ตอนที่ 9

2562 คำ
และคนที่หัวเราะเยาะได้เสียงดังที่สุด ก็คือ หลานสาวของหล่อน ที่เป็นผู้ชนะ ในเมื่อใยบัวสามารถกำจัดเสี้ยนหนาม ความรักให้แก่ตัวเองได้แล้ว วธุกาญจน์ต้องกระเซอะกระเซิง หนีไป เพราะคุณธรรมสูงล้น ไม่อาจจะเยื้อแย่งของรักของคนอื่นได้ ทำไมเล่า จีรมล จะอ่านใจ เพื่อนสาวระดับสูงลูกสาวเจ้าสัวคนนี้ไม่ออก แม่พระ ผู้เสียสละ เพราะทนให้เรื่องอับอายมาถึงตัวเอง และถูกคนข้างนอกประจาน หล่อนจึงต้องเลือกหนทางที่ว่า ยอม ทิ้ง อนุตร หล่อนรู้จักจิตใจของวธุกาญจน์ดี เป็นคนรักแรงเกลียดแรง ต่อไป อนุตรก็อย่าได้คิดหวังจะเข้ามาใกล้หล่อน จีรมลอ่านได้ทะลุปรุโปร่งหมด บทบาท ของหล่อน ที่ช่วยกำกับให้แก่หลานสาวก็เหมือนกัน ช่างราบรื่นสะดวกโยธิน สำเร็จง่ายดายนัก ตีบทแตกกันทั้งสองน้าหลาน แบบนี้น่าจะได้รับรางวัลตุ๊กตาทองยอดเยี่ยมแห่งปี จีรมลไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น หล่อนอิจฉา วธุกาญจน์ที่เพียบพร้อมไปหมดและสวยกว่าหล่อนมานานปีแล้ว ยังจะมีเพื่อนชายหลายคนที่ให้ความสนใจ ทำตัวใกล้ชิด ตีสนิทกับวธุกาญจน์ตั้งหลายราย คงพอจะทำให้วธุกาญจน์ลืม อนุตรได้ แต่กับหล่อน ไม่เคยมีใครนึกอยากสนใจแบบนั้นบ้างเลย ห้อมล้อมรุมเหมือนวธุกาญจน์ ดังนั้นต่อมริษยาของหล่อนจึงได้พล่านไปหมดอย่างที่เห็น ไม่ยอมให้วธุกาญจน์ได้ดิบได้ดีเกินกว่าตัวเอง เพราะหล่อนมันจนใช่ไหม? เพราะว่า อีจีรมลมันจนนักหนา อนุตรมาถึงที่บ้านของหล่อนแล้ว เขารีบกดออดที่หน้าประตูรั้วใหญ่อัลลอยด์สีทองอร่ามบ้านหล่อน มีคนใช้วิ่งมาเปิดประตูให้เขา เด็กนั่นชะโงกหน้ามองเขาก่อน อ๋อ เด็กกลอยนั่นเอง เขารู้จัก อยู่บ้านหลังมานานแล้ว สมัยที่เขาเคยมาเที่ยวเล่นที่ในบ้านของวธุกาญจน์ “ ฉันเอง กลอย มาขอพบคุณเชอรี่ ” เขาบอกเด็กกลอย เด็กกลอยก็ตอบ ท่าทางเด็กคนใช้ชั่งใจ “เปิดประตูให้ฉันเข้าไปหน่อยสิ กลอย ฉันอนุตรไง มีธุระมาขอพบวธุกาญจน์เจ้านายเธอ ขอฉันเข้าไปหน่อยนะ ฉันมีเรื่องสำคัญ” เขาบอกเด็กกลอยแค่นี้ ท่าทางเด็กกลอยยังครุ่นคิดลังเลอีก เขาต้องใจเย็น หล่อนอาจจะบอกลูกน้องของหล่อน ห้ามไม่ให้เขาเข้า เขาพูดเสียงดังฟังชัด และอนุตรก็ไม่ได้กลัวแม้แต่สักนิด ในเมื่อเขามาถึงแล้ว จะพบเจอพ่อแม่ของหล่อน เขาก็ไม่กลัว เขาคิดว่าตนเองอาจหาญพออย่างแน่นอน ที่เข้ามาบ้านหลังนี้ เด็กกลอย แม้จะรู้จัก อนุตร ชายหนุ่มตรงหน้าดี แต่ก็อิดออด คำสั่งจากผู้เป็นนายสำคัญกว่า วธุกาญจน์สั่งห้าม ไม่ให้อนุตรเข้ามาภายในบ้าน “คุณ เชอรี่ เธอไม่อยู่ค่ะ ตั้งสองวันแล้ว” ดูเหมือนเด็กกลอยพยายามตัดบทกับเขาแค่นั้นเอง แค่นี้อนุตรพอจะอ่านออกในสีหน้าของเด็กกลอย ที่ช่วยผู้เป็นนายปิดบังเขา มีความลับกับเขา ดูท่าเขาจะสิ้นหวัง แต่คนอย่าง อนุตรหรือจะยอม เขาไม่มีทางยอมง่าย ก็อย่างที่เขาบอกกับตัวเองไว้แล้ว ในการตัดสินใจมาที่นี่ เขาจะดื้อดึงพบหล่อนให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ให้เด็กกลอยเข้าไปบอกกับเจ้านายของหล่อนเถอะว่า เขาจะคอย ยังอยู่ที่นี่ หน้าประตูรั้ว แม้ไม่ให้เข้าไปข้างใน จะคอยจนกว่าจะได้พบหน้าของวธุกาญจน์ แม้จะรู้ว่าเด็กกลอยโกหก ก็คงจะเป็นเพราะคำสั่งกำชับอย่างเข้มงวดสำหรับเขาที่วธุกาญจน์บอกคนของหล่อน เขารู้แล้วว่า วธุกาญจน์กำลังเปิดสงครามเย็นกับเขา สงครามเย็นชานั่นไง แต่ไม่หรอก อนุตรยืนกรานอยู่อย่างเดียว เขาจะไม่ยอมกลับไปอย่างมือเปล่าแน่นอน ยังไงเสียเขาก็คิดว่า วธุกาญจน์ต้องไปทำงาน “ เชอรี่ ต้องไป ทำงาน ไม่ใช่หรือ กลอย ” เขาเอ่ยพูดกับกลอย เด็กกลอยคิดว่าเขาไม่รู้หรือยังไง แม่เด็กกลอยนั่น ทำท่าอึกอัก เพราะรู้สึกว่าตนเองพูดปดไป และสีหน้าก็แสดงพิรุธ แค่นี้ก็ไม่ทำให้อนุตรสนหรอก เขารู้แล้วว่าเด็กกลอยพูดไม่จริง “เมื่อวานฉันก็ยังโทร. เข้าไปคุยกับคุณเชอรี่ของเธอนี่ เขาก็ยังพูดดีด้วย แต่วันนี้ทำให้ฉันไม่สบายใจ จะต้องมาอยู่รอพบเธอให้ได้ ” อนุตรก็ยังพูดออกมาเป็นตุเป็นตะเหมือนกัน ทำให้เด็กกลอย หลงทาง เชื่อคำพูดของเขา อย่างน้อยเด็กกลอยก็รู้ เห็นมาตลอด ว่าเขาคบกับวธุกาญจน์ และอยู่ในฐานะอะไร จะว่าไป เป็นถึงว่าที่ลูกเขยของท่านเจ้าสัวด้วยซ้ำ ถ้าเขาไม่ตัดสินใจเลือกอีกทาง เพราะรักอาชีพราชการ แต่เรื่องมันผ่านมาแล้ว อนุตรไม่อยากจะคิดให้เสียเวลา เด็กกลอยทำหน้านิ่ง มองดูว่า เขาช่างอดทนนัก แต่เด็กกลอยก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี คำสั่งของนายก็คือคำสั่ง กลอยจะกล้าขัดได้หรือ กลอยในฐานะคนใช้ ทำได้แค่เพียงนี้ จากนั้นก็รีบผลุนผลัน หนี เข้าไปในบ้าน ไม่อยากพบเจอ ปลัดหนุ่ม เดี๋ยวถูกเขาตะล่อมถามอีก กลอยจะแย่ ยิ่งกลอยเองเป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างแพ้ความหล่อของหนุ่มๆอยู่ไม่น้อย แต่ปลัดอนุตรก็แตกต่างไปจากหนุ่มหล่อคนอื่นๆ ตรงที่เขาไม่ใช่คนระดับวัยเดียวกับกลอยหรือไล่เลี่ยกับกลอย อันที่จริง เขานั้นน่าจะอายุมากกว่ากลอยประมาณเจ็ดแปดปีด้วยซ้ำ เขาจึงเปรียบเป็นน้ามากกว่า เมื่ออนุตรได้รับคำปฏิเสธ เขาก็ยังฮึดฮัดอยู่ข้างหน้า ลืมไปด้วยสิ เขารู้สึกว่า ลืมถามเบอร์โทร.