ลุงบดีกับตรัยไปถึงวัดเกือบเก้าโมงเช้า วัดแห่งนี้อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เกือบสองร้อยกิโลเมตร จากถนนใหญ่ต้องขับรถผ่านถนนดินลูกรังเข้าไปอีกร่วมห้าร้อยเมตรจึงถึงวัดทั้งคู่เข้าไปพบหลวงพ่อที่ศาลาการเปรียญถวายสังฆานเสร็จหลวงพ่อก็ให้ศีลให้พร สองพี่น้องเดินไปกรวดน้ำเหลือชายหนุ่มนั่งรออยู่ เขากวาดตาไปรอบ ๆอย่างเบื่อหน่ายนั่งมองคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งทุกคนเดินออกไปจากศาลาหมดแล้วเสียงของหลวงพ่อก็ดงขึ้น
“แล้วโยมล่ะ นั่งอยู่นี่จะให้อาตมาช่วยอะไร” เขาเงยหน้าขึ้นมองหลวงพ่อที่นั่งมองด้วยสีหน้าเปี่ยมเมตตาอยู่ตรงหน้านัยน์ตาคมเบิกกว้างเขาเหลียวมองไปรอบ ๆ ในศาลาแห่งนี้ไม่มีใครนอกจากเขาร่างโปร่งแสงประนมมือไหว้
“ทะ ท่านมองเห็นผม”
“ใช่ โยมมีเรื่องเดือดร้อนอะไรอยากจะให้ช่วยก็ว่ามาอาตมาจะช่วยเท่าที่จะช่วยได้” ปฏิภาณจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงพ่อฟัง ผู้ทรงศีลยิ้มน้อยๆท่าทางเยือกเย็นแบบนั้นช่างต่างจากวิญญาณที่แสนจะรุ่มร้อนอย่างเขาลิบลับ หลวงพ่อพูดให้เขาทำตามโดยเลิกคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ทั้งหมดทำจิตใจให้สงบปฏิภาณทำตามที่หลวงพ่อบอก นานเท่าไรไม่รู้ แต่สิ่งหนึ่งที่วิญญาณเขารู้สึกคือความนิ่ง จิตที่เคยกระวนกระวายกลับนิ่งลงพลังชีวิตดูจะมากขึ้นรู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างประหลาด
“รู้สึกดีใช่ไหม ต่อไปโยมต้องฝึกอย่างนี้ทุกวัน ถ้าวันไหนไปเห็นอะไรที่ทำให้จิตเราร้อนรนให้พิจารณาสิ่งนั้นที่เหตุและผลที่มาที่ไปและปลงเสีย” ลุงบดีเดินกลับเข้ามาอีกครั้งที่
“หลวงพ่อไม่ต้องให้พ่อหนุ่มอยู่เสียที่นี่หรือครับ”
“ไม่ต้องหรอก ขึ้นให้อยู่ที่นี่จิตใจก็มีแต่จะร้อนรุ่มอยากกลับไปดูทางบ้านอยู่เรื่อยอีกนานโยมคนนี้จะมีบางอย่างที่ต้องทำ อาตมาพูดได้แค่นี้” ปฏิภาณยกมือไหว้หลวงพ่อพร้อมกับลุงบดี แล้วทั้งคู่ก็ก้าวขึ้นรถมุ่งเข้าสู่กรุงเทพฯมีความสงสัยรุ่นอยู่เต็มหัวใจ...
“กลับมาแล้วหรือตุ๊ก” หญิงสาวหันไปมองร่างโปร่งที่นั่งอยู่ในห้องนอนของเธอ
“ค่ะ...คุณไปวัดกับลุงบดีมาเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ดี ท่านแนะนำผมหลายเรื่อง ตุ๊ก ผมขอโทษนะสำหรับเรื่องที่ผ่านๆ มาที่ผมพูดไม่เพราะกับคุณ” หญิงสาวหันไปมองหน้าและจ้องหน้าเขานิ่งนาน
“คุณพูดแปลกจัง”
“ไม่แปลกหรอก ผมเองก็เพิ่งมาได้คิดตอนที่หลวงพ่อสั่งสอนนี่เอง ผมมันคนบาปจริงๆ”
“ทุกอย่างมันเป็นกรรมถ้าเรารู้และปรับเปลี่ยนตัวเองได้ก็เป็นการดี เออ เรื่องน้องจ๋าน่ะค่ะ”
“ทำไมเหรอ ใครทำอะไรน้องจ๋า”
“ไม่มีใครทำอะไรน้องจ๋าหรอกค่ะ แต่ว่าคุณธีรพันธ์ยังหาพี่เลี้ยงใหม่ไม่ได้ แล้วคุณอุษณีย์จะมารับแกไปอยู่ด้วยน่ะค่ะ”
“ไม่ได้นะคุณตุ๊ก อุษณีย์ไว้ใจไม่ได้หรอก ผู้หญิงคนนี้เล่ห์เหลี่ยมรอบด้านอีกอย่างเขาไม่ใช่คนรักเด็กหรอกต่อหน้าเขาก็พูดอ่อนหวานลับหลังก็อีกอย่างแล้วคุณให้น้องจ๋าไปกับเขาหรือเปล่า”
“น้องจ๋าไม่ยอมไปค่ะ ร้องไห้ใหญ่เลยไม่ยอมไปท่าเดียว แกจะอยู่กับฉันน่ะค่ะ”
“ดี ดีมาก ขอบคุณมากครับตุ๊ก แสดงว่าน้องจ๋ารู้ว่าใครจริงใจหรือไม่จริงใจกับแก”
“ฉันเล่าเรื่องให้คุณพ่อฟัง ท่านก็บอกว่าให้เอาน้องจ๋ามาอยู่ด้วย คุณพ่อท่านเป็นคนรักเด็กค่ะ”
“ตุ๊ก ให้หลานผมมาอยู่ที่นี่ก่อนนะ นึกว่าเห็นแก่ผมตอนนี้ผมมีคุณคนเดียวเป็นที่พึ่ง ถ้าคุณสงสารก็ช่วยอบรมสั่งสอนแกให้เป็นคนดีทำหน้าที่นี้ไปก่อนจนกว่าผมจะกลับเป็นเหมือนเดิม ถ้าหลานผมอยู่กับคุณผมจะวางใจมาก จะได้มีกำลังใจไปนั่งสมาธิส่วนเรื่องใช้จ่ายถ้าผมหายเมื่อไหร่จะรีบคืนให้คุณทันที
“ถ้าขืนคุณพูดเรื่องเงินอีกฉันโกรธจริงๆ ด้วย เอาเถอะค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะรับแกมาที่บ้าน ส่วนคุณก็น่าจะไปด้วยเผื่อมีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นะคะพรุ่งนี้อาจมีข่าวดี”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ ถ้าเป็นจริงผมจะเลิกทำบาปทุกอย่าง ต่อไปผมจะทำบุญให้มากๆ จะได้ไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก”
“เป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ” พยาบาลสาวเอ่ยกับนายแพทย์วิวัฒน์ที่กำลังตรวจคนไข้ในห้องไอซียู
“ผมว่าวันนี้คุณปฏิภาณดีขึ้นมากนะ รูม่านตาตอบสนองแล้ว แขนขาก็ขยับได้บ้าง เราน่าจะลองเรียกคนไข้นะคุณช่วยผมหน่อยนะ”
“ได้ค่ะ”
“คุณปฏิภาณครับ ได้ยินหมอไหม ได้ยินไหมครับถ้าได้ยินยกมือขึ้นหน่อย”เงียบ ไม่มีเสียงตอบ ขณะที่วิญญาณของชายหนุ่มที่แอบลุ้นไปด้วยเขาตามตุลยามาที่โรงพยาบาลและเข้ามาดูร่างของตัวเองในห้องไอซียูนี้ใบหน้าคนเจ็บบวมน้อยลงกว่าครึ่ง
