ตอนที่ 1 เยี่ยมคนป่วย 1
จะทำอย่างไรหากเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่หัวใจของม่านหมอกก็ไม่เคยลืมภรรยาที่จากไปได้เลย แม้คำพูดของเธอที่เคยพร่ำบอกให้เขามีรักครั้งใหม่ก่อนที่จะจากไปจะยังวนเวียนเข้ามาในหัวเขาตลอดก็ตามที
‘พี่หมอกรับปากกับสรได้มั้ยคะ ว่าจะไม่อยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต’
‘พี่หมอกสัญญากับสรสิคะว่าจะมีรักที่ดีและมีลูกที่น่ารักให้สรด้วยนะคะ’
ในวันนั้นเขารับปากภรรยาว่าจะมีคนใหม่ทั้งที่ในใจไม่เคยคิดแบบนั้น ถึงตอนนี้เวลาจะล่วงเลยไปตั้งสิบสี่ปีแล้วก็ตาม ภาพในวันที่เธอกำลังจะสิ้นใจเขายังจดจำมันได้ดี และไม่เคยลบภาพเธอออกไปจากชีวิตได้เลย
ม่านหมอกในวัยสี่สิบห้าจากผู้ชายอบอุ่นร่าเริง ทุกวันนี้เขากลายเป็นคนเย็นชาไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องความรัก ไม่เคยรู้สึกชอบผู้หญิงในเชิงชู้สาวกับใคร ชีวิตมีแค่เพียงทำงานแล้วก็กลับบ้านมาอยู่อย่างเหงาๆ ก่อนนอนจะต้องใช้เหล้าช่วยให้นอนหลับเกือบทุกคืน
นานวันเข้ามันทำให้ร่างกายเขาภูมิคุ้มกันต่ำลง ร่างกายเริ่มอ่อนแอลง และวันนี้เขาก็ไม่สามารถไปทำงานได้
กมลพรรณเข้ามาดูแลลูกชายเองที่บ้าน เพราะถึงทุกคนในบ้านประกายฤกษ์จะเป็นห่วงม่านหมอกมากแค่ไหน แต่ในเมื่อเขาไม่ยอมมีใคร ทุกคนก็บังคับเขาไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่บ้านของม่านหมอกยังอยู่ในรั้วเดียวกันกับบ้านประกายฤกษ์ถึงจะห่างกัน แต่ทุกคนก็ไปมาหาสู่กันได้ง่าย
“เป็นยังไงบ้างนวล” กมลพรรณเอ่ยถามแม่บ้านที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น เมื่อเช้าป้านวลโทรบอกกมลพรรณว่าลูกชายคนโตไม่สบายเธอจึงรีบมาทันที
“ทานข้าวต้มได้นิดเดียวเองค่ะคุณก้อย”
“หมอว่ายังไงบ้าง” เธอให้แม่บ้านโทรตามหมอให้เข้ามาตรวจอาการลูกชายตั้งแต่ที่แม่บ้านโทรไปแจ้งตอนเช้า
“เป็นไข้ปกติค่ะ พักผ่อนน้อยร่างกายก็เลยอ่อนเพลียค่ะ” ทั้งกมลพรรณและแม่บ้านรู้ดีว่าภายในใจม่านหมอกเป็นมากกว่านั้น และก็เป็นมานานแล้วด้วย
“นี่ก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว ลูกชายฉันก็ยังทำใจไม่ได้เสียที” กมลพรรณรู้ว่าลำพังอาการป่วยกายคงไม่เท่าไหร่ แต่ป่วยใจนี่สิ ใครจะช่วยได้ถ้าเขาไม่ช่วยตัวเอง
“เฮ้อ! ดิฉันก็เป็นห่วงคุณหมอกมากเหมือนกันค่ะ” ป้านวลคนที่อยู่กับม่านหมอกมาตั้งแต่เขาแต่งงานกับมธุสร เห็นเจ้านายเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารจับใจ
“ฉันจะลองเข้าไปคุยกับเขาดูก่อน”
กมลพรรณเดินเข้าไปหาลูกชายด้วยความเป็นห่วง
ครืด ครืด เสียงโทรศัพท์ของม่านหมอกที่วางอยู่โต๊ะข้าง ๆ เขาดังขึ้นแต่คนตัวใหญ่ไม่ยอมรับสาย นั่งเหม่อออกไปยังลานหน้าบ้าน กมลพรรณจึงเดินเข้าไปกดรับสายแทน เมื่อสายที่โทรมาคือเพื่อนรักของลูกชายที่อยู่อีสาน ถึงแม้ห้าปีให้หลังมานี้ตั้งแต่ม่านหมอกได้รับตำแหน่งเป็นประธานบริษัทน้ำตาลประกายฤกษ์แทนกัมปนาทพ่อของเขาแล้วจะไม่ค่อยได้ไปอีสานก็ตาม แต่ทั้งสองก็ยังติดต่อกันตลอด
“ว่าไงจ๊ะหรรษ”
“อ้าว คุณแม่เองเหรอครับ สวัสดีครับ หมอกล่ะครับ” เห็นเขาขาดการติดต่อไปกว่าสองสัปดาห์ หรรษธรจึงตัดสินใจโทรหาเพื่อน กมลพรรณปรายตามองลูกชายแล้วรู้ว่าเขาคงไม่มีอารมณ์จะคุยกับใคร จึงเดินออกห่างลูกชายแล้วกระซิบกระซาบกับหรรษธร
“หมอกไม่สบายจ้ะ”
“เอ๊า เป็นไรเยอะไหมครับแม่” ถามแม่เพื่อนด้วยความเป็นห่วง
“ก็เยอะเอาการอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่ใช่เพราะป่วยอย่างเดียวหรอกนะ หรรษช่วยแม่หน่อยสิ แม่หมดปัญญาแล้วจริงๆ” กมลพรรณบอกเพื่อนลูกชายอย่างมีความหวัง เอาเข้าจริงแล้วหรรษธรก็เหมือนลูกชายของเธออีกคน เพราะกัลยาลูกสาวของหรรษธร ก็เรียกม่านหมอกและมธุสรว่าพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง ด้วยเพราะเธอกำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก
“อย่างนั้นผมให้ขิมเข้าไปดูแทนก่อนนะครับคุณแม่ เพราะกว่าผมจะได้ไปกรุงเทพฯก็คง….”
“อืม ก็ดีเหมือนกันจ้ะ แม่ก็ไม่ได้เจอหนูขิมมานานละ อีกอย่างพ่อลูกเขาคงคิดถึงกันมาก ขิมอาจจะช่วยเยียวยาหมอกให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้ ให้ขิมมานอนที่นี่ก็ได้นะจ๊ะ หมอกจะได้มีเพื่อน”
กมลพรรณยิ้มพรายรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เพราะกัลยาเปรียบเสมือนลูกสาวของมธุสรและม่านหมอกอีกคน เพียงแต่หลังจากกัลยาเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายจนตอนนี้เธอเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่สี่แล้วก็ยังไม่ได้มีโอกาสได้มาที่บ้านประกายฤกษ์สักที ถึงแม้เธอจะเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯก็ตาม
“ครับคุณแม่ ผมโทรบอกขิมก่อนนะครับ”
“ได้จ้ะ” คุยเสร็จก็เดินมาหาลูกชาย