ตอนที่ 10
แตกต่าง
"เมรี" ชายผู้เป็นพ่อเดินตรงเข้ามาหาลูกสาวของตนเองที่กำลังนั่งเล่นอยู่ม้านั่งไม่ใกล้ไม่ไกลมากนัก เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึง เขายืนหยุดอยู่ตรงหน้าของลูกสาวก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่ต้องการบอกทันที
"ว่าไงคะพ่อ มีอะไรรึเปล่า"
"พ่อฝากไปซื้อส้มตำไก่ย่างที่ร้านพลอยใสหน่อยได้ไหม"
"ได้ค่ะ" เมรีตอบกลับรับปากผู้เป็นพ่อทันทีอย่างไม่ได้คิดเยอะอะไร
เขายื่นเงินจำนวนหนึ่งให้กับลูกสาวก่อนที่ทั้งสองคนต่างพากันเดินแยกย้ายไปกันคนละทาง โดยที่เมรีเดินตรงไปยังร้านส้มตำของพลอยใส ส่วนพ่อเดินแยกคนละทางเพื่อกลับไปรอเธอบ้าน
เพราะว่าร้านอยู่ไม่ไกล หญิงสาวจึงใช้เวลาไม่นานก็มาถึงหน้าร้านส้มตำของพลอยใสแล้ว เธอไม่รอช้าเอ่ยปากสั่งอาหารกับพลอยใสที่กำลังตำส้มตำให้กับลูกค้าอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน
"เอาส้มตำไก่ย่างอย่างละหนึ่ง"
พลอยใสได้ยินที่คนมาใหม่พูดทุกอย่างแต่ทำหูทวนลมเป็นไม่ได้ยิน ไม่ตอบสนอง จนเมรีถึงกับทำหน้างงนิดหน่อย ในใจได้แต่ถามว่าเป็นอะไรของมัน
"นี่ ฉันมีเรื่องอะไรจะมาอวดด้วยแหละ"
"อะไร ถ้าไม่สำคัญฉันไม่ฟังนะ" เมรีเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเหมือนไม่ใส่ใจนัก ทว่าคนสวมผ้ากันเปื้อนกับหันมาแขวะใส่เธอ
"ฉันไม่ได้พูดกับเธอย่ะ" คนถูกดุทำได้แค่เงียบปากเพราะไม่อยากถกเถียงกับพลอยใสเท่าไหร่ ทำได้แค่ยืนกอดอกรอไปเงียบๆ
"ที่ว่ามีเรื่องอะไรจะมาอวดน่ะ เรื่องอะไรเหรอ" อีกคนที่ยืนรออาหารอยู่ด้วยกันเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"ก็เรื่องของฉันกับนายหัวนักรบน่ะสิ บังเอิญฉันไปดูดวงมา หมอแกบอกว่าเราสองคนเหมาะสมกันที่สุดแล้ว ไม่มีใครคู่ควรกับนักรบไปมากเกินกว่าฉันอีกแล้วล่ะ"
พลอยใสพูดอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่อายใคร ด้านของเมรีที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับมองบนใส่แบบไม่รู้ตัว
"อันที่จริงเธอก็ดูเหมาะสมกับนักรบเหมือนกันนะ" ดูเหมือนว่าอีกคนจะเห็นด้วยกับพลอยใส
จากนิสัยที่เป็นสายมูเหมือนกันทั้งคู่ ทำให้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นมองว่าพลอยใสและนักรบเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก เพราะนักรบนั้นเขาเป็นคนที่เวลาจะทำอะไรก็มักจะถือฤกษ์ถือยามและทำบุญเสริมดวงอยู่เสมอ ส่วนพลอยใสเป็นคนที่ชอบขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เป็นประจำ ยิ่งทำให้ทั้งสองคนดูเหมาะกันเข้าไปใหญ่
พลอยใสหยิบกระปุกใบเล็กที่ใส่ของบางอย่างอยู่ข้างในขึ้นมาโชว์ให้ทุกคนเห็น โดยเฉพาะเมรีที่แม้จะไม่อยากดูแต่ก็ถูกอีกฝ่ายอวดโชว์จนแทบทิ่มลูกตา
"ของดีที่ฉันได้มา"
"ของดี?"
"ใช่ ของดีที่ว่ามันก็คือ สีผึ้ง ยังไงล่ะ"
"พูดว่าสีผึ้งก็จบแล้ว จะพูดว่าของดีทำไม" เมรีพูดขึ้นแทรกขณะที่พลอยใสกำลังพูดอยู่ จนแม่ค้าสาวหันกลับมาต่อว่าอีกคำรบ
"นี่เมรี ฉันไม่ได้พูดกับเธอ ไม่ต้องมาพูดแทรก"
"แล้วมันดียังไงเหรอ ช่วยบอกให้ฉันรู้หน่อยสิ" อีกคนก็ดูจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสีผึ้งของพลอยใสมาก ถึงยังถามไม่ยอมหยุด
"มันดีตรงที่ว่า... เวลาเราเอาสีผึ้งไปทาที่ตัวของใครคนนั้นก็จะหลงรักเราแบบหัวปักหัวปำไงล่ะ"
"ดีจังเลย ฉันเองก็อยากมีบ้าง"
"อีกอย่างนะ ฉันจะบอกความลับอะไรให้ ฉันน่ะแอบใช้มันกับนายหัวมาแล้วด้วยล่ะ" พลอยใสพูดแล้วก็หัวเราะออกมาเสียงดังโดยไม่เกรงใจใคร
หลังจากที่เมรียืนฟังพลอยใสที่เอาแต่คุยโอ้อวดเรื่องของตัวเองมาสักพักแล้วเริ่มจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ยิ่งเธอได้ยินพลอยใสพูดถึงนักรบในทางที่ไม่ดียิ่งทำให้สาวเจ้าเกิดความโมโหขึ้นไปใหญ่ จนท้ายที่สุดเธอทนไม่ไหว เอื้อมมือไปคว้าแย่งเอากระปุกสีผึ้งจากในมือของอีกคนทันที
"เมรี! นี่เธอจะทำอะไร เอาสีผึ้งของฉันคือมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!"
"ชอบอวดดีนักใช่ไหม มันดีนักใช่ไหม มาดูกันสิว่าจะดีจริงไหม"
ไม่รอช้า เมรีขว้างกระปุกสีผึ้งที่แย่งมาได้ในมือปาไปที่ถนน ขณะนั้นมีรถยนต์คันหนึ่งกำลังวิ่งผ่านมาพอดี ทำให้เผลอเหยียบกระปุกสีผึ้งของพลอยใสจนแตกละเอียด ไม่เหลือสิ้นดี แหลกกระจายต่อหน้าต่อตาทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางความตกใจและโมโหจนถึงขีดสุดของพลอยใสที่เห็นของรักของหวงของตัวเองโดยรถทับต่อหน้าต่อตา
"นี่เธอเป็นบ้าไปแล้วรึยังไง มาขว้างของของคนอื่นทิ้งแบบนี้ได้ยังไงกัน รู้ไหมว่ามันหายากแค่ไหน" ฝ่ายเมรีโต้กลับด้วยน้ำเสียงและท่าทางโมโหโดยไม่มีใครยอมใคร
"เธอนั่นแหละพลอยใสที่เป็นบ้าไปแล้ว เอาสมองส่วนไหนคิด ถึงได้อยากจะทำของใส่ผู้ชายกันน่ะ"
"มันก็เป็นเรื่องของฉันรึเปล่า ยังไงเธอก็ไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้"
"ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์ ถ้าฉันไม่ทำตาหนวดนั่นก็จะหลงเธอเพราะของต่ำๆ ที่เธอทำไงล่ะ"
"เธอว่าฉันต่ำหรอ!"
"ใช่ เธอจะทำไม" พลอยใสโกรธหนักมาก คว้าทั้งเส้นมะละกอทั้งถั่วฝักยาว หยิบอะไรที่ฉวยได้ปาใส่เมรี แต่ดีที่เธอถอยหลบได้ทัน ส่วนทางสาวขี้เมานั้นก็ไม่ยอมเหมือนให้น้อยหน้า เธอหยิบแก้วน้ำของลูกค้าที่กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ใกล้ๆ สาดใส่พลอยใสทันที
"ไง เย็นดีม่ะ ความคิดชั่วๆ จะได้ออกจากสมองบ้างไง"
สร้างวีรกรรมเสร็จ สาวเจ้าก็สะบัดตูดรีบวิ่งหนีทันทีหาได้สนใจเสียงกรีดร้องตามหลังของคู่กรณีไม่ ในใจคิดว่าตนควรจะไปเตือนนักรบเรื่องนี้สักหน่อย
ทางด้านคนน้องอย่างเมรัยนั้น หลังจากแอบได้ข้อมูลมาว่า นายหัวแห่งค่ายมวยอนาคตไกลแห่งนี้ เป็นคนที่ชื่นชอบอาหารรสจัดมาก วันนี้เธอเลยลงทุนทำเองหมดทุกอย่างแล้วจัดใส่ปิ่นโตเอามาให้เขาถึงค่าย
และแน่นอน สาวเจ้าต้องได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าบ้านอย่างนักรบ ด้วยการสับขาเดินหนีอย่างเร็วรี่ แม้ว่าท้ายสุดแล้ว เขาก็ต้องจำยอมทำตามความต้องการของเธออีกครั้ง เมื่อคนงามเล่นเอาน้ำตาที่น่าสงสารของตัวเองมาใช้กับเขา
"น่าทานไหมคะ"
เมรัยเอ่ยถามเสียงใสไร้แววคนสะอึกสะอื้นเมื่อครู่ เมื่อคนตัวโตยอมมานั่งประจำที่แล้ว
มือบางผายไปยังปิ่นโตแต่ละชั้นที่อัดแน่นไปด้วยอาหารรสจัดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นประเภทน้ำพริก ยำ หรือแม้แต่แกงเผ็ด ล้วนแล้วแต่มีรูปลักษณ์และกลิ่นชวนให้น้ำลายสอยิ่งนัก ทำเอาคนที่แค่คิดจะชิมพอเป็นพิธีถึงกับเปลี่ยนใจแอบกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่
"นี่เธอทำเองทั้งหมดเลยรึ ไม่ใช่ว่าไปซื้อของคนอื่นมาแล้วมาจัดแต่งจานเอานะ"
นักรบเอ่ยเสียงเรียบกึ่งเย็นชาที่มองจากดาวอังคารยังรู้เลย ว่ามาแกล้งเย็นชาออกมา
"คุณนี่ก็ปากร้ายจังนะคะ ทุกอย่างนี่หนูทำเองทั้งนั้นแหละ ลองชิมดูสิคะว่าใช้ได้ไหม"
เขาทำถามอย่างว่าง่ายแล้วก็ต้องตาโตออกมาเมื่อรับรู้ได้ว่า รสชาตินั้นดีเลิศเพียงใด
"อร่อย อร่อยมากเลยนะ ฝีมือเธอนี่ไม่ใช่ราคาคุยจริงๆ"
"แค่อาหารยังอร่อยขนาดนี้ ไม่อยากจะบอกเลยนะคะ ว่าคนทำแซ่บขนาดไหน"
นักรบที่ตักน้ำต้มยำซดเสียงดังโกรก ถึงกับแทบสำลักทีเดียวกับคำพูดของสาวเจ้าที่ช่างกล้าจีบเขานัก
แค่ได้มาพิจารณาดีๆ เมรัยนั้นแม้จะสวยหวานน่ารักก็จริง แต่นักรบก็รู้ได้ว่าเธอเป็นคนที่มักใส่ใจคนอื่น และเอาใจเก่งด้วย ต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่เคยเข้ามาในชีวิต มันทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า....เธอก็มีมุมที่น่ารักดีเหมือนกัน...ก็แค่นิดเดียวเถอะ
"อุ๊ย นายหัวคะ เลอะปากด้วยแหละ ทำยังกับเป็นเด็กไปได้ เดี๋ยวหนูเช็ดให้นะ"
มือน้อยใช้กระดาษทิชชูเช็ดไปตามกรอบปากของเขา การดูแลเอาใจใส่อย่างอ่อนโยนของเธอกำลังทำให้เขาเคลิบเคลิ้ม ยิ่งสายตาได้ประสานกันในระยะประชิดด้วยแล้ว กระแสไฟฟ้าในใจก็พลันไหลเวียนเต็มไปหมด
ทว่ายังไม่ทันจะได้มีใครเอ่ยอะไรออกมาเสียงโวยวายของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา ก่อนเจ้าตัวจะเดินปึงปังเข้ามาหาทั้งคู่ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
"อ้าวเมรัยอยู่ที่นี่เหมือนกันเหรอ" น้องสาวกำลังจะอ้าปากเอ่ยตอบ คนพี่ก็ตัดบทไม่ให้เกิดเสียอย่างนั้น
"ช่างเถอะ มาที่นายดีกว่าตาหนวด!" นักรบสะดุ้งขึ้นมากับท่าทีของเธอที่ช่างดูเกรี้ยวกราดนัก แต่ก็เหมือนกับสาวเมรัย ที่ยังไม่ทันได้เกิด เมรีก็คุมกำเนิดเสียก่อน
"ต่อจากนี้ฉันขอเตือนนายไว้เลยนะ ว่าห้ามไปรับของอะไร หรือยุ่งวุ่นวายอะไรกับยัยหน้ามะละกอพลอยใสนั่น ไม่อย่างนั้น หายนะได้ถามหานายแน่"
"เดี๋ยวนะ อะไรของเธอ อคติรึเปล่า แล้วนั่นไปฟัดกับใครมา"
นักรบที่กำลังงุนงงกับท่าทางและใบหน้าสวยๆ ของแม่สาวขี้เมาที่เหมือนกับไปมีเรื่องกับใครมาเอ่ยถาม
"ช่างฉันสิ! เอาเป็นว่าคุณฟังที่ฉันพูดก็พอ ฉันมันเซนส์แรง" ชายคนเดียวไม่ได้เอ่ยอะไรนอกจากพยักหน้าหงึกหงักให้คนขี้โมโหไป ในขณะที่คนน้องสุดก็เอ่ยถามพี่สาวอย่างอยากให้อีกฝ่ายใจเย็นลง
"พี่เมรี กินข้าวรึยังจ๊ะ มากินด้วยกันไหม"
คนพี่ไม่ได้ตอบอะไรออกมานอกจากคว้าเอาปิ่นโตมาตักอาหารเข้าปาก ทั้งที่ใบหน้าบูดบึ้ง เล่นเอาคนมองอย่างนักรบถึงกับหลุดขำออกมาในใจ ทั้งที่ใบหน้ายังแสดงความราบเรียบอยู่ ในใจอดคิดไม่ได้ว่าพี่น้องคู่นี้ช่างต่างกันนัก คนหนึ่งสายหวานออกแนวเรียบร้อย (?) แต่อีกคนนี่ออกแนวสายลุย ชอบโหวกแหวกโวยวาย และที่สำคัญก็คือ ขี้เมาอีกต่างหาก
กระนั้นตัวนักรบเองกลับรู้สึกทั้งชอบใจและมองว่าหญิงสาวทั้งคู่นั้นต่างก็น่ารักในแบบของตัวเอง....แม้ว่าเขาจะยังเชื่อเรื่องดวงจนเหมือนไม่รู้ตัวก็ตาม