“คุณปฏิภาณลืมตาหน่อยครับ ได้ยินหมอไหม” ไม่มีเสียงตอบเช่นเคย ชายหนุ่มเองก็พยายามล้มตัวลงไปนอนทับร่างนั้นแต่ก็ทำไม่ได้สักทีเขากลับไปนั่งที่เก้าอี้อย่างท้อแท้เมื่อไม่ได้ผลทั้งหมดก็จะออกจากโรงพยาบาล แต่แล้วเสียงผู้ช่วยพยาบาลก็ดังขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นมือของผู้ป่วย
“เดี๋ยวค่ะคุณหมอ ดิฉันเห็นคนไข้ขยับมือ”
“อะไรนะคะ” หมอหนุ่มปราดเข้าไปดูคนไข้หนุ่มอีกครั้งด้วยความดีใจ เขาลองเรียกอีกครั้งสายตาคมจ้องหน้าซีดเซียวนั้นด้วยความหวัง การตอบสนองบางอย่างทำให้หมอตะโกนออกมา
“คนไข้ฟื้นแล้ว” สิ่งแรกที่เห็นก็คือเพดานสีขาวพร้อมบรรยากาศรอบกายที่ฉุนไปด้วยกลิ่นยาร่างสูงพลิกตัวส่งเสียงครางในลำคอ ภาพที่เห็นเลือนก่อนจะปรับให้ชัดขึ้นที่ละน้อย ๆ ที่นี่ที่ไหน เขาตายแล้วหรือ คนพวกนี้เป็นใคร
“คุณปฏิภาณได้ยินหมอไหมครับ ถ้าได้ยินก็พยักหน้าให้หมอหน่อย”คนไข้เปล่งเสียงคืออาในลำคอไม่สามารถพูดได้“บีบมือหมอก็ได้ครับถ้าคุณได้ยิน มองหมอสิครับหมอจะได้รู้ว่าคุณได้ยินและเข้าใจที่หมอพูด” ร่างสูงทำตามเขากะพริบตาสองสามครั้งก็เห็นภาพชัด เบื้องหน้าคือชายหนุ่มในชุดกาวน์พร้อมนางพยาบาล เขาพยายามขยับมือทั้งสองข้างแต่ทำได้ยากเหลือเกิน ลำคอเจ็บระบมเพราะท่อช่วยหายใจจะเปล่งเสียงก็ทำไม่ได้น้ำตารินออกมาจากหางตาเขาไอหลายครั้งหลังจากกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็รู้ว่าที่นี่คือโรงพยาบาล
“คุณเฝ้าคนไข้ไว้ก่อนนะ เดี๋ยวผมจะโทร.บอกหมอตุ๊ก เห็นโทร.มาถามเรื่องคุณปฏิภาณหลายครั้งแล้ว เธอต้องดีใจแน่ ๆ น้องจ๋าก็เหมือนกันคงดีใจมากที่อาของแกฟื้นแล้ว”คงมีเพียงร่างโปร่งแสงที่ยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงคนป่วยเขาเบิกตากว้างอย่างตกใจมองร่างของตัวเองซึ่งกำลังขยับแขนขาด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก เขาควรจะดีใจที่ได้ยินคำพูดคนไข้ฟื้นแล้ว แต่ปฏิภาณกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยบัดนี้ร่างที่เคยเป็นของเขาขยับไปมาโดยที่เจ้าของร่างยืนอึ้งอยู่ตรงนี้วิญญาณที่อยู่ในร่างนั้นเป็นใครเขาควรจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป
“เตรียมพร้อมหรือยังคะน้องจ๋า”
“พร้อมแล้วครับอาหมอ” ตุลยาทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเด็กน้อยมือบางลูบเส้นผม นุ่ม ๆ อย่างนึกเอ็นดู
“ก่อนไปสัญญากับอาหมอก่อนนะคะว่าน้องจ๋าจะต้องไม่ดื้ออาหมออยู่กับคุณตาแล้วก็แม่น้อยที่ทำอาหารให้พวกเราทาน ถ้าอาหมออยู่เวร น้องจ๋าต้องเชื่อฟังคุณตารู้ไหมคะ”
“สัญญาค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยชูนิ้วป้อมเป็นเชิงสัญญา
“งั้นเราไปกัน” วันนี้เป็นวันที่หญิงสาวจะพาอาจารีไปอยู่ที่บ้านด้วย