ใหม่ของวธุกาญจน์ แต่เขาก็พลาดไปแล้วนี่ เพราะเมื่อคืนก็บอกเด็กกลอยว่า เขาโทร.ไปหาวธุกาญจน์ แล้วนี่อนุตรจะทำอย่างไร แม่เด็กกลอยก็ใจแข็ง เหมือนผู้เป็นนาย นั่นคือ คำสั่งของผู้หญิงที่เขารักสินะ อนุตรไม่คิดที่จะกดออดเรียกคนในบ้านอีกครั้ง เพราะว่าเขาเดาเอาไว้ ถ้าวธุกาญจน์ใจแข็งอย่างนี้ หล่อนอาจจะไม่ยอมพบเขาแน่ๆ เขามาถึงนี่แล้ว ไม่มีทางกลับไปโดยที่ไม่รู้เรื่องราวจากหล่อน ว่าเขาทำผิดอะไร มันผิดมากนักหรือ ผิดขนาดไม่ยอมคุยกันแบบนี้ แบบนี้มันหนักหนามาก มันเหมือนกับเป็นสัญญาณอันตรายของเขาว่า ว่า วธุกาญจน์จะตัดเขาทิ้ง ไม่หรอก แบบนี้เขายอมไม่ได้ อนุตรเสียงแข็งค้านอยู่ในใจ เขาก็คิดจะสละเวลาของตัวเองมาเฝ้าหล่อนเลย อาจจะตามเฝ้าทั้งวัน ที่รู้ว่า หล่อนไปไหน เขาอยากจะรู้นักว่า หล่อนยังมีใครอีก หล่อนจะหลายใจ เปลี่ยนไปจากเขาไหม เรื่องราวข้อมูลเหล่านี้ เขาต้องรู้ คนที่ให้คำตอบได้ คือ วธุกาญจน์เท่านั้น หล่อนจะไม่ออกจากบ้านก็ให้มันรู้ไป วันนี้หล่อนต้องทำงานอย่างแน่นอน เทียนทัชชาน้องสาวของเขาก็ยังบอก วธุกาญจน์เป็นคนขยัน ไม่ค่อยหยุดงานง่ายๆหรอก ยังไงเสียในตอนนี้เขาก็ขับรถของตนเองเลยชิดเข้าไปหน่อย พรางสายตาคนในบ้านนั้น คงคิดว่าเขาไปแล้ว อย่างแน่นอน ให้รถเกยกับฟุตบาท ยังพอหลบทางได้ เพื่อไม่ให้เกะกะประตูรั้วบ้านใหญ่ แต่ว่าเจ้าของบ้านจะคิดในแง่ที่ไม่ดีก็เป็นไปได้ แต่เขาก็รู้สึกใจชื้นหน่อย ที่ตรงนั้นมันเป็นถนนในซอย ของส่วนบุคคล มันไม่มีรถของตำรวจเข้ามาล๊อคล้อรถเหมือนอย่างถนนใหญ่ข้างนอกแน่นอน เอาล่ะวะ เป็นไงเป็นกัน วันนี้ มาเพื่อเจรจาขอพูดกับหล่อนนี่นา รถของวธุกาญจน์แล่นโผล่ออกมานอกบ้านเมื่อไหร่ เขาจะตามไปให้ถึงที่ ถ้าไม่ยอมพุดด้วย เขาจะใช้วิธีรุนแรง เขาโมโหหล่อนมากแล้ว นี่อะไรเขาผิดตรงไหน ทำไมไม่บอกให้รู้เลย เก็บเงียบอย่างนี้ ให้เขาสำรวจดูความผิดของตัวเองบ้าง เขาไปทำอะไรให้หล่อนเจ็บช้ำน้ำใจ เขาจะพูดกับหล่อนหมดทุกอย่าง เป็นการเปิดเผย หล่อนหนีเขาไม่พ้นหรอก จะตามไปทุกที่เลย ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง นี่เขาต้องการมาขอโทษหล่อน ต้องการมาง้อหล่อนด้วย ถ้าหล่อนไม่เปิดโอกาสให้แก่เขา ก็ไม่เป็นไร อนุตรมีวิธีการอย่างแน่นอน แล้วเขาก็ได้พบกับวธุกาญจน์สมใจ เขารอคอย มันนานเหมือนกัน แต่แค่นี้หรือเขาจะหวั่น รอคอยจนเห็นว่ารถยนต์ที่หญิงสาวขับออกมาเป็นประจำ เคยคุ้นตาเขามาก่อนแล้ว แล่นออกจากประตูรั้วอัลลอยด์ ในลักษณะที่เตรียมตัวเพื่อจะออกไปทำงาน และเขามายืนจังก้าเหมือนจะขวางรถยนต์ของหล่อนด้วยซ้ำ จนกระทั่งวธุกาญจน์หยุดรถกะทันหัน หล่อนเบรกรถจนตัวโก่ง เพราะตกใจในภาพข้างหน้า ไม่นึกว่าจะมีใครมาขวางทาง จนกระทั่งวธุกาญจน์ได้มองเห็นชัดว่า เป็นใคร ค่อยๆกวาดสายตามอง เขานั่นเอง ถ้าหล่อนจำไม่ผิด อ้อ นี่แสดงว่ายังไม่กลับสินะ ก็ไหนเด็กกลอยบอกแก่หล่อนว่า เขากลับไปแล้ว เมื่อต้องประจันหน้ากันแบบนี้ วธุกาญจน์อึ้งยิ่งนัก นี่แสดงว่าเขาหลอกเด็กกลอย เขามาแผนสูงเหมือนอย่างเคย จะอย่างไรก็ตามเถอะวันนี้ วธุกาญจน์คิดว่า หล่อนจะไม่ยอมใจอ่อนเป็นอย่างเด็ดขาด และกินเวลาไปถึงสามนาที กว่าที่วธุกาญจน์จะยอมเปิดประตูลงมาเพื่อพบเขา ที่ยืนมองดูหล่อนอย่างเงียบๆ “ กรุณาหลีกทางให้ดิฉันเดี๋ยวนี้นะ ดิฉันจะไปทำงาน ” วธุกาญจน์หลุดปากออกมา แม้ว่าเธอไม่อยากจะเสวนากับเขาเลยก็ตาม และพยายามเก็บอาการอารมณ์ของตนเองไว้ในภาพที่นิ่งสงบเยือกเย็น นั่นคือภาพที่ทำให้เขาทุรนทุรายใจนัก เมื่อวธุกาญจน์หยิบบทเช่นนี้มาเล่นกับเขา ในอกเขาร้าวรานใจ ช่างเป็นไปได้หนอ เหมือนคนที่ไม่รู้จักกันเลย แม้แต่ดวงหน้าของหล่อนก็ไม่หันมาทางเขา กลับเบือนไปทางอื่น เขาก็แค่อยากจะมาขอโทษ อยากพุดอะไรกับหล่อนหลายๆคำ ว่าที่หล่อนได้ยินได้ฟังใครๆเขาพูดมา นั้นมันไม่จริง เขาอยากจะแก้ภาพของตนเองให้พ้นผิด อย่างที่เทียนทัชชาน้องสาวของเขาบอกว่า ต้นเหตุมาจากมือที่สาม แต่มือที่สามนั่น เขาไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายของเขาหรือว่า ฝ่ายวธุกาญจน์ ต้องชี้แจงบอกหล่อนให้เรื่อง จะได้ไม่เก็บงำ และปล่อยเรื่องให้อึมครึมเหมือนเมฆมัวบดบังฟากฟ้า และวธุกาญจน์ต้องเข้าใจเขาอย่างมากๆด้วย เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรื่องนี้มากหรอก เมื่อเห็นสีหนห้าท่าทางของหล่อนแล้ว เหมือนเขาจะผิดหวัง เพราะว่าวธุกาญจน์จ้องมองใบหน้าของเขาเหมือนคนแปลกหน้าเท่านั้นเอง เขาก็แค่อยากจะฟัง คำอธิบายด้วย ว่าทำไม ทำไม หล่อนจึงเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบนี้ “เป็นไรล่ะ เชอรี่ คุณทำท่าเหมือนไม่รู้จักผมเสียแล้ว ดูสีหน้าของคุณสิ มันว่างเปล่า เหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่ข้างหน้าคุณ ” ที่เขาพูดไปเพราะความฉุนจึงเสียงเข้มเล็กน้อย ที่หล่อนยังนิ่งไม่เคลื่อนไหว เหมือนหล่อนเป็นอากาศธาตุ “ใจคอจะไม่ยอมพูดดีกับผมเลยหรือ อธิบายให้ผมฟังบ้างซิ ว่าปัญหามันเกิดจากอะไร ใครทำ คุณทำหรือว่าผมเป็นคนทำ ” เสียงของเขาเข้ม มันปนอารมณ์หงุดหงิดออกมาด้วยอารมณ์แล้วก็น้อยใจ วธุกาญจน์ไม่อยากจะยืนอยู่เพื่อกีดขวางทางเข้าบ้าน เผื่อมีรถจากข้างนอกวิ่งเข้ามา เขาช่างบ้าดีเดือด ในที่สุดเธอก็จำยอมที่จะพูดกับเขา แต่มันคนละเรื่องกับใจอ่อน “ ฉันว่า คุณกลับไปเสียเถอะค่ะ กลับไปหาคนที่สำคัญกับคุณ ซึ่งไม่ใช่อดีตแต่มันเป็นปัจจุบัน ที่คุณก่อเรื่องเอาไว้ แล้วต่อไป ก็ไม่ต้องมาพบเจอดิฉันอีก ” นั่นคำพูดของหล่อน มันแสดงออกมาแจ่มชัดว่า หล่อนจะทิ้งเขา คนฟังใจเสีย เอาอีกแล้วหรือ เขามาเพื่อจะง้องอน ให้หล่อนพูดดีกับเขา ไม่ใช่จะชักเรื่องให้บานปลายยุ่งเหยิงไปอีก หล่อนกำลังจะตัดรอนเขา ตัดสัมพันธ์ไมตรีที่เคยมีอยู่ก่อน วธุกาญจน์ยอมถอยรถหลบข้างทาง แล้วเดินออกมาคุยกับเขาที่ริมข้างๆรั้วบ้าน ซึ่งเป็นพื้นฟุตบาท หล่อนไม่อยากให้เขาไปยุ่มย่ามภายในครอบครัวของหล่อน และวธุกาญจน์ต้องเร่งรีบไปในที่ทำงาน หล่อนกลัวจะสาย แต่เมื่อมีเรื่องตกลงกับเขา หล่อนก็จะสละเวลา เพราะยังไงเสีย วันนี้ คิดว่า จะตัดสินใจพูดกับเขาให้มันเด็ดขาด ประเภทตัดบัวไม่ให้เหลือใย จบก็คือจบ “ คุณ มีธุระจะพูดกับดิฉันอีกไหมคะ ดิฉันจะต้องรีบไปทำงาน ขอโทษด้วย ที่ไม่มีเวลาคุณกับคุณนานนัก” เหมือนหล่อนจะบอกเขากลายๆว่า หล่อนจะไล่เขาไป หล่อนกลายเป็นคนแบบนี้ไปแล้วหรือ ไม่ใช่หญิงสาวที่ใจอ่อนแสนดีสำหรับเขา อ่อนหวานเสมอ เมื่อยามพบหน้า และน้ำเสียงพูดคุย แต่วันนี้น้ำเสียงของหล่อนดูห่างเหิน ฟังแล้วเหมือนคนห่างไกลกันยิ่งนัก อนุตรขบกรามบดเข้าหากันทั้งสองข้าง เขาไม่มีสิทธิ์โกรธหล่อน แต่ว่าเขาเสียใจที่หล่อนใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเขา เขาจะทนอึ้งอยู่แบบนี้ นานต่อไปไม่ได้ เขาจะต้องถามหาเหตุผล ว่าเพราะอะไร? ทำไม ๆ หล่อนจึงเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ “เพราะอะไรเชอรี่ ไหน อธิบายบอกผมหน่อยซิ ผมอยากจะรู้ ใครเป่าอะไรใส่หูคุณหรือเปล่า ” หญิงสาวเม้มริมฝีปากเรียวก่อนหลุดคำพูดออกมาว่า “ กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง ” ที่หล่อนหลุดคำนี้มันหมายความว่ายังไง เขาก็ยังงง แต่ก็แอบสะดุ้ง “ไม่ใช่สักแค่เอ่ยลอยๆเพียงอย่างเดียว ต้อง อธิบายให้ผมฟังด้วย แบบนี้ไม่ยุติธรรมสักนิด แล้วผมจะรู้ไหมว่า ผมทำผิดอะไร ชี้แจงบอกมาตรงๆ ผมรับได้ ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม