“ไม่! ไม่! ไม่! ได้โปรด ขอร้องล่ะ ฉันอยากหายไปจากโลกนี้เลย ไม่อยากกลับไปแล้ว อย่าเพิ่งให้ฉันต้องไปเผชิญอะไรตอนนี้เลย” เธอร้องไห้และห้ามปรามตัวสั่น ฟังดูเหมือนชีวิตเธอพังทลายลง เขาคิด
“คุณทำแบบนี้ผมก็เดือดร้อน ไหนจะเจ้าบ่าว”
“ฉันจะไม่ให้คุณเดือดร้อนฉันสัญญา ขอแค่ ให้ฉันได้ตั้งสติ อย่าให้ทั้งโลกรู้เลยว่าฉันอยู่ที่นี่ไหน”
“เฮ้อ มันเจ็บปวดขนาดนั้นเลยเหรอคุณ” เจอคำถามของเขาก็ทำให้เธอร้องไห้ออกมาไม่หยุด สุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่นั่งถอนหายใจ ปล่อยให้เธอร้องไห้เสียให้พอ และคิดว่าคงจะไม่ได้ไปกินข้าวกับพ่อเจ้าประคุณแล้วล่ะ จึงได้รีบโทรศัพท์ไปบอก
กริ้ง! กริ้ง! กริ้ง!
“อืม” เสียงปลายสายเพียงแต่อืมในลำคอเท่านั้น
“เอ่อ พ่อ... เลี้ยง... ครับ ผม เพลียมากเลย ไม่มีแรงลุก เพิ่งมาถึงบ้านน่ะ”
“แล้วไงครับ”
“อาจจะไม่ได้ไปกินข้าวด้วย”
“ถ้าไม่มา บอกไว้ก่อน พ่อไม่โกรธ แต่น้องวีน่ะ...”
“เอ่อ ไปก็ได้ครับ แต่อยู่ไม่นานนะ ได้หรือเปล่า” พอเอ่ยชื่ออีกคนเท่านั้นแหละคเชนทร์ก็ต้องยอมเลยเชียว
“ให้ไวเลยนะ” สิ้นคำของปลายสาย คเชนทร์ก็วางสายทันที
“เอาเป็นว่า คุณพักใจให้เย็นลง แล้วเตรียมความจริงเอาไว้บอกผมด้วยก็แล้วกัน อีกหนึ่งชั่วโมงผมกลับมา ไม่ต้องออกไปไหน ล้างหน้าล้างตาซะ ตาแดงบวมหมดแล้ว หน้าเละดูไม่ได้เลย ห้องน้ำก็เดินหาเองก็แล้วกัน” คเชนทร์บอกเสียงเรียบก่อนจะถอนหายใจทิ้งหนักๆ เหมือนกำลังแบกอะไรเอาไว้ก็ไม่รู้
“ขอบคุณนะคะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ผมขอตัว มีธุระอยู่ที่บ้านอีกหลัง เดี๋ยวมาครับ อย่าออกมาให้ใครเห็นล่ะ” จากนั้นเขาก็รีบออกไปจากบ้านทันที พร้อมกับปิดประตูเอาไว้ให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินดุ่มๆ ตรงไปยังบ้านของพ่อเลี้ยงแสนลักษณ์ พ่อคุณทูนหัวที่เขารักประหนึ่งพ่อผู้มอบชีวิตใหม่ให้
และทันทีที่ไปถึงคเชนทร์ก็ถอดเสื้อสูทออก แล้ววางพาดเอาไว้ที่โซฟารับแขกเสียก่อน จากนั้นจึงเดินตรงไปยังห้องอาหาร ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว เพราะวันนี้เป็นการเลี้ยงอาหารฉลองเมียรักของพ่อเลี้ยงเรียนจบปริญญานั่นเอง
“ขอโทษที่มาช้าครับ” คเชนทร์บอกเสียงเพลียๆ พยายามอย่างที่สุดจะที่เก็บความพิรุธไม่ให้พ่อเลี้ยงแสนลักษณ์ได้เห็น
“ถ้าไม่โทรจี้ก็คงจะไม่มาแล้วใช่ไหมเนี่ย” พ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่เอ่ยถามเสียงเรียบ พลางมองหน้าคเชนทร์
“คือวันนี้งานเยอะแล้วก็วุ่นๆ น่ะครับพ่อ”
“งั้นก็กินเลยค่ะ จะได้หายเหนื่อย” มนัสวีแทรกขึ้นพร้อมกับยิ้มหวาน
“ครับ แล้วสองแฝดล่ะ”
“พี่เกตุพาเข้านอนแล้วค่ะ” มนัสวีตอบ
“บอกว่าจะรอพ่อเชนทร์ พ่อเชนทร์บอกจะเอาเครื่องบินมาฝาก แกไปรับปากสองแฝดตอนไหน ตะล่อมยังไงก็ไม่ยอมเข้านอน จนพี่เกตุต้องโกหกไปก่อน”
“เอ่อ ก่อนออกจากมหาลัย ผมลืมน่ะมัวทำแต่งาน”
“รับปากแล้วทำให้ได้ล่ะ อย่าโกหกเขา”
“ครับ ไม่มีลูกแต่เหมือนมีเลยนะครับเนี่ย”
