ตอนที่ 5 สถานการณ์ที่ย่ำแย่
เปลือกตาเปิดขึ้นท่ามกลางความมืดที่มีแสงจากโคมไฟสลัว ลู่เหลียนดันตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนที่นางจะมองไปรอบๆด้วยความงุนงง นางจำได้คลับคล้ายว่านางล้มนอนลงที่พื้น
แล้วเหตุใดนางถึงตื่นขึ้นมาบนเตียง
คิดแล้วนางก็รู้สึกปวดหัวยิ่งนัก ระหว่างนั้นถานเอ๋อร์ได้เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหาร เมื่อกลิ่นหอมของน้ำแกงแตะจมูก เสียงท้องของนางก็ร้องดังขึ้นจนถานเอ๋อร์เองก็ได้ยิน
“คุณหนู ท่านนอนหลับไปเสียหลายชั่วยาม”
“นอนหลับหรือ?”
นางหาได้นอนหลับ แต่นางสลบอยู่ที่พื้นด้านล่างต่างหาก เหตุใดถานเอ๋อร์ถึงได้มีท่าทางปกติราวกับว่าไม่ตื่นตระหนกเลยสักนิด หญิงสาวคิดแล้วได้แต่สงสัย หากเป็นถานเอ๋อร์ที่พาร่างนางมานอนบนเตียง อย่างไรเสียเมื่อนางตื่นขึ้นก็ต้องถูกซักไซ้ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงแล้ว
น่าแปลกใจยิ่งนัก หากไม่ใช่ถานเอ๋อร์แล้วเป็นผู้ใดที่พานางขึ้นมานอนบนนี้
“มีอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู”
เห็นลู่เหลียนหน้านิ่วคิ้วขมวด ถานเอ๋อร์จึงได้เอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรหรอก”
นางรู้สึกถึงความผิดปกติ แต่กระนั้นก็ยังไม่แน่ใจนัก นางจึงไม่อยากให้ถานเอ๋อร์รับรู้ เพราะเกรงว่าจะทำให้หญิงสาวเป็นห่วงจนอยู่เฉยไม่ได้ ถานเอ๋อร์เป็นคนหุนหันพลันแล่น หากไร้ซึ่งวรยุทธบ่าวคนสนิทของนางคงไม่มีชีวิติยู่มาถึงจนบัดนี้
นางเข้าใจดีว่าถานเอ๋อร์ห่วงใยนางไม่น้อยกว่าอาถงผู้เป็นน้องชาย หากเป็นความเดือดร้อนของนางและอาถงแล้ว ถานเอ๋อร์ย่อมร้อนใจไปด้วย สิ่งนี้ทำให้นางอดนึกถึงเรื่องราวเก่าๆไม่ได้
เมื่อครั้งที่ถานเอ๋อร์และอาถงเข้ามาอยู่ที่จวน สองพี่น้องมักถูกบ่าวที่อยู่มาก่อนหาเรื่องเพื่อกลั่นแกล้ง แต่ทว่าถานเอ๋อร์ที่มีวรยุทธทั้งยังมีพละกำลังมากกว่า ทำให้บ่าวพวกนั้นไม่ค่อยกล้ารังแกนาง และหันไปกลั่นแกล้งอาถงที่มีร่างกายอ่อนแอลับหลังพี่สาวเขาแทน
อาถงเป็นเด็กดีและใสซื่อนัก เขามีลักษณะท่าทางคล้ายสตรีอยู่หลายส่วน ทำให้ถูกมองว่าเป็นพวกตัดแขนเสื้อ ซึ่งเรื่องนี้จริงเท็จเช่นไรนางหารู้ไม่ และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาถูกล้อเลียนอยู่เสมอ
ครั้งหนึ่งอาถงถูกแกล้งผลักตกน้ำจนล้มป่วย ถานเอ๋อร์โกรธแค้นจนใช้วรยุทธทำร้ายคนเหล่านั้นจนเกือบพิกลพิการ ร้อนถึงบิดานางต้องเรียกถานเอ๋อร์มาอบรมตักเตือน แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถห้ามได้ ถานเอ๋อร์ใจร้อนเช่นไรก็ยังใจร้อนเช่นนั้น
เรื่องนี้นางชินชาเสียแล้ว
แต่นับว่าโชคดีที่เมื่อเติบโตขึ้น ถานเอ๋อร์นั้นเริ่มมีสติและยับยั้งอารมณ์ได้ดีกว่าเดิม นางจึงเบาใจว่าบ่าวรับใช้สาวจะไม่ไล่ฆ่าทุกคนที่ทำร้ายนางและอาถง ยามนี้อาถงเองก็ใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ที่จวนสกุลหลี่ ฮูหยินคนใหม่ของบิดาหาใช่คนเลวร้าย ทั้งยังมีเมตตารับอาถงมาดูแลให้รับใช้ใกล้ชิด
