศักดิ์ศรีนั้นก็ควรโยนทิ้งไปให้ไกลเสียก่อน
“แต่เพราะอีกฝ่ายรุกรานไม่หยุด ทั้งยังเข่นฆ่าข่มเหงชาวแคว้นเรา ข้าจึงคิดว่าพวกมันไม่สมควรได้รับความปราณี”
ความตายคือสิ่งเดียวที่จะหยุดพวกมันได้ คนเหล่านั้นบ้าคลั่งเกินควบคุม หากไม่ใช้วิธีลอบกัดก็ยากที่จะหยุดยั้ง คนพวกนั้นไม่ต้องการเจรจาต่อรอง แต่ต้องการประกาศให้ราชสำนักรู้ว่าพวกมันแข็งแกร่งมากเพียงใด!
“ชีวิตพระนางกุ้ยเฟย ยามนี้อยู่ในกำมือฝ่าบาท หากท่านยังชักช้า ข้าเกรงว่า…”
หญิงสาวไม่อาจกล่าวต่อเมื่อเห็นสีหน้ากังวลใจของชายหนุ่ม นางพยายามคิดหาแผนการที่แทรกซึมเข้าไปยังกองทัพเผ่าเถื่อนเพื่อช่วยเหลือกองทัพเหนือให้ได้ชัยชนะ
“สิ่งแรกที่ท่านควรทำ คือวางกับดัก”
อ๋องหนุ่มมองหญิงสาวด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“กับดักงั้นหรือ?”
“ข้าคิดว่ากุนซือผู้นั้นอาจเปลี่ยนไปเป็นไส้ศึกให้แก่ศัตรูแล้ว”
แนวโน้มที่อีกฝ่ายจะมีชัยชนะนั้นย่อมเป็นไปได้มากถึงแปดในสิบส่วน หากไม่แปรพักตร์ยามนี้ ในภายภาคหน้าอาจถูกสังหารทิ้งก็เป็นได้ กุนซือผู้นั้นนับว่าฉลาดแต่ทว่ากลับมีไว้เพื่อเอาตัวรอดก็เท่านั้น
ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี!
“ท่านไม่อยากพิสูจน์หรือว่ากุนซือผู้นั้นกำลังทรยศกองทัพเหนืออยู่หรือไม่”
อ๋องหนุ่มพยักหน้า เขาแคลงใจมาพักใหญ่แต่เพราะอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉย เขาจึงยังไม่ลงมือทำสิ่งใดให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน อย่างไรเสียกุนซือก็ย่อมเป็นกุนซือ คนเจ้าแผนการเช่นนั้นย่อมไม่ถูกต้อนจนตรอกได้ง่าย!