1
บทที่1
"หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวมีภาพรถยุโรปสุดหรูถูกชนยับเยินภาพเล็กในกรอบคือเจ้าของรถซึ่งเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อคมสัน เขาเป็นนักธุรกิจพันล้านชื่อดัง ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา “ปฏิภาณ ณรงค์ศิริวรรักษ์” แพทย์หญิงตุลยาที่เพิ่งจะปะทะคารมกับเขามาหมาด ๆ เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายที่เธอเคยด่าว่าเลวจะประสบเคราะห์กรรมเร็วขนาดนี้ หญิงสาวรีบสาวเท้ามาที่เก้าอี้ ฉวยหนังสือพิมพ์จากมืออุมาพรเพื่อนสาวมาอ่านรายละเอียดอีกครั้ง ในข่าวเขียนว่าเขาขับรถกลับจากเยี่ยมหลานสาวซึ่งป่วยอยู่ด้วยความเร็วสูงเมื่อถึงที่เกิดเหตุปรากฏว่ามีรถเบนซ์ที่เกิดอุบัติเหตุยางระเบิดพุ่งข้ามเกาะกลางถนนมาตัดหน้าเป็นผลให้รถสองคันประสานงากันอย่างจัง
“เขาจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้นะตึกน่าสงสารจังยังหนุ่มยังแน่นแท้ ๆ” อุมาพรเปรย
“คนอะไรพูดไม่รู้เรื่อง โดนแค่นี้ยังน้อยไป พรจำไม่ได้หรือว่าเขาค่าพวกเราว่าอะไรบ้าง สวยแต่ไร้สมองบ้างล่ะซื้อปริญญามาบ้างล่ะ” ใบหน้าสวยบูดบึงอย่างโกรธจัด แค่คิดถึงผู้ชายคนนั้นขึ้นมาทีไรหัวเธอก็หมุนติ้วด้วยความโกรธครั้งสุดท้ายที่เจอเขาเธอก็โดนอีกฝ่ายผรุสวาทไม่ยั้งแถมยังทำกิริยาจาบจ้วงแบบถึงเนื้อถึงตัวอีกยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหตอนนั้นเธอเผลอสาปแช่งเขาโดยไม่รู้ตัวอุมาพรมองเพื่อนสาวอย่างประหลาดใจตลอดสิบปีที่รู้จักกันมาเธอไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทโกรธใครเลยหญิงสาวเป็นคนใจดีมีเมตตาเรียนก็เก่งเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นเธอเป็นกุมารแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กใบหน้าหวานนัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตเรียวปากอิ่มสีชมพูร่างสูงโปร่งราวกับนางแบบในนิตยสารทำให้เธอเป็นหมอที่สวยที่สุดในโรงพยาบาลนี้หญิงสาวอ่านเนื้อข่าวอย่างรวดเร็ว อุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นเมื่อคืนร่างของผู้บาดเจ็บทั้งคู่ถูกนำส่งโรงพยาบาลซึ่งเป็นโรงพยาบาลเดียวกับที่เธอทำงานอยู่
“ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ” ตุลยาพึมพำไม่ใช่ว่าห่วงแค่รู้สึกผิดหากผู้ชายคนนั้นต้องมีอันเป็นไปเพราะคำที่เผลอพูดไปชั่ววูบของเธอ
**
ตุลยายังจำวันที่เขามาเยี่ยมหลานสาวนั้นได้เสมอตอนแรกเธอไม่ทราบว่าเป็นเขา พอเธอต้องการพบผู้ปกครองของเด็กหญิงอาจารีหรือน้องจำนั่นเองทำให้เธอทราบว่าเขาเป็นใคร
“ว่าไงคุณ มีอะไรกับผม” คำทักทายสำหรับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกออกจะดูคุกคามไปหน่อย แถมเธอคือหมอซึ่งรับหน้าที่ดูแลหลานสาวเขา
“เชิญนั่งค่ะ ดิฉันแพทย์หญิงตุลยา อยากคุยเรื่องหลานสาวของคุณ” เขาพยักหน้านั่งลงตรงข้ามกับหญิงสาว
“เชิญพูดมาได้ ผมมีเวลาไม่มาก”
“อย่างที่คุณทราบน้องจ๋ามีปัญหาเรื่องการเรียนแล้วก็เก็บตัว เข้ากับเพื่อนไม่ได้หลายครั้งที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวอย่างครั้งนี้ที่แกต้องนอนโรงพยาบาลก็เพราะทะเลาะกับเพื่อนในห้องเรียนสองคนต่างก็ผลักกันจนหลานคุณล้มหัวกระแทก
“แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่คุณจะถามด้วยคุณรู้ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้เกิดจากน้องจ๋า แต่เกิดจากยายเด็กสองคนนั่นต่างหากล่ะ”
“ฉันเข้าใจค่ะ แต่เท่าที่ทราบ เรื่องที่เด็กทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องปกตินัก ฉันอยากรู้ว่าตอนอยู่บ้านแกมีพฤติกรรมยังไงบ้างคะ มีอะไรกระทบจิตใจแกหรือเปล่า”
“เอ๊ะคุณหมอ คุณว่าหลานผมเป็นโรคจิตเหรอ หลานผมปกติทุกอย่าง ถ้าจะมีเด็กไม่ปกติก็เป็นยายเด็กสองคนนั่นแหละ”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ก่อนน้องจ๋า เป็นเด็กร่าเริงแจ่มใสกว่านี้จู่ๆ ก็มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป แสดงว่าต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างในฐานะหมอก็ต้องขอความร่วมมือกับผู้ปกครองด้วยค่ะ เพราะฉันย่อมสนิทกับแกน้อยกว่าคุณ”
“บอกไว้ก่อนนะ หลานผมไม่ใช่เด็กมีปัญหา ถึงพ่อแม่แกจะเสียไปแล้ว แต่ผมก็เลี้ยงดูแกเป็นอย่างดี”
“เลี้ยงดูอย่างดีหมายถึงยังไงบ้างล่ะคะ”หญิงสาวโพล่งออกมาเพราะรู้สึกว่าชายหนุ่มจะไม่เข้าใจประเด็นที่เธอพูดเลย
“ก็แกอยากได้อะไรผมก็หามาให้ทุกอย่างคุณคงรู้ว่าตระกูลของเรามีฐานะค่อนข้างดี พี่เลี้ยงที่ดูแลก็เป็นมือหนึ่งจากศูนย์เลี้ยงเด็ก เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วงว่าแกจะมีปัญหา”
“หมายความว่าคุณไม่ได้ดูแลแกเองหรือคะ”
“เอ๊ะคุณ ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปทำอย่างนั้น ธุรกิจผมตั้งมากมาย แต่ผมรับรองว่าคนที่ดูแลแกเป็นมือหนึ่งที่เดียว ค่าจ้างก็แพงไม่ใช่เล่น” หญิงสาวทำหน้านิ่งอดสงสารเด็กหญิงไม่ได้ที่ต้องเสียบิดามารดาไปตั้งแต่ยังเล็กทั้งยังต้องมาอยู่ในความดูแลของอาที่เอาแต่ใช้เงินแก้ปัญหาทุกอย่าง
“คุณคุยกับแกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่คะ”
“ก็ ประมาณสองอาทิตย์ที่แล้วมั้ง คุณถามทำไม”เขาพูดเสียงห้วน นับตั้งแต่เริ่มคุยกันมาเขาก็สังเกตเหตุแววตาของคุณหมอสาวสวยมองเขากึ่งตำหนิ
“ที่ต้องถามแบบนี้ เพราะฉันคิดว่าคุณยังไม่เข้าใจหลานของคุณ”
“คุณหมายความว่ายังไง” ร่างที่นั่งอยู่ผุดลุกขึ้นเต็มความสูง ใบหน้าทิ้งตึงก้าวยาว ๆ เข้ามาจนชิดโต๊ะ
“ใจเย็น ๆ ค่ะ ฉันแค่อยากให้คุณเข้าใจหลานสักนิดจากที่ฉันเข้าไปคุยกับแกเมื่อเช้าแกยังไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลย ฉันเลยต้องถามข้อมูลที่มีประโยชน์ในกรณีที่เด็กมีอาการแบบนี้เราต้องร่วมมือกันนะคะ แกต้องการความรักจากคุณ”
“ผมรักแกมากไม่ต่างจากลูกแท้ๆ"
“คุณกอดแกบ่อยแค่ไหน” คำถามนี้ทำให้ชายหนุ่มนิ่งงัน บางอย่างซึ่งดูง่ายในความรู้สึกแต่คนที่ชีวิตมีแต่ความฉาบฉวยกลับไม่เข้าใจ
“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย ผมรักแก ข้าวของทุกอย่างที่ผมหาซื้อให้มีซื้อให้มีราคาแพง ๆ ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเข้าไปกอดอะไรก็ได้”
“แต่เด็กอาจไม่ต้องการข้าวของราคาแพง ๆ ก็ได้ การที่น้องจำเพิ่งสูญเสียพ่อกับแม่ไป แกคงทำใจยอมรับไม่ได้คุณเองเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวกลับไม่ค่อยดูและอาใจใส่แกถึงมีพฤติกรรมแบบนี้”
“จะมากเกินไปแล้วนะ คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนผมมาโทษว่าแกเป็นอย่างนี้เพราะผม”
“ฉันไม่มีสิทธิ์หรอกค่ะ ฉันแค่เป็นห่วง เมื่อเช้าฉันเข้าไปเยี่ยมเห็นแกเอาแต่นั่งซึมฉันถึงต้องมาคุยกับคุณไงคะ”
“พอที่คุณหมอ ผมฟังคุณมามากแล้ว พูดตรงๆ ว่าคุณต้องการอะไรอยากได้เงินเพิ่มเหรอ ค่าล่วงเวลา ค่ายาเท่าไหร่บอกมาเลย ขอแต่เพียงรักษาหลานผมให้หาย แล้วต่อไปไม่ต้องเรียกผมมาฟังเรื่องไร้สาระแบบนี้อีกจบหรือยังผมจะได้กลับ” อารมณ์ของหญิงสาวเดือดปุด ๆ แต่พยายามสะกดกลั้นไว้ เธอพูดกับเขาอย่างใจเย็นที่สุด
“ฉันไม่ได้ต้องการเงินค่ะ แต่ขอความร่วมมือ คุณในฐานะญาติต้องช่วยกับทางทีมของเรา การรักษาถึงจะสำเร็จเราสองคนต้องพยายามแก้ปัญหาให้แกนะคะ”
“ความร่วมมือ” เขายิ้มนิด ๆ นัยน์ตาสีควันบุหรีดูวาวอย่างประหลาด จู่ๆ เขาก็ก้าวเข้ามาหาเธอพลางส่งยิ้มพราวโดยไม่ทันตั้งตัวมือใหญ่รั้งเอวบางเข้าหาตัวร่างคุณหมอสาวถลาเข้าสู่อ้อมกอดโดยง่าย ใบหน้านวลซีดเผือดเธอดิ้นพยายามสะบัดตัวหนี ทั้งทุบและหยิกต้นแขนชายหนุ่ม แต่อ้อมกอดนั้นกลับรัดแน่นขึ้นนัยน์ตาของหญิงสาวเบิกกว้างเมื่อใบหน้าคมสันโน้มต่ำลงมาประทับริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากเธออย่างเอาแต่ใจเมื่อเขาถอนจูบ ใบหน้านวลก็แดงก่ำฝ่ามือสะบัดใส่แก้มชายหนุ่มด้วยความโมโห เพลี้ยะ!!!! รองเท้าสูงกระทับลงบนหลังเท้าของชายหนุ่มอย่างแรงเพื่อให้หลุดจากพันธนาการเขานิ่วหน้าคลายวงแขนออก มือบางถูกริมฝีปากแรงๆ เพื่อลบรอยจูบ นึกรังเกียจและขยะแขยงผู้ชายตรงหน้าที่สุด
“ทำไมล่ะ นี่ไม่ใช่หรือความร่วมมือที่คุณต้องการ คุณจะใช้น้องจ๋ามาเป็นข้ออ้างเพื่อให้ได้ใกล้ชิดผมสินะ ผมรู้ทันหรอกน่า ไม่ต้องอ้างโน่นอ้างนี่ให้เสียเวลาหรอก” ใบหน้าหญิงสาวกลายเป็นสีแดงจัดด้วยความโกรธ อารมณ์เดือดปุดๆจนต้องอดกลั้นอยู่นานเพื่อจะไม่ชกหน้าผู้ชายตรงหน้า
“ทุเรศที่สุด ฉันไม่เคยคิดแบบนั้น ฉันไม่นึกเลยนะว่าคนอย่างคุณจะกล้าทำเรื่องทุเรศๆ แบบนี้ ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้ ฉันไม่อยากคุยกับคุณแล้ว” มือเรียวแตะข้างแก้มรู้สึกหน้าชาจากฝ่ามือเล็กๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มราวกับเยาะไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนตบเขาเลยสักคน แต่ผู้หญิงคนนี้กล้าดียังไงถึงทำกับเขาแบบนั้น
“ทำไมล่ะ ก็คุณขอความร่วมมือ ผมก็ทำแล้วไง คุณจะเอายังไงอีกหรือว่าอยากได้มากกว่านี้ก็ได้นะ บังเอิญเย็นนี้ผมไม่มีนัดซะด้วย”
“บัดซบที่สุด ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ฉันต้องการให้คุณช่วยดูแลหลานเอาใจใส่แกให้มากขึ้น ไม่ใช่ใช้เงินฟาดหัวคนอื่นอย่างที่คุณชอบทำ คุณไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าเด็ก ๆ รู้สึกยังไง ถ้าคุณยังเอาใช้เงินซื้อทุกอย่าง น้องจำจะอาการหนักกว่านี้ ถ้าแกปิดตัวเองแล้วล่ะก็ ถึงตอนนั้นคุณอยากจะแก้ก็คงช่วยไม่ได้”