อาถงเป็นคนว่านอนสอนง่าย ทั้งยังนุ่มนวลอ่อนโยน อยู่ใกล้ผู้ใดก็ย่อมเอ็นดู
รุ่งเช้าลู่เหลียนตื่นสายกว่าปกติ ยิ่งอายุครรภ์มากขึ้น นางก็ยิ่งรู้สึกคล้ายคนเกียจคร้านเข้าไปทุกที อาการที่นางต้องพบเจอสร้างความหงุดหงิดใจเหลือเกิน ทั้งปวดหลัง เหนื่อยง่าย อยากนอนตลอดเวลา ไหนจะหิวง่ายเสียจนต้องกินตลอดทั้งวันอีก
นางเอนหลังอยู่ที่ศาลากลางสวน ที่นี่มีลมพัดผ่านตลอดเวลาทำให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ในมือบางถือตำราเกี่ยวกับสมุนไพร ตำราเล่มนี้นางอ่านมานานหลายปี เปิดไปเปิดมาไม่รู้จักเบื่อจนสภาพกระดาษเริ่มเก่าลงไปทุกที หมึกที่เขียนไว้ก็เริ่มจางลง
“เจ้ามาหาข้าที”
บ่าวรับใช้ชายเดินผ่านมา ลู่เหลียนจึงเอ่ยเรียกเอาไว้
“นายหญิงมีสิ่งใดให้รับใช้หรือขอรับ”
“ไปหากระดาษและพู่กันให้ช้าที อย่าลืมหมึกและที่ฝนหมึกด้วย”
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ นางก็คัดลอกเนื้อหาในตำราด้วยการเขียนลงกระดาษแผ่นใหม่ ตำราเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือของอาจารย์นาง เป็นตำราที่มีเพียงเล่มเดียว ไม่อาจหาที่ไหนได้อีก แต่เมื่อสภาพมันใกล้ที่จะขาดเต็มทน นางจึงจำต้องคัดลอกใหม่
ส่วนเล่มเก่า นางจะเก็บไว้อย่างดี
“ลู่เหลียน ข้าตามหาเจ้าทั่วจวน”
เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้หญิงสาวต้องเงยหน้าขึ้นมอง ลู่เหลียนวางพู่กัน ก่อนย่อกายคำนับผู้สูงศักดิ์กว่าตามธรรมเนียม
“คารวะท่านอ๋อง”
“อย่ามากพิธีไปเลย ข้ากับเจ้าก็เปรียบดั่งสหาย”
อ๋องหนุ่มกล่าวก่อนนั่งลงไม่ไกลจากหญิงสาวนัก เขามองกระดาษและตำราเล่มเก่า ตำราเล่มนี้คุ้นตานัก นี่นางยังอ่านมันอยู่อีกหรือ
“ข้าคิดว่าเจ้าคงน่าจะจดจำเนื้อหาได้เป็นอย่างดี”
ดูจากสภาพตำราแล้วคงผ่านการถูกเปิดมานับครั้งไม่ถ้วน เช่นนั้นหากหยิงสาวอ่านซ้ำไปซ้ำมานานหลายปี มีหรือที่นางจะจดจำไม่ได้
ลู่เหลียนยกยิ้มบางก่อนกล่าวขึ้น
“ข้าจดจำได้ แต่กลัวว่าจะลืมจึงได้คัดขึ้นใหม่”
นางจดจำได้ก็จริงแต่ในอนาคตอาจลืมเลือนได้ หญิงสาวรินน้ำชาส่งให้ชายหนุ่มก่อนจะหยิบขวดยาพิษ ที่ถูกสกัดจากดอกไม้สีแดงมอบให้แก่เขา อ๋องหนุ่มรับมาดูก่อนทำท่าจะเปิดฝาขวดและถูกหญิงสาวห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ช้าก่อนท่านอ๋อง อย่าเพิ่งเปิด”
หญิงสาวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาก่อนยื่นให้แก่เขาเพื่อใช้ปิดจมูก นางไม่มั่นใจว่าเมื่อวานที่นางหน้ามืดจนสลบไปนั้นเป็นเพราะฤทธิ์ร้ายของเจ้าดอกไม้งามนี้หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นนางควรหาวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่ออดีตคู่หมั้น
“เจ้าเป็นห่วงข้างั้นหรือ”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นเพคะ หากท่านเป็นอะไรไปขณะที่อยู่ในจวนนี้ ตัวข้าคงจะเดือดร้อนไม่น้อย”
นางเย้าแหย่แต่ก็หาได้พูดเกินจริง อ๋องหนุ่มยิ้มบางก่อนจะเก็บขวดยาใส่สาบเสื้อ เขาคิดว่ายานี้คงมีประโยชน์ต่อกองทัพไม่น้อย ยามนี้เผ่าทางเหนือนั้นแข็งแกร่งและมากไปด้วยกำลังพล ฝั่งนั้นต้องการรุกรานแผ่นดินใหญ่ ทั้งยังบุกยึดเมืองเล็กได้หลายแห่งแล้ว
เขาจึงจำเป็นต้องใช้วิธีนี้เพื่อปราบคนเหล่านั้น
แม้จะดูไร้ศักดิ์ศรีเพราะไม่ใช่การต่อสู้ซึ่งหน้า แต่แผ่นดินกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้ามัวแต่ชักช้า ราษฎรย่อมต้องเดือดร้อนเพราะไฟสงครามที่ประชิดเมือง
หากคำนึงถึงชีวิตราษฎรเป็นหลัก ศักดิ์ศรีเหล่านั้นก็ควรโยนทิ้งไปเสียก่อน
“ยาพิษนี้ เพียงผสมในอาหารแค่หนึ่งหยด ก็ทำให้สิ้นใจได้ภายในพริบตา”
หญิงสาวรู้ว่าสถานการณ์ของอ๋องแปดนั้นไม่ค่อยดีนัก เพราะเขาไม่โอนอ่อนต่อผู้เป็นบิดา จึงทำให้เขาถูกส่งมาเพื่อคุมทัพทางเหนือ ทั้งที่การรบหาใช่สิ่งที่เขาปรารถนาและถนัดไม่ อ๋องหนุ่มเองก็เหมือนนาง รักความสงบ สนใจตำรายาและสมุนไพร ทำให้ยามนั้นทั้งสองได้ร่ำเรียนกับอาจารย์และใกล้ชิดกัน
ไทเฮาทรงเห็นว่านางและท่านอ๋องแปดมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน จึงได้หมั้นหมายนางหวังให้เป็นชายาในอนาคต อย่างไรเสียบิดานางนั้นก็เป็นถึงคนสนิทของฮ่องเต้ หากแต่งงานกับนาง อ๋องแปดก็จะมีฝักมีฝ่ายและอำนาจมากขึ้นหลายส่วนจากการเกี่ยวดองกับตระกูลราชครู
แต่นางและท่านอ๋อง หาได้คิดเกินเลยต่อกันไม่
ยามนั้นหัวใจนางมีเพียงจ้าวเยว่ฉิน ส่วนอ๋องแปดนางไม่รู้ว่าเขากำลังผูกสัมพันธ์กับผู้ใดอยู่หรือไม่ ต้องขอบคุณที่เขากล้าปฏิเสธสมรสพระราชทานจากไทเฮา ไม่เช่นนั้นป่านนี้นางคงได้เป็นพระชายาของเขาไปแล้ว
แต่นั่นคงไม่แย่เท่าการเป็นฮูหยินของคนหลอกลวงเช่นจ้าวเยว่ฉิน!
นางผิดเอง แต่นางก็ไม่อาจฝืนใจได้ นางรักและลุ่มหลงเขามาก มากเสียจนหูดับตาบอด กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อถูกทรยศหักหลัง
นางโง่เง่ายิ่งนัก!
อ๋องหนุ่มเห็นหญิงสาวมีสีหน้าเคร่งเครียดก็ชวนนางคุยเพื่อให้ผ่อนคลายลง เขาเล่าเรื่องราวในกองทัพให้นางฟัง ลู่เหลียนเองก็ฟังด้วยความสนใจจนลืมเลือนเรื่องทุกข์เมื่อครู่
“กุนซือกองทัพเหนือฉลาดหลักแหลม แต่ทว่าข้ากลับรู้สึกว่าเขานั้นไม่น่าวางใจ”
คนฉลาดที่หาใช่คนดีและซื่อสัตย์ ย่อมใช้ความฉลาดเพื่อเอาตัวรอด ยามนี้สถานการณ์กองทัพฝั่งเหนือไม่สู้ดีนัก ทั้งนักรบจากเผ่ายังมีอาวุธที่แข็งแกร่งกว่า ใหญ่โตกว่า เพียงฟาดฟันทีเดียวก็กวาดทหารทัพหลวงไปถึงสิบคน สิ่งนี้ทำให้เขาเกรงว่ากุนซือหนุ่มจะแปรพรรคและหันมาทรยศแผ่นดินตัวเอง
เพราะฉะนั้นเขาถึงได้แอบลักลอบมาหาลู่เหลียนเพียงลำพัง โดยไร้คนติดตาม