“มาเร็วอาหมอ คุณตารออยู่ โอ๊ย...”
พูดไม่ทันจบประโยค เด็กน้อยก็กลิ้งหลุนๆลงไปตามขั้นบันใดโดยมีเสียงหญิงสาวร้องอย่างตกใจ
“น้องจ๋า!” อาจารีตกบันไดลงมาห้าขึ้นร่างนั้นหยุดนิ่งตรงชานพัก หญิงสาวพยายามเรียกแต่เด็กหญิงกลับไม่รู้สึกตัวที่ศีรษะมีแผลและเลือดซึมออกมาเธอจึงห้ามเลือดและให้บิดาช่วยขับรถไปส่งที่โรงพยาบาล ร่างเล็กที่มีเลือดเปรอะเปื้อนตามตัวถูกพาเข้าห้องฉุกเฉินทันที หญิงสาวร้องไห้ด้วยความตกใจเมื่อก่อนเธอเคยเห็นคนไข้ถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลก็มาแต่พอเจอกับตัวเองเธอก็ไม่สามารถคุมสติได้
“เกิดอะไรขึ้นหรือตุ๊ก น้องจ๋าเป็นอะไรอีก” หมอวิวัฒน์ซึ่งอยู่เวรห้องฉุกเฉินพอดีถูกตามตัวมาช่วยเด็กหญิง
“แกตกบันไดค่ะ พี่หมอช่วยด้วยนะ ตุ๊กนี่แย่จริงๆ มัวแต่คุยกับแกไม่ทันระวัง”
“ใจเย็นๆ สิ ไม่ต้องห่วงหรอกพี่จะดูให้เองไม่ต้องห่วงนะ”
“เชื่อมือหมอสิตุ๊ก พี่หมอจะดูแลน้องจ๋าเอง” อุมาพรปลอบใจเพื่อนสนิท ในขณะที่หมอวิวัฒน์ทำการดูแลเด็กหญิงอยู่ ครูต่อมาคุณหมอก็เดินออกมา
“เป็นยังไงบ้างคะพี่หมอ”
“ยังไม่ค่อยดี คงต้องให้ส่วนประกอบของเลือดจะขอดูผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองอีกครั้ง ผมว่าแกอาจต้องผ่าตัดสมอง ควรให้คุณปฏิภาณมาเซ็นยินยอมจะดีกว่า”
“ขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“ใช่อาการที่ตรวจเบื้องต้นรูม่านตาขยายไม่เท่ากันและจากโรคประจำตัวของแก พี่คิดว่าคงมีเลือดในสมอง ซึ่งการผ่าตัดคนไข้ในกรณีนี้มีความเสี่ยงสูงมาก ญาติต้องเป็นคนเซ็นเอง”
“ก็ได้ งั้นตุ๊กโทร.หาเขาเอง” หญิงสาวคอยโทรศัพท์อยู่นานกว่าจะมีเสียงตอบรับหลังจากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนรับโทรศัพท์ฟังคนรับโทรศัพท์คงจะเป็นลูกศิษย์วัดอาสาไปตามปฏิภาณให้มารับสาย
“ผมเอง มีอะไรหรือครับตุ๊ก”
“คุณโป้งหรือคะ คือว่าตอนนี้น้องจ๋าอยู่โรงพยาบาล”หญิงสาวเล่าเรื่องราวให้เขาฟังอีกคน ชายหนุ่มหน้าเผือดลงเรื่อยๆ มือเย็นเฉียบความรักความห่วงใยทำให้หัวใจเขาหนักอึ้ง ตุลยาคือญาติคนเดียวและเป็นหลานที่เขารักแต่ตอนนี้มัจจุราชจะเอาตัวแกไป
“รออยู่ที่นั่นนะตุ๊ก ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
“ใจเย็น ๆ นะคะคุณโป้ง อย่าขับรถเร็วนะคะมันอันตราย” เธอบอกไม่ทันจบเขาก็รีบวางสายไปก่อน เธอภาวนาให้เขาที่ใจร้อนขับรถให้เร็วน้อยกว่ารถไฟเหาะด้วยเถอะ
“คุณจะรีบไปไหนหรือ”วิโรจน์ซึ่งเดินตามเข้ามาเอ่ยถามเมื่อเห็นเขารีบหยิบกุญแจรอจากในกระเป๋าออกมา
“หลานผมตกบันได ผมต้องรีบเข้ากรุงเทพฯ
“แต่คุณยังนั่งสมาธิอยู่นะคุณปฏิภาณ จะไปแบบนี้ได้ไง”
