“ทำไมไม่บอกคุณราเชนทร์ไปละคะ” มือเรียวค่อยๆวางหนังสือลง สายตาเป็นกังวลมองใบหน้าสามีที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงนุ่ม เพื่อรอฟังเสียงกังวานหวานใส อ่านหนังสือธรรมะให้ฟัง
ราชิตขมวดคิ้วกระดกศีรษะขึ้นเพื่อมองใบหน้าหวานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงให้ถนัดตา
“รู้หรือ ว่าฉันจะคุยอะไรกับลูกชาย” น้ำเสียงทุ้มถามทีเล่นที่จริง ปองรักยิ้มบางๆตอบกลับ
“ค่ะ ในเมื่อคุณราเชนทร์แสดงออกเสียอย่างนั้น...” เธอบอกอย่างมั่นใจและยิ่งได้ยินเสียงเอะอะตึงตัง ก่อนหน้า ที่เธอเผอิญเห็นทางหน้าต่าง และไม่คิดบอกเล่าคนเป็นสามี ให้รู้สึกลำบากใจอีก
“รักว่า สมควรบอกคุณราเชนทร์ไปนะคะ”
เธอยืนยันด้วยมั่นใจอีกครั้ง ว่าไม่มีเรื่องอะไรอื่น นอกจากเรื่องของเธอสองพี่น้อง แค่เมื่อเห็นสีหน้าเผือดสีของสามีรุ่นพ่อ กลับขึ้นมาบนห้องนอน เธอก็ยิ่งมั่นใจ ว่าผู้ชายหน้าตาดี ดีกรีนักเรียนนอก ออกอาการพาลพาโลเหมือนเด็กเก็บกด...
“ปล่อยให้มันคิดไปอย่างนั้นแหละ” น้ำเสียงพล่าเอ่ยอย่างน้อยใจลูกชาย “ขอโทษหนูรักด้วยนะ ที่ดึงเธอสองคนพี่น้องมายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอบอกสีหน้าไม่ได้หวั่นวิตก
“ฉันเลือกคนไม่ผิด” น้ำเสียงแผ่วแต่เต็มไปด้วยความจริงจังเอ่ยบอก ก่อนค่อยๆขยับลุกขึ้นนั่งใกล้ๆร่างบาง
ปองรักยิ้มตอบประโยคนั้น แล้วเอ่ยบอก จากใจจริง
“รักต้องขอบคุณ ที่คุณราชิตเมตตา เราสองคนพี่น้องมากกว่าค่ะ”
คำพูดของปองรักเรียกร้อยยิ้มของคนสูงวัยได้เป็นอย่างดี
“เราต่างเป็นหนี้ต่อกันสินะ”
“ไม่ค่ะ รักต่างหาก ที่เป็นหนี้คุณราชิต”
“เธอน่ารักเสมอ” ราชิตอดไม่ได้ ที่จะชมผู้หญิงคนหนึ่ง โดยมืออวบอูมลูบไล้ไปบนผมนุ่มสลวยอย่างเอ็นดู
เขาไม่ได้หลง หรือคลั่งรักเด็กสาวคราวลูก หรืออยากเป็นโคแก่ริกินหญ้าอ่อนแต่อย่างใด แต่เพราะเขาปักใจเชื่อในความมีน้ำใจและไม่เห็นแก่ตัวของสาวคราวลูก โดยเหตุการณ์ร้ายครานั้น ชักนำให้เขามาเจอกัน หากไม่มีหล่อนวันนั้น และหากไม่มีเขาวันนี้ อนาคตของเขาทั้งคู่จะเป็นเช่นไรต่อไป...
ความรู้สึกทั้งหมดที่เขามี จึงกลายเป็นความรักที่บริสุทธิ์ แค่ได้อยู่ใกล้ดูแลกันเท่านั้น
“กินยาแล้วนอนพักสักหน่อยนะคะ” เธอตัดบท เมื่อเริ่มรู้สึกว่า อีกฝ่ายเริ่มจริงจังมากขึ้น โดยสีหน้าจริงจังนั้น เริ่มเป็นกังวล ซึ่งเธอเป็นห่วงสุขภาพเขาเป็นที่สุดและอีกฝ่ายก็ทำตามอย่างว่าง่าย
ปองรักมองชายสูงวัยที่หลับไปแล้วด้วยฤทธิ์ยา รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นบนไปหน้า มือเรียวบางขยับผ้าห่มผืนหนา คลุมไว้แค่อก แล้วเดินออกจากห้องไป
“คุณท่านหลับแล้วหรือค่ะ”
ใจปองถามพี่สาวเมื่อเธอเดินเข้ามาในตัวตึก และเป็นจังหวะที่อีกฝ่ายเดินลงมาเช่นกัน
ปองรักมองหน้าน้องสาว แล้วเอ่ยขึ้น “หลับไปแล้ว... แล้วนี้หายไปไหนมา” คำถามของพี่สาวทำให้สาวสวยไม่ยอมใคร เลิกคิ้วมองเหมือนต้องการย้ำถามว่า... ‘อะไรนะคะ’
“ไม่ต้องมาปิดเลย ทำตัวก๋ากั่น ไปทำอะไรให้คุณชายเจ้าของคฤหาสน์หัวเสีย ตะโกนไล่คนใช้ จนหน้าตื่นกันเป็นแถวๆ”
คำถามพี่สาวทำให้ใจปองหัวเราะกิ๊ก และเท่านั้น เธอก็ได้รอยหนีบบนต้นแขนเป็นการเรียกอาการขำกลับคืน
“ซี้ดด พี่รัก หยิกปองทำไมเนี่ย?” คนที่ถูกกล่าวหา ว่าทำตัวก๋ากั่น โวยพี่สาวพร้อมใช่มือลูบไปตรงที่โดนหนีบปอยๆ
“ก็พี่ถาม กลับได้อาการขำกลบ มันก็ต้องโดนแบบนี้แหละ”
“ขำหน่อยก็ไม่ได้”
“แล้วมันน่าขำตรงไหน ไปทำให้คุณราเชนทร์โกรธ”
“เขาหาเรื่องปองก่อน” เธอแก้ตัว พี่สาวค้อนให้
“แล้วเป็นไงล่ะ”
“ก็ไม่เป็นไร” อาการตอบอย่างไม่ยีระ ทำให้พี่สาวหนีบให้อีกครั้งอย่างมั่นไส้ แต่ครั้งนี้แรงกว่าเก่า
“อ้ายยย พี่รักอะ! ใจร้าย” สีหน้าบิดเบี้ยว ค้อนพี่สาวตาคว่ำ แต่ก็บอกไปด้วยน้ำเสียงติดงอน “ก็ผู้ชายอะไรดูถูกคนชะมัด”
ปองรักทำหน้าเหนื่อยใจ กับอาการเก็บไม่อยู่ น้องสาวเธอ ชอบหรือไม่ชอบ ก็แสดงออกตรงๆ ไม่กลัวหน้าอินหน้าพรมทุกครั้ง “เรามาอาศัยเค้านะ”
“พี่ค่ะ เราอาศัยก็จริง แต่เราก็ทำหน้าที่ของเรา อย่างพี่รัก ก็ดูแลคุณท่านนี่ค่ะ”
“ยังไงมันเทียบไม่ได้อยู่ดี เราหัดใจเย็นเอาไว้บ้าง”
“พี่รักคะ ปองน่ะ ไม่แคร์ความรู้สึกคุณชายนั่นอยู่แล้ว... คนอะไรแม้แต่พ่อ ก็ไม่ให้เกียรติ์กัน แล้วอย่างนี้ปองจะแอ็บไว้ทำไม”
คำพูดของน้องสาวทำให้ปองรักครุ่นคิด หากลองอย่างนี้ เธอกล่อมอย่างไรคงไม่เป็นผล
“พี่รักหนักใจใช่ไหม” เมื่อเห็นสีหน้าหนักใจของพี่สาว เธอจึงเอ่ยในสิ่งที่เธอเองก็เข้าใจดี
“ก็ไม่เชิงหรอก แต่พี่เกรงใจคุณท่าน” น้ำเสียงและสีหน้าแสดงว่าให้เห็นอย่างหลังมากกว่า
ใจปองหน้าเจื่อน เธอไม่ควรทำให้พี่สาวหนักใจสินะ...
“ปองก็รู้สึกเกรงใจคุณท่าน แต่มันอดไม่ได้ นิสัยเสียอะ” ใจปองรู้ตัวดี และตำหนิตัวเองอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะเข้าไปโอบกอดเอวคอดของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วประคองพาไปนั่งเก้าอี้ตัวใกล้ที่สุด
“ปองมีเรื่องจะบอก”
สีหน้าจริงจังของใจปองทำให้ปองรักต้องมองหน้าน้องสาวอย่างพินิจและถามขึ้นสั้นๆ “ว่า?”
“ปองต้องไปประจำหน่วยงานแล้วนะ เพราะทางเลขาธิการมูลนิธิ พอ.สว. แจ้งให้เลขานุการ พอ.สว. จังหวัดทราบแล้ว แล้วก็อนุมัติแล้วด้วยปองจะไปประจำอยู่ ที่อนามัยในชุมชนซึ่งเป็น ‘ลูกข่าย’” คำตอบนั้นทำให้พี่สาวที่รู้อยู่แล้ว พยักหน้าน้อยๆ รับในสิ่งที่น้องสาวเธอเลือก
“ต้องไป ให้ได้สินะ” น้ำเสียงที่เคยใสกังวาน สะท้านขึ้นอย่างใจหาย เธออยากให้น้องสาวทำงานอยู่ใกล้ๆแต่ดูเหมือนจะยากหากเธอจะค้านในความตั้งใจจริงของใจปอง
“ก็ชอบทางนี้นี่คะ” ตอบไปแล้วก็ได้แต่หลบสายตาคมของผู้พี่ เธอไม่อาจมองตอบกลับไปได้ เมื่อน้ำเสียงนั้น บ่งบอกว่าเรื่องที่เธอตัดสินใจลงไป สะเทือนใจพี่สาวอยู่ดี
แม้ปองรักจะรู้ล้วงหน้าถึงความต้องการของน้องสาวตั้งแต่เริ่มศึกษาพยาบาลมา แล้วเลือกมาก่อนแล้วก็ตาม ความทุรกันดารไม่ใช่สิ่งที่ใจปองกลัว แต่เธอก็อดห่วงระยะทางที่ห่างไกลไม่ได้