“เอ่อ ฝึกเอาไว้เผื่อมีของตัวเอง กินได้แล้ว เสร็จแล้วจะได้ไปพัก” พ่อเลี้ยงหนุ่มบอก พลางสังเกตสีหน้าของคเชนทร์ ซึ่งส่อพิรุธเสียจริง สายตาดู วอกแวกเก็บอาการไม่อยู่ เหมือนทำอะไรผิดมา ทว่าพ่อเลี้ยงหนุ่มก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรปล่อยให้รับประทานไปก่อน
“งานแต่งใคร ต้องรับผิดชอบเหรอ ไม่ใช่หน้าที่เรา” พ่อเลี้ยงแสนลักษณ์เอ่ยถามขึ้น ทำเอาคเชนทร์ชะงักมือที่กำลังตักอาหารทันที
“เอ่อ ลูกค้า ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวครับ เป็นนักธุรกิจน่ะ แต่ทีมออแกไนซ์อยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อน เห็นว่าเจ้าบ่าวเรื่องเยอะ” คเชนทร์อธิบายเสียงหม่นพลางตักอาหารใส่ปาก และสังเกตว่าเขาถอนหายใจแบบเครียดๆ
“คุณเชนทร์ เป็นอะไรคะ ดูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ” มนัสวีเอ่ยถามขึ้นเพราะสังเกตเก่ง
“สองคนจับพิรุธผู้ต้องหาอยู่เหรอครับเนี่ย” คเชนทร์แซว
“แปลว่าน้องวีพูดถูก” พ่อเลี้ยงเอ่ยขึ้นและหรี่ตามองคเชนทร์
“คือ เอ่อ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เรื่องงานเท่านั้นเอง” ปิดบังวันนี้แล้วพรุ่งนี้จะปิดบังยังไงวะเนี่ย คเชนทร์คิด
“รู้ใช่ไหม ว่าพ่อมึงคนนี้ดูคนเก่ง”
“ครับเก่ง เก่งมาก ยอมแพ้ ผมแค่เครียดกับงานน่า”
“งั้นก็กินเสร็จไปพักผ่อน พรุ่งนี้คงได้มีอะไรคุยกันก่อนไปทำงานซะหน่อย”
“เอ่อ ครับ” คเชนทร์รู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่ตัวเองรับมา และประหม่ากับสายตาพ่อที่มองอย่างเอาเรื่อง ใช่พ่อเลี้ยงแสนลักษณ์เป็นคนเก่ง อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีก็ย่อมมองออกเสมอ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคเชนทร์ จะสุข จะทุกข์คเชนทร์แสดงออกเสมอ แต่จะแสดงออกกับพ่อเลี้ยงเท่านั้นแหละ ฉะนั้นแล้วพ่อเลี้ยงคงรอเวลาที่จะได้คุยกันตามประสาผู้ชาย
ช่วงเวลาเดียวกันนี้ สองทุ่มกว่า แต่ไม่มีวี่แววว่าเจ้าสาวจะลงมาสมทบในงานแต่ง ตุลยเทพได้แต่กระอักกระอ่วน จนในที่สุด ทำทีเป็นให้คนขึ้นไปตามจันทรภาบนห้องอีกครั้ง แต่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือคนในงานต้องช็อก เพราะเจ้าสาวหนี!!!
“อะไรนะ! จะ จะ เจ้าขา หนีไปอย่างนั้นเหรอ” มารดาของจันทรภาเอ่ยด้วยเสียงสั่น แทบจะช็อกเสียให้ได้
“เราตามหาให้ทั่ว เจอแต่ผ้าคลุมผมครับ คิดว่าน่าจะ” คนสนิทของตุลยเทพบอกพลางยื่นผ้าคลุมผมสีขาวให้ จังหวะเดียวกันนั้นตุลยเทพแกล้งมือสั่นรับผ้าคลุมผมไป พร้อมกับกำมันเอาไว้แน่น
“ดำเนินมาจนวันแต่ง แล้วตัดสินใจได้ในวินาทีสุดท้ายเหรอว่าจะหนี เจ้าขา ทำกับพี่แบบนี้ได้ยังไง” ตุลยเทพเอ่ยเสียงสั่นเครือ ตาแดงๆ
“เราจะทำยังไงดี เจ้าสาวหนีไปแบบนี้ จะรับผิดชอบยังไงคุณจันทร์” ตุลาบิดาของตุลยเทพหันมาถามจันทร์จิรา
“ฉัน... ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ไม่มีสัญญาณเลยว่าเจ้าขาจะหนีงานแต่งแบบนี้ ก็เห็นมีความสุขดีนี่”
“เราขอโทษแทนลูกด้วย ว่าแต่คนของคุณตุลย์ตามหาดี แล้วเหรอครับว่าเจ้าขาหายไปจริง” เจ้าสัวภากรบิดาของจันทรภาเอ่ยถาม
“เราตามหาให้ทั่วแล้วครับ ห้องพักไม่มี คงรีบหนีไปจริงๆ ไม่เอาอะไรไปเลย ยกเว้นโทรศัพท์ แล้วก็คงดึงผ้าคลุมผมออก เส้นผมยังติดอยู่เลย” ลูกน้องของตุลยเทพบอกพลางปรายตามองเจ้านาย
“ลูกนะลูก ทำอะไรไม่ปรึกษา ถ้าไม่อยากแต่งตั้งแต่แรกทำไมถึงไม่บอก อาขอโทษคุณตุลยที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายที่เสียไปทั้งหมดอารับผิดชอบเองก็ได้” เจ้าสัวภากรเอ่ยเสียงหม่น
“ไม่เป็นไรครับคุณอา มันเป็นความรับผิดชอบของผม เดี๋ยวผมบอกแขกในงานก่อน ผมคงทำให้น้องรักไม่ได้จริงๆ แล้วน้องก็เลือกในวินาทีสุดท้ายที่จะไปวันนี้ เลือกวันที่ทำให้ผมเจ็บปวด” เขาบอกเสียงสั่นเครือพลางก้มหน้า
“แต่เราต้องแบกรับความอับอายนะตุลย์ ไหนจะนักข่าว ข่าวงานล่มก็ว่อนเน็ตแน่ๆ”
“เราก็เอาเงินปิดปากนักข่าวซะก็สิ้นเรื่อง ผมไม่ใช่คนดังอะไร แค่เป็นนักธุรกิจ ไม่น่าจะเป็นปัญหา” เขาเอ่ยเสียงหม่นอีกครั้ง
“คุณตุลย์ช่างดีกับเราเหลือเกิน แต่ถึงยังไงเราต้องรับผิดชอบด้วย” จันทร์จิรากล่าวเสียงหม่น
“คุณอารับผิดชอบ ด้วยการตามหาน้องเจ้าขาให้เจอดีกว่าครับ เจอตัวเมื่อไหร่ผมไม่แต่งแล้ว บอกไว้ก่อนว่าจะเข้าเรือนหออย่างเดียวกัน” ตุลยเทพเงยหน้าขึ้น และเอ่ยกับว่าที่พ่อตาแม่ยายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เอ่อ เราจะตามหาให้เจอ เจ้าขาคงหนีไปได้ไม่ไกลเผลอๆ อาจจะกลับบ้านพักไปแล้ว” เจ้าสัวภากรกล่าว
“คนหนี เขาไม่หนีกลับบ้านพักตอนนี้หรอกครับ ไปที่ไหนสักแห่งที่คนไม่เจอน่ะ”
“เอาล่ะๆ พ่อไม่อยากให้แกเครียดเกินไปนะตุลย์ แม้ปัญหามันจะหนักหนาก็เถอะ แต่บอกเอาไว้ก่อนว่าพ่อโกรธเจ้าสาวแกมาก พังงานไม่พอทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงอีก ถ้าไม่เจอตัว พ่อไม่มีวันยกโทษให้ คุณสองคนตามหาให้เจอ” ตุลาเอ่ย พร้อมกับหันมาทางบิดามารดาของเจ้าสาวด้วย
ซึ่งตอนนี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาถอนหายใจด้วยความเครียด
“ไม่เป็นไรครับพ่อ ผมคงไม่ดีพอเจ้าขาถึงได้... เอาล่ะในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว พังมันก็พังผมจะไปประกาศบอกแขก” ตุลยเทพบอกเสียงเศร้า ก่อนจะเดินเข้าไปในงาน จากนั้นก็ตามด้วยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย แขกในงานก็หันมามองตุลยเทพเป็นตาเดียว พร้อมกับมองหาเจ้าสาวก็ไร้วี่แวว จนกระทั่งเขาเดินขึ้นไปบนเวทีแล้วคว้าไมค์มากล่าว
ซึ่งทุกคนต้องตกใจแทบช็อก เมื่อเขาประกาศว่าเจ้าสาวของเขาหนีไปแล้ว ไม่รู้เหตุผลอะไร อาจจะไม่แน่ใจหรืออะไรก็ตาม แต่ทุกคนมองว่าจันทรภาผิดแล้วเต็มๆ คนที่น่าสงสารที่สุดคือเจ้าบ่าวที่เอาแต่บีบน้ำตา
ตุลยเทพเป็นนักธุรกิจ ทำอะไรย่อมเป็นข่าวภายในจังหวัดอยู่แล้ว แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาสามารถใช้เงินปิดปากนักข่าวได้ ทว่าเสียงนินทาหนาหูนี่สิ ที่มันห้ามไม่ได้ ตอนนี้กระแสโหมไปทางฝั่งเจ้าสาวเสียจนต้องแทรกแผ่นดินหนี ตุลยเทพต้องหาทางออกแบบพระเอก ให้พ่อแม่เจ้าสาวกลับ และเก็บตัวไม่ต้องพบใคร ส่วนเขาก็ลอยลมไร้ความผิด มีแต่คนสงสัยในตัวเจ้าสาวและงานแต่งล่มไม่เป็นท่า