“ผมไม่สนแล้ว หลานผมกำลังจะตายได้ยินไหมผมเหลือหลานอยู่คนเดียวแกคือทุกสิ่งทุกอย่างของผมถ้าผมจะกลับเข้าร่างไม่ได้เพราะแบบนี้ผมก็ยอม”วิโรจน์น่าสลด รับรู้ถึงความร้อนรนในน้ำเสียงนั้นเขาเป็นฝ่ายดึงกุญแจไปจากมือชายหนุ่ม
“เอามาให้ผมดีกว่า ผมจะไปกับคุณด้วย ขึ้นคุณขับรถไม่รู้ว่าจะถึงหรือเปล่า”
“คุณจะไปทำไม”
“ผมก็จะไปช่วยเซ็นชื่อให้หลานคุณผ่าตัดไง หรือคุณคิดว่านายวิโรจน์จะเป็นแทนได้คงตลกตายล่ะไปเถอะผมจะขับรถให้ ผมไม่ไว้ใจคุณ” วิโรจน์ที่อยู่ในร่างของปฏิภาณเอ่ยขึ้น เขาเพิ่งนึกได้ หลายวันที่ผ่านมาเขาเพิ่งจะรู้ว่าในชีวิตนี้เขายังมีเพื่อนอีกคน และคนนั้นก็คือวิโรจน์
“ขอบใจนะ ผมจะไม่ลืมบุญคุณเลย”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก และไม่ต้องมองผมซึ้ง ๆแบบนั้นด้วย” สองหนุ่มหัวเราะให้กันโดยไม่รู้ว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะมีเรื่องประหลาดรอเขาอยู่บนถนนสองเลนมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ
“เร็ว ๆ หน่อยไม่ได้หรือคุณ”
“ผมก็ขับเร็วมากแล้ว ใจเย็นหน่อยสิคุณ”
“กลัวไหม”
“กลัวสิ ผมยังมีห่วง” ปฏิภาณตอบตรงๆ
“ผมก็เหมือนกันแต่นึกๆดูแล้วทุกคนต่างก็มีเส้นทางของตัวเอง แต่ละคนย่อมมีกรรมของตัวเอง จริงไหม”ปฏิภาณพยักหน้า
“ใช่ ถ้าไม่มีผม น้องจ๋าก็ยังมีคุณตุ๊กแกเป็นเด็กน่ารักเรื่องเงินคงไม่ต้องห่วงเพราะสมบัติผมมีเยอะ ผมว่าคุณค่อย ๆ ขับไปดีกว่า อย่ารีบเลย" วิโรจน์พยักหน้า หันมามองเขาแว่บหนึ่งเห็นว่าสีหน้าของชายหนุ่มสงบขึ้นและตอนที่หันกลับมานั่นเองจู่ๆ ก็มีรถกระบะคันหนึ่งก็แล่นทะยานมาจากอีกฟากของถนน ไฟฟ้าจากรถส่องจ้าเข้าตา ตามด้วยเสียงเบรกยาวเหยียดก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดนิ่งลง คำพูดสุดท้ายของหลวงพ่อดังแว่วมา
“อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
“ป่านนี้คุณปฏิภาณยังมาไม่ถึงอีกหรือ”หมอวิวัฒน์เอ่ยขึ้น
“พี่หมอคะไม่ต้องรอแล้วล่ะค่ะรีบพาน้องจ๋าไปผ่าตัดเถอะ ตุ๊กจะรออยู่ข้างนอก”
“อย่าห่วงเลยตุ๊ก ผมจะทำอย่างเต็มที่ น้องจ๋าจะต้องไม่เป็นไร”
“ขอบคุณค่ะพี่หมอ” หญิงสาวมองตามร่างสูงที่เดินเข้าไปในห้อง แล้วหันไปสบตาบิดา ตรัยดึงลูกสาวมากอดเพื่อปลอบใจ ขณะนั้นเองมีเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นหญิงสาวกดรับสายใบหน้าซีดลงเรื่อยๆ ก่อนน้ำตาจะรินไหลด้วยความตกใจ
“มีอะไรหรือตุ๊ก ใครโทรมา”
“คุณปฏิภาณค่ะ รถที่คุณปฏิภาณกับคุณวิโรจน์นั่งมาถูกชนค่ะ" ใบหน้าหมอสาวซีดเซียวยิ่งกว่าเก่าหลายเท่าตัว เธอต้องดูแลคนเจ็บถึงสามคน คนแรกคือน้องจ๋า ซึ่งหลังจากได้รับการผ่าตัดเอาเลือดที่คั่งในสมองออกอาการก็ดีขึ้นตามลำดับส่วนอีกสองคนมาถูกชนค่ะ” ใบหน้าหมอสาวซีดเซียวยิ่งกว่าเก่าหลายเท่าตัวจากได้รับการผ่าตัดเอาเลือดที่คั่งในสมองออกอาการก็ดีขึ้นตามลำดับส่วนอีกสองคน คือปฏิภาณกับวิโรจน์ซึ่งประสบอุบัติเหตุไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นักทั้งคู่ถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลตามคำขอของวิโรจน์ก่อนที่เขาจะหมดสติไปแต่ตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่ฟื้น หญิงสาวให้ทั้งคู่อยู่ห้องเดียวกันเพื่อที่จะได้ดูแลได้อย่างใกล้ชิด ตุลยาไม่ได้กลับบ้านเธอนอนที่โรงพยาบาลและดูแลคนป่วยทั้งสองเป็นอย่างดี บางครั้งก็แวะเวียนไปที่ห้องของเด็กหญิงอาจารีบ้างเธอสบายใจที่น้องจ๋าดีขึ้นจึงกลับมาเฝ้าสองหนุ่มอีกครั้ง
“หมอ....ตึก...” เสียงเรียกดังขึ้น เขาสองคนเริ่มรู้สึกตัว เมื่อเห็นร่างคุ้นตาก็ร้องเรียก
“พื้นแล้วหรือคะ”
“นี่ผมอยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้น” ดุลยาเดินไปที่เตียงของวิโรจน์ เธอพยักหน้าและยิ้มให้
“อยู่โรงพยาบาลค่ะ คุณสองคนประสบอุบัติเหตุตอนนี้ปลอดภัยแล้ว ส่วนน้องจ๋าก็ปลอดภัยแล้วเหมือนกัน” ทั้งคู่นิ่งมองหน้ากันสลับไปมาก่อนจะยิ้มสดใส พวกเข่าระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อม ๆ กันราวกับนัดไว้
“ผมขอกระจก” หญิงสาวยิ้มและรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาชอบส่องกระจกกัน เมื่อสองหนุ่มได้อยู่กันตามลำพังปฏิภาณก็บอกวิโรจน์ว่า
“ผมอยากจะขอความร่วมมือกับคุณสักหน่อยนะ”
“เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“ผมขอปิดเรื่องนี้ไว้ก่อนอย่าเพิ่งบอกหมอตุ๊กว่าอยู่ในร่างของตัวเองได้แล้ว”
“นี่คุณจะลองใจอะไรเธออีกล่ะ เท่าที่ผ่านมาผมว่าเธอรักคุณเหมือนกันนะไม่งั้นไม่อาสาดูแลหลานสาวแล้วยังมานั่งเฝ้าคุณอย่างนี้หรอก”
“ผมรู้ ผมเองก็รักเธอเหมือนกัน เถอะน่ะผมก็แค่อยากพิสูจน์เท่านั้นเอง”
“เอาเถอะคุณจะทำอะไรก็ทำไป ผมจะกลับไปทำงานต่อล่ะ"
“ขอบคุณนะที่ให้ความร่วมมือ" เขายิ้มกับเพื่อนใหม่ที่ร่วมชะตากรรมมาด้วยกัน น้องจ๋ากลับไปอยู่กับอาหนุ่มแล้วทำให้บ้านของตุลยาเงียบไปถนัดเพราะไม่มีเสียงแจ้วๆ ของเด็กหญิงจอมซนนั้นเองส่วนปฏิภาณนั้นเขาเข้าไปสะสานงานในบริษัทมีหลายอย่างที่เขาต้องสะสางให้เรียบร้อย ตลอดเวลาสองเดือนเขาต้องทำงานหนักเอาการธีรพันธ์ช่วยเขาได้มากทีเดียวระหว่างที่เขาป่วย แต่เมื่ออุษณีย์มาหาเขาที่บริษัทหล่อนแกล้งบีบน้ำตาเสมือนว่าดีใจที่เขาหายเสียทีจำประจำเลยค่ะ”
“ณีย์นะคะเป็นห่วงคุณแทบแย่ นี่นะคะก็ไปดูแลน้อง
“อุษณีย์ ผมว่าคุณเลิกเล่นละครได้แล้ว อย่าต้องให้ผมพูดอะไรให้มากเลยนะ ว่าคุณทำอะไรไว้บ้างระหว่างที่ผมนอนอยู่โรงพยาบาล เชิญคุณออกไปจากบริษัทผมได้แล้ว