"พ่อช้าง อีกไม่กี่วันเรือนพ่อช้างจักไปทำบุญวันเทศน์หรือไม่จ๊ะ"
หลังจากวันทองคนงามแวะเอาของมาให้ขุนช้าง เธอก็ถามถึงเรื่องวันทำบุญใหญ่ที่มักจะจัดขึ้นในทุกๆปี แน่นอนว่าเดิมทีเธอเป็นคนที่ชอบทำบุญอยู่แล้ว แต่กับขุนช้างที่ไม่ค่อยจะได้เข้าวัดเข้าวาเท่าไหร่ เธอก็อยากจะถามให้แน่ใจสักหน่อย
"เจ้าแม่บอกให้ไป ข้าก็คงต้องไปล่ะจ่ะแม่พิม"
ขุนช้างตอบกลับเสียงเรียบ พิมพิลาไลยที่ได้คำตอบจึงชวนขุนช้างไปใส่บาตรด้วยกัน แน่นอนว่าขุนช้างคนนี้ไม่ได้คิดจะปฏิเสธ ในวันงานทั้งคู่จึงได้นัดแนะกันเสร็จสรรพเรียบร้อย
งานวัดงานเทศกาลสำหรับยุคสมัยนี้ถือว่าเป็นงานสำคัญ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เหล่าผู้คนที่ไม่ค่อยได้พบหน้ากันมาพบปะพูดคุยกันได้
ในยุคที่ไม่มีมือถือหรืออินเทอร์เน็ต วัดจึงเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ ที่ผู้คนหลายๆประเภทจะมาอยู่รวมตัวกันมากที่สุด แล้วมีหรอที่หนุ่มหล่อสาวงามจะพลาดอีเว้นนี้
แม้แต่วันทองคนงามยังหาจัดแจงชุดสวยๆมาใส่ ทั้งยังเผื่อแผ่มาถึงขุนช้างอย่างเขาอีกต่างหาก แน่นอนว่าเรื่องการจัดแจงชุดเสื้อผ้าแฟชั่นจะต้องตกมาอยู่ในมือเขาอยู่แล้ว เพราะชาติก่อนก็เป็นถึงนายแบบมีหรือเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมจะปล่อยปะละเลยได้
ในวันเทศน์มหาชาตินี้ ขุนช้างจึงเป็นอีกหนึ่งหนุ่มหล่อที่น่าจับตามอง เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็จะมีแต่สาวหันเหลียวคอเคล็ด แม่ย่าแม่ยายบ้านนู้นบ้านนี้เข้ามาช่วยแนะนำลูกสาวให้ไม่ขาดสาย
อีกทั้งวันทำบุญใหญ่ในวันนี้ดูเหมือนท้องฟ้าจะเป็นใจไม่น้อย เพราะช่วงเช้าอากาศจัดว่าไม่ได้ร้อนหรือครึ้มเมฆครึ้มฝน อาจจะเกิดจากที่แต่ละบ้านต่างส่งลูกสาวตัวเองมาปักตะไคร้ เพื่อไล่ฝนไปในวันสำคัญแบบนี้
"ตายแล้วนี่พ่อช้างเองหรือ เปลี่ยนไปเยอะเลยนะพ่อ"
ขุนช้างในวัย16ปีมีร่างกายสูงโปร่ง อีกทั้งจากที่เคยอ้วนลงพุงเป็นหมูก็กลับมีหุ่นที่ดี ทั้งยังมีใบหน้าหล่อเหลาอีกต่างหาก จากที่สังเกตุดูเหล่าชายหนุ่มหลายๆคน ขุนช้างเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ตัวสูงโดดจากคนอื่นมาก
ในปัจจุบันนี้ถ้าจะให้เดาความสูงคร่าวๆจากสายตา เขาก็คงจะสูงราวๆ175เซนได้ แน่นอนว่าถ้าหากโตกว่านี้เขาก็จะสูงได้อีก นี่เองก็เป็นผลจากการดูแลตัวเองอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่องของเขานั่นเอง
"พ่อช้าง ถ้ามันหนักพ่อให้ข้าช่วยยกก็ได้หนา"
พิมพิลาไลยว่าพลางยื่นมือไปช่วยประคองของใส่บาตรในมือขุนช้าง ทางชายหนุ่มที่ไม่ได้รู้สึกหนักหนาอะไรกับของที่อยู่ในมือจึงส่ายหน้าปฏิเสธ
"แค่นี้เองจ่ะแม่พิม ข้าถือได้ๆ"
สาวเจ้าที่ได้รับคำตอบแบบนั้นก็ได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนที่ไม่นานพระหลายรูปจะค่อยๆเดินเรียงแถวกันมาเพื่อบิณฑบาตให้พร
"พ่อช้างๆ พ่อว่าเณรรูปนั้นหน้าตาคุ้นๆหรือไม่"
ขุนช้างที่กำลังใส่บาตอยู่เมื่อโดนสาวข้างกายสะกิดเรียกก็ถึงกับหันมองตาม ก่อนที่เจ้าตัวจะสบเห็นใบหน้าหล่อเหลาของชายผู้หนึ่งเข้าอย่างจัง
โห หล่อขนาดนี้ ทำผู้หญิงใจบาปไปแล้วกี่คนวะ
ความคิดบางอย่างถึงกับผุดขึ้นมาในหัวเมื่อเห็นว่าเณรรูปหนึ่งที่เดินบิณฑบาตกับคนอื่นๆมีออร่าบางอย่างที่ต่างออกไป
ทั้งใบหน้าหล่อเหลาและรังสีทรงอำนาจ คงจะเดาได้ไม่ยากเลยว่าชายตรงหน้าคนนี้คือใคร
แม้เหมันต์จะห่างหายจากการเป็นนักเรียนไปแล้วหลายสิบปี แต่กับเรื่องบางเรื่องของวรรณคดีเขาก็ยังคงพอจำได้คร่าวๆอยู่
เณรหล่อรูปนั้นคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากพ่อพระเอกสุดหล่ออย่างขุนแผน ซึ่งในไทม์ไลน์เรื่องนี้เองวันเทศน์นี่แหละคือวันที่ตัวเอกทั้ง3จะได้อยู่พร้อมหน้ากันหลังจากขุนแผนหนีไปเมืองกาญ
อันที่จริงเขาก็พอรู้อยู่หรอกว่าจะได้มาเจอกันในเทศกาลนี้ แต่ที่ไม่รู้คือไม่รู้ว่าปีไหน ยังไงซะงานนี้ก็จัดขึ้นทุกปี ถ้าอยากรู้ไทม์ไลน์จริงๆว่ามันเดินไปถึงไหนแล้วก็คงต้องมีแต่รอกับรอ
ทางด้านขุนแผนหรือที่ตอนนี้มีชื่อเดิมว่าพลายแก้วเดินไปตามทางเรื่อยๆอย่างสงบเสงี่ยม รับของให้พรเหล่าญาติโยมแต่ละคนไปเรื่อยๆจนกระทั่งเขาเองก็ไปสะดุดตากับใครคนหนึ่งเข้า
แน่นอนว่านั่นคือวันทองคนงามประจำเมืองสุพรรณ ด้วยความงามของเจ้าตัวจึงทำให้สายตาคู่คมแทบจะละไปไหนไม่ได้
ขุนช้างที่เห็นว่าพ่อพระเอกสุดหล่อเริ่มจะสนใจแม่คนงามของเขาแล้วก็ถึงกับขมวดคิ้ว เดิมทีพระนางจะได้มารักกันก็ตอนอีเว้นวันนี้แหละ ทว่าปัจจุบันดูเหมือนจะมีสิ่งนึงที่ต่างออกไป คือวันทองคนงามดูจะไม่สนใจขุนแผนเลยสักนิด
ลาหลังการบิณฑบาตไป พลายแก้วก็เดินไปหาพระพี่เลี้ยงของตัวเองก่อนจะถามเรื่องสาวงามที่ได้ประสบพบเจอในวันนี้จนได้ความ
"นั่นน่ะหรือ นางชื่อพิมพิลาไลยลูกสาวนางศรีประจัน เอ็งจะสนใจก็ไม่แปลก นั่นน่ะคนงามเมืองสุพรรณเลย"
"เช่นนั้นหรือ"
"เอ้อ..แต่ว่าๆ ของดีเมืองสุพรรณมิได้มีเพียงเท่านี้ดอกหนา เอ็งดูนั่นๆ"
พระพี่เลี้ยงว่าพลางชี้มือไปทางขุนช้างที่นั่งพับเพียบโดยที่ข้างกายมีคนใช้คอยพัดวีให้คลายความร้อน
ใบหน้าเนียนละเอียดมีเหงื่อเม็ดใสผุดตามกรอบหน้า ดวงตาคู่สวยเองก็หรี่ลงจากความร้อนแสดงให้เห็นว่าตอนนี้เจ้าตัวแทบจะทนไม่ไหวกับแดดที่ร้อนเกินคาดเมื่อพ้นจากช่วงเช้าที่อากาศดี
ขุนแผนถึงกับนิ่งงันเมื่อเห็นคนผู้นั้นในม่านสายตา เมื่อครู่นี้คงจะเป็นเพราะเขามัวแต่มองพิมพิลาไลย จึงไม่สังเกตเห็นคนผู้นี้สินะ
"โอ้ยๆ ถกขากางเกงอีกแล้ว จะถกขึ้นไปถึงไหนกันพ่อคุ๊ณ!"
หนึ่งในนิสัยติดตัวของขุนช้างที่ทุกคนรู้แต่เจ้าตัวไม่รู้ คือเจ้าตัวชอบถกโจงกระเบนของตัวเองขึ้นจนช่วงเรียวขาสวยกระแทกเข้าสายตา ยิ่งดึงขึ้นยิ่งยิ่งเห็นไปถึงไหนต่อไหน โดนเฉพาะช่วงขาขาวๆที่ถูกบำรุงมาอย่างดี
นิสัยนี้เองดูท่าว่าขุนช้างมักจะทำไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อสัมผัสได้ถึงอากาศร้อน แน่นอนว่าด้วยความที่รายนั้นเป็นผู้ชายเรื่องนี้จึงไม่มีใครอยากจะทักให้ตัวเองดูเป็นคนไม่ดีเท่าไหร่นัก
พลายแก้วมองคนที่ว่าอย่างนึกฉงนใจ อันที่จริงเขาเองก็อยู่เมืองสุพรรณมาหลายปีเหตุใดจึงไม่เห็นจะคุ้นหน้าคุ้นตาคนผู้นี้เลยสักนิด
"เขาคือใครงั้นหรือ"
เมื่อพลายแก้วถาม พระพี่เลี้ยงจึงค่อยๆขยับเข้ามากระซิบใกล้ๆ
"นั่นน่ะขุนช้าง เศรษฐีเมืองสุพรรณลูกนางเทพทอง"
คำตอบนี้ทำให้พลายแก้วเบิกตากว้างพลางถอยหลังออกมามองหน้าพระพี่เลี้ยงอย่างตั้งคำถาม พระพี่เลี้ยงที่เห็นแบบนั้นเลยอธิบายเพิ่ม
"เมื่อก่อนพ่อช้างแกเป็นคนอ้วนหัวล้านนั่นแหละ แต่เห็นว่าแกคุมอาหารกับลดน้ำหนักมาตลอด แล้วก็ไปซื้อยาปลูกผมจากพวกแขก สภาพตอนนี้เลยดูดีขึ้นจากแต่ก่อน"
"จริงแน่หนาขอรับ นั่นช้างแน่หรือ"
"เออ ข้าไม่หลอกเอ็งดอก"
พระพี่เลี้ยงยืนยันเสียงแข็ง พลายแก้วจึงหันกลับไปจ้องมองร่างของคนผู้นั้นต่ออย่างพินิจ
เดิมทีในความทรงจำของเขาขุนช้างคือชายอ้วนร่างใหญ่หัวล้าน ทว่าคนตรงหน้าของเขาคือบุรุษใบหน้างดงาม ที่มีเรือนร่างหน้ามองไปเสียทุกส่วน
ดูเหมือนว่าดวงตาสีรัตติกาลคู่นี้จะจ้องมองอีกคนมากเกินไปสักนิด ผู้ที่ถูกจ้องจนร่างแทบทะลุจึงได้หันมาวาดยิ้มบางให้อย่างเป็นมิตร
ดวงตาสีนิลมืดสนิทของขุนช้างสบกับดวงตาสีรัตติกาลเจ้าของใบหน้าหล่อเหลา ทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งค้างไปหลายวินาที ก่อนที่ขุนช้างจะลาพวกแม่ๆเพื่อไปหาผู้ที่ขึ้นชื่อว่าสหายเก่าอย่างพลายแก้ว
ร่างโปร่งค่อยๆย่างกลายเข้าหาคนตัวสูงกว่าเรื่อยๆ ทางพระพี่เลี้ยงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวจึงเกิดอาการล่กขึ้น
"นี่เอ็งจ้องเขามากไปหรือเขาจึงตรงมาหาเช่นนี้ เอาอย่างไรดี เกิดพ่อช้างไม่พอใจขึ้นมาเราแย่แน่"
"อย่ากลัวไปเลย เขาไม่ทำอันใดดอก"
พอว่าจบพลายแก้วก็เดินตามทางไปหาอีกคนที่ย่างเท้าเข้ามาหา และพอทั้งคู่อยู่ในรัศมีที่คุยกันได้แล้วขุนช้างจึงทักทายอีกคนขึ้นมาก่อน
"มิได้พบกันเสียนาน มองข้าเช่นนี้แสดงว่าท่านจำข้าได้ใช่หรือไม่"
เนื่องจากเณรแก้วยังบวชอยู่สรรพนามหลายๆอย่างที่สหายพูดกันจึงต้องปรับเปลี่ยน ในยุคสมัยนี้เรื่องพระพุทธศาสนามีหลายส่วนที่ต่างจากสมัยเดิม หนึ่งเลยคือความไม่เคร่งครัดของพระสงฆ์ที่ไม่จำเป็นต้องสงบนิ่งทุกลมหายใจหรือตึงเครียดจนมากเกินไป
"คราแรกก็จำไม่ได้ จนกระทั่งพระพี่เลี้ยงบอก เอ็งเปลี่ยนไปมากเลยหนา"
"แต่ท่านดูไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ ยังคงรูปงามเช่นเดิม"
ถึงจะไม่เคยเห็นพลายแก้วตอนยังเด็ก แต่ก็พอเดาได้ว่าพ่อพระเอกคนนี้คงจะหล่อเหลาเอาการ
อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดจะเสวนากับพ่อพระเอกคนนี้สักเท่าไหร่ แต่เมื่อครู่เขาเห็นว่าพลายแก้วจ้องพิมพิลาไลยคนสวยตาเป็นมัน จึงคิดจะมาสกัดดาวรุ่งไว้ซะก่อน
ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้ที่พลายแก้วมองก็คือขุนช้างแท้ๆ
ตอนนี้เขากับวันทองคนงามสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว ถ้าหากเจ้าหน้าหล่อคนนี้คิดจะมาเกี้ยวพาน้องสาวเขาล่ะก็ คงจะต้องผ่านพี่ชายอย่างเขาไปซะก่อน
"เข้าไปคุยข้างในเถิด ตรงนี้แดดร้อน"
พลายแก้วที่เห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มหน้าแดงระเรื่อจากอากาศร้อนก็ชักชวนไปคุยเรื่องความหลังถามไถ่สารทุกข์สุกดิบต่อในร่ม ทางขุนช้างเองก็พยักหน้ารับโดยง่าย
พอเข้าที่ร่ม ขุนช้างก็เหมือนได้ปล่อยผีในใจไปกับเงา ความร้อนของแดดประเทศไทยไม่เคยปราณีใคร รวมถึงเขาด้วย
"ไปอยู่เมืองกาญเป็นอย่างไรบ้าง"
ขุนช้างเป็นคนแรกที่เปิดประเด็นถาม พลายแก้วจึงได้ตอบกลับสบายๆตามประสาเพื่อน
"ค่อนข้างลำบาก แต่สุดท้ายก็ตั้งตัวขึ้นมาได้ แล้วเอ็งล่ะเป็นอย่างไรบ้าง"
"มิต้องกังวลเรื่องของข้าดอก กินอิ่มนอนหลับเช่นเดิม มีแต่เอ็งนี่แหละที่น่าห่วง ยังไงเสียขาดเหลืออย่างไรก็บอกข้าได้"
เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลไม่ได้สนใจประโยคสุดท้ายสักเท่าไหร่นัก ที่เขาสนใจจริงๆคงจะไม่พ้นประโยคที่ว่าคนตรงหน้าเป็นห่วงเขานั่นแหละ
ดูท่าว่าขุนช้างจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกมา อันที่จริงถ้าเป็นโลกเก่าของเจ้าตัวการจะบอกว่าเป็นห่วงใครมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กับยุคนี้มันอาจจะดูพิเศษขึ้นมาสักหน่อย
"เณรแก้วไม่ร้อนหรือ ขนาดข้ายังรู้สึกอึดอัดเช่นนี้ ให้ข้าเอาคนใช้ไว้พัดวีให้เอ็งด้วยดีหรือไม่"
ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวก็ปลดกระดุมเม็ดบนออกจนช่วงอกขาวเนียนต้องแสงเด่นชัดในม่านสายตา
นี่นอกจากจะชอบถกโจงกระเบนแล้ว คนผู้นี้จะยังมีนิสัยชอบปลดกระดุมอีกหรือ แต่จะว่าไปขุนช้างก็เป็นบุรุษเหตุใดจึงต้องคิดมาเรื่องเช่นนี้ด้วย
แต่จะไม่คิดก็ไม่ได้เสียด้วย เพราะเจ้าตัวเล่นขาวเนียนไปเสียทุกส่วนเช่นนี้
แล้วผู้ทรงศีลอย่างข้า ควรจะเอาลูกตาไปวางไว้ตรงไหนดีล่ะ?
หน้าไงคะ มองหน้าไงคะพี่!
พี่มองอะไรขาอ่อนลูกสาวเราล